Thursday, April 24, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 4)

ตอนที่ 4

องค์ชายมาเคารพพระศพของ ท่านหญิงยอน ทรงพนมพระหัตถ์แสดงคารวะ นอกจากแสดงความเสียพระทัยแล้ว ทรงเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นและไม่คาดคิดว่า ท่านหญิงยอน จะดื่มยาพิษ ยอนโฮแก โกรธจัดหาว่าองค์ชายโกหก รี่เข้ามาหาองค์ชาย เสนาบดียอน ขวางไว้และตำหนิ ยอนโฮแกว่า เจ้ามีอายุเท่าองค์ชาย องค์ชาย ทรงสงบและมีพระสติแต่เจ้าเองใช้อารมณ์เป็นเด็กๆ
เสนาบดียอน ถามองค์ชายว่า เหตุใดจึงต้องจับยอนโฮแก ก่อนด้วย องค์ชายตอบว่าหากหมอหลวงพูดความจริง และท่านป้า(ท่านหญิงยอน)วางยาพิษกษัตริย์จริง ก็ตั้งใจจับยอนโฮแก เป็นตัวประกัน เพราะกลัวว่า จะเกิด จลาจล และรัฐประหาร เสนาบดี อึ้งกับคำตอบ แล้วทูลว่า องค์ชายเป็นชายชาตรี ที่ไม่โกหก
องค์ชายเปิดกล่องที่ใส่ศีรษะหมอหลวง ตรัสว่า หมอหลวงคงเป็นบ้าไปเสียแล้ว คนบ้ามักพูดเรื่องบ้าๆ ก่อนที่หมอหลวงจะพูดสิ่งที่เหลวไหลอะไรอีก องค์ชายจึงต้องจัดการหมอหลวงก่อนด้วยการให้ความตายแก่หมอหลวง ด้วยความตายในครั้งนี้จะทำให้ไม่มีใครรู้ว่ามีคนพยายามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์
เสนาบดียอน มิรู้ที่จะทำอย่างไรดี ได้แต่ ทูลชมความฉลาดหลักแหลมพระทัยสูงส่ง ตระกูลยอนขอขอบพระทัย ก่อนกลับวังองค์ชาย ตรัสกับยอนโฮแก ว่าทรงเสียพระทัยในเหตุการณ์นี้
ยอนโอแกมีท่าทางฮึดฮัด จะทำร้ายองค์ชายหลายครั้ง เสนาบดียอน ก็ขวางไว้ทุกครั้ง บางครั้งก็ตบหน้า ยอนโฮแก แต่แท้จริงก็สงสารยอนโฮแก เพราะยอนโฮแก รักท่านแม่ มาก ได้แต่จับไหล่ลูกชายเพื่อปลอบใจ เสนาบดียอนบอกกับยอนโฮแกว่า ทั้งยอนโฮแก และเสนาบดียอนเอง พ่ายแพ้ ต่อองค์ชาย และถูกสองพ่อลูก (กษัตริย์และองค์ชาย) หลอกมานาน เขาพากันพูดว่า องค์ชาย จำกลอนแม้แต่บทเดียวจากหนังสือยังไม่ได้ ทั้งอ่อนแอ ไม่สามารถแม้แต่การขี่ม้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นนักรบ จึงไม่ได้ใส่ใจองค์ชาย และตนเองช่างโง่เขลา เพราะคิดว่า คนอื่นๆจะเห็นยอนโฮแกสมควรจะได้เป็นกษัตริย์ เพราะยอนโฮแก เกิดภายใต้ดวงดาวกษัตริย์จูชิน แต่ตนคิดผิด นั่นเป็นเพราะท่านหญิงยอนผิด เสนาบดียอนบอกต่อว่า ตนจะรอ รอที่คนอื่นจะยอมรับยอนโฮแกเป็นกษัตริย์ ที่สำคัญ คือการรอในครั้งนี้มันจะคุ้มค่าของการรอหรือไม่
ยอนโฮแกถามเสนาบดียอนว่า ถ้าข้าได้เป็นกษัตริย์มันจะเพียงพอสำหรับท่านพ่อหรือไม่ ถ้าข้าได้เป็นกษัตริย์ ข้าจะมีอำนาจเหนือองค์ชายที่ฆ่าแม่ของข้าได้หรือไม่

ในวังหลวงกษัตริย์ทรงตกพระทัยและผิดหวังกับสิ่งที่องค์ชายกระทำลงไป ทรงตรัสว่า องค์ชายได้ทำสิ่งที่ฆ่าตัวเองให้ตายไปเสียแล้ว ทำไมไม่ไปยอมรับผิดกับตระกูลยอน เชื้อเชิญให้ตระกูลยอนฆ่าองค์ชาย เป็นเพราะองค์ชาย ต้องการทำในสิ่งที่จะให้พระองค์ชื่นชมกับสิ่งที่องค์ชายทำไปแล้ว องค์ชายต้องการโอ้อวดความฉลาดขององค์ชายเอง องค์ชายคิดเรื่องนี้บ้างไหม (เจ้าคิดถึงข้าบ้างไหม) ทรงเสียพระทัย ผิดหวัง จนเซพระองค์ ประทับลงที่พระเก้าอี้ องค์ชายรู้ สึกแปลกพระทัยว่า ทำไมตระกูลยอนต้องเกลียดชังพระองค์มากขนาดนี้ ทั้งที่ท่านหญิงยอนเป็นพระพี่นางเธอของกษัตริย์ และยอนโฮแก ก็เป็นพระญาติ ขององค์ชาย และพวกเราสายเลือดเดียวกัน
กษัตริย์ ทรงเล่าเหตุการณ์ ที่พระอัยยิกา ที่เป็นพระราชินี ของพระอัยกา (กษัตริย์องค์ที่ 16 ของโคคุเรียว) ต้องเสด็จไปเป็นตัวประกัน ที่เมืองอื่น นานถึง 13 ปี พร้อมกับเชื้อพระวงศ์ อื่นๆ และประสูติ กษัตริย์ หยาง (ในปัจจุบัน) ที่นั่น เมื่อ พระอัยยิกาเสด็จกลับโคคุเรียว พร้อมพระโอรส จึงเป็นที่กังขา สงสัยซุบซิบ ของคนที่ไม่ต้องการเชื่อทั้งหลายรวมทั้งพระพี่นางเธอ (ท่านหญิงยอน)ด้วย กษัตริย์หยางเมื่อยังเป็นองค์ชาย ออจิจิ จึงขอออกไปอยู่ชนบท หาก กษัตริย์โซซูริมไม่ด่วนสิ้นพระชนม์ (ขอวงเล็บว่า ในละครน่ะ ทรงพระชรามากเลย) และเพราะไม่ทรงมีพระโอรส สืบต่อตำแหน่งรัชทายาท องค์ชายออจิจิจึงต้องมาเป็นกษัตริย์หยาง ของโคคุเรียวในทุกวันนี้ ทรงจับพระอังสา ของพระโอรสไว้ ตรัสว่า มองข้าให้ดี มองตาของข้า ถ้าเจ้าไม่มองตาข้า นั่นเป็นการดูหมิ่นเสด็จแม่ของข้า เสด็จย่าของเจ้า เสด็จแม่ของข้าทรงพระครรภ์ก่อนไปเป็นตัวประกัน เจ้าเข้าใจไหม ข้ามีสายเลือดของโคคุเรียว และส่งผ่านสายเลือดนี้มายังตัวเจ้า เจ้ามีสายเลือดของราชวงศ์โคคุเรียวอย่างแท้จริง องค์ชายน้ำพระเนตรไหลริน พระบิดาทรงย้ำว่า พวกนั้นไม่ต้องการเชื่อ “ คนเราจะเชื่อในสิ่งที่เขาอยากเชื่อเท่านั้น” องค์ชายได้แต่เช็ดน้ำพระเนตรขององค์เองแบบเด็กๆ ด้วยวัย 11 ชันษา

ตอนกลางคืน องค์ชาย เสด็จไปลานฝึก พบโซคีฮา กำลังฝึกวิทยายุทธ์ จากตำราของหอสมุดหลวง ที่โซตีฮา ขโมยมา และโซคีฮา ได้สอนให้องค์ชายด้วย องค์ชายทรงถามโซคีฮาว่า ถ้าข้าต่อสู้ได้เก่งกาจ ข้าจะเป็นคนดีไหม ข้าได้ฆ่าแม่ของเพื่อนที่แสนดีของข้า ข้าจะยังเป็นกษัตริย์ที่ดีหรือ ช่วยบอกข้าทีว่า ถ้าข้าเรียนรู้วิธีการต่อสู้ทั้งหลายเหล่านี้ ข้าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีไหม
โซคีฮา ได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า หม่อมฉันต้องการให้องค์ชาย ทรงแข็งแรงและแคล่วคล่องกว่านี้ เพื่อว่าในวันข้างหน้า เมื่อทรงอยู่ในอันตราย จะทรงหลบหนีได้และไม่ได้รับอันตรายนั้น
องค์ชายได้แต่ระบายความเสียพระทัย อัดอั้นพระทัย ด้วยการฟาดตีหุ่นฟางต่างๆที่ใช้ในการฝึกวิทยายุทธ์

ซูจินีที่ทำหน้าทีที่ได้รับมอบหมายด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ถ้าบางวันธุรกิจ ไม่ค่อยดี ซูจินีก็ต้องเหนื่อย กับการปรับกลยุทธ์ ในการหลอกล่อหาลูกค้า ไปส่งอาจารย์ แถม อาจารย์ ถ้าได้ลูกค้า เป็นผู้หญิง ก็มักจะใจอ่อน ลดราคา ให้อยู่บ่อย ๆ ลูกศิษย์ต้องพยายามบังคับ ไม่ให้ลดค่าบริการเพราะจะทำให้เสียราคาเพื่อรักษามาตรฐาน แล้ววันหนึ่งซูจินีก็ได้พบทหารรับจ้าง ซึ่งมี จูมูชิ เป็นหัวหน้า จูมูชิ ต้องการหา ช่างตีเหล็กที่มีฝีมือ และซูจินี ได้พา จูมูชิไปหา บาซอน แต่แรกที่บาซอนเห็นขวาน รูปร่างประหลาดและความใหญ่โต บาซอน บอกว่าขวานนี้ คงทำให้มีคนตายมามาก ไม่อยากรับงาน จูมูชิ ต้องแสดงความสามารถในการใช้ขวานรูปร่างประหลาดและใหญ่โต จนบาซอน อึ้งกับสิ่งที่เห็น จูมูชิขว้างขวานไปปัก กลางตอไม้ใหญ่ เมื่อจูมูชิเดินไปเอาด้ามขวาน ออกจากตอไม้ ตอไม้ก็แยกออกเป็น 2 ซีก จูมูชิ บอกว่า ขวานนี้ พ่อของตนให้มา และตนเองรู้จักการใช้ขวานนี้ ก่อนที่จะเดินได้ด้วยซ้ำไป เพราะยังไม่เจอช่างตีเหล็กฝีมือดี ขวานของตนจึงดูเก่ามาก
ซูจินี บอกว่า บาซอน คือช่างตีเหล็กฝีมือดีที่สุด ในปราสาทโกกแน นักรบทุกคนต้องมาหาบาซอน
องค์ชาย หนีออกไปนอกวัง และคบหากับเด็ก ๆ และคนหลายอาชีพในตลาด โดยเฉพาะหญิงชรา ช่างย้อมผ้าที่อยู่คนเดียวปากร้ายใจดี องค์ชายและเพื่อนเด็กกลุ่มหนึ่ง ไปช่วยหญิงชราย้อมผ้าหญิงชรา บ่นว่า ธรรมดา เจ้าจะมาทุกสามวัน แต่นี่เจ้าหายไปสิบกว่าวัน

วันเวลาผ่านไป
องค์ชาย และโซคีฮา ยังมีกันและเป็นเพื่อน ออกไปขี่ม้าด้วยกันจากเด็ก จนเป็นหนุ่มสาว และซูจินี ที่อยู่กับวงพนัน จากเด็กจนเป็นสาวเช่นกัน
เมื่อ 2 พันปี ที่แล้วมา เทพฮวานอุงเคยทอดพระเนตร แชโอ ที่เอาใจใสดูดูแล คนในเผ่าหมี ด้วยความห่วงใย พยาบาลดูแลผู้ที่บาดเจ็บจากการต่อสู่กับเผ่าเสือด้วยน้ำตาของเธอ แต่ตอนนี้ องค์ชายทัมด๊ก ก็กำลังทอดพระเนตร ความแก่นแก้ว ซุกซน เจ้าเล่ห์ แสนกลของ ซูจินี
จากภาพเด็กน้อยซูจินี ที่สดใสสนุกสนานเบิกบานเต็มที่ในวงพนัน กลายเป็นภาพสาวน้อย (สาวน้อยจริงๆเพราะลีจิอา ตัวเล็ก) ในภาพลักษณ์ที่แปลกตากว่าคนอื่นด้วยสีสันเสื้อผ้าและชุดที่สวมใส่ ผมสั้น นักเล่นพนันวงในที่เกาะขอบวงล้อ ที่หมุน ๆส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ถัดออกมาคือที่สนใจ ดูและเชียร์พรรคพวกของตนที่อยู่ในวงพนัน มีทั้งหญิงและชาย แต่ทุกคน อยู่ในอาภรณ์สีสดใสทั้งหญิงและชาย รวมเป็นกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเฮอา องค์ชายทัมด๊กที่แต่งองค์เป็นสามัญชน เช่นกัน เพราะแอบหนีออกจากวังมาเที่ยวอย่างเคย (ตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม) เสด็จลงบันไดมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยมต้องหยุดแวะทอดพระเนตรเพราะซูจินีที่ส่งเสียงดังกระโดดชูสองมือดีใจที่ชนะ องค์ชายเกาะระเบียงของโรงเตี๊ยมทอดพระเนตรนักเล่นพนันกลุ่มนี้ ซูจินี ดื่มเหล้าไปแทงพนันไป องค์ชายสนพระทัยจนต้องทรุดองค์ประทับนั่งที่ขอบระเบียงโรงเตี๊ยมนั้นเอง ทอดพระเนตรเห็นซูจินี แพ้พนันหมดตัว ต้องออกจากวงพนัน เดินสอดส่ายสายตาหาเหยื่อ มีเสียงโห่ของประชาชนในตลาดต้อนรับขบวนนักแข่งโปโลทีมสีน้ำเงิน ทรงละความสนพระทัยไปที่ทีมโปโล เมื่อกลับมาสนพระทัยซูจินีใหม่ ก็ทอดพระเนตรเห็น ซูจินีใช้ความสามารถพิเศษ ขโมยถุงเงิน จากชาย ที่มากัน2 คน มาได้ แต่ก็มี ผู้ชายอีกคน (คือ ฮยอนโก )มาเอาถุงเงินที่ซูจินี ไปอีกที แถม ผลักซูจินี สั่งให้ซูจินีตามชาย 2 คนนั้นไป
กลายเป็นว่า ชาย ทั้ง 2 คนนี้ ไปที่ทีมโปโลสีดำ และเอาสมุนไพรสีเขียว ไปวางที่กองฟาง อาหารม้าของทีมโปโลสีดำ ซูจินี เข้าไปขัดขวาง และถูกชาย 2 คน รุมอัด ล้มลุกคลุกคลาน เมื่อลุกได้ ก็วิ่งตามชาย 2 คน ที่ออกวิ่งหนี แต่กลายเป็น ทีมโปโลสีดำ เข้าใจว่าซูจินี เป็นขโมยแอบเข้ามา และถูกทีมโปโลสีดำ ไล่จับ ต้องวิ่งหนีเข้าไปในตลาด ตลาดแทบพัง ข้าวของในตลาดเกลื่อนกลาด ในที่สุด ซูจินี ก็ถูกจับตัวได้ จนองค์ชายต้องแอบให้ความช่วยเหลือ ปล่อยม้าของทีมโปโลสีดำ จน คนที่จับตัวซูจินี ต้องปล่อยซูจินี และออกวิ่งตามม้าของตัวเอง


องค์ชาย ทรงพารถบรรทุกฟางเข้ามา ซูจินี กระโดดขึ้นไปนั่ง แล้วขอบคุณองค์ชาย ด้วยการล้วงถุงเงินจากอุระแต่องค์ชายรู้ทัน องค์ชายถามซูจินีว่า หัวขโมย 2 คนที่เข้าไปในทีมสีดำเพื่อวางยาให้ม้าของทีมสีดำท้องเสีย มีใครว่าจ้างมา ซูจินี ทำการค้าเสียเคยตอบว่า จ่ายเงินมาก่อน 3 เหรียญ อันที่จริงข่าวนี้ ราคาที่แท้จริง 5 เหรียญ แต่ สำหรับครั้งแรก คิดแค่ 3เหรียญ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถาม องค์ชายลงจากรถม้า ซูจินี ตามลงมา แนะนำตัวเบ็ดเสร็จ ว่าข้าชื่อ ซูจินี และเหน็บแนมองค์ชาย ว่า เดินแบบนี้ ทำท่าทางเป็นพวกขุนนางออกเยี่ยมเยียนชาวบ้าน แล้วก็ชวนองค์ชาย ไปสำนักนางโลม แถมปรามาสหน้าองค์ชายว่าท่านน่ะยังอ่อนหัด ผู้หญิงที่นั่นวิเศษที่สุด ขนาดข้าเป็นผู้หญิงยังรู้สึกเร้าใจเลยแล้วก็หลับตา ทำท่า อวดว่า น่าใฝ่ฝันถึงสาวๆพวกนั้น ซูจินี เดินไปร้องเพลงไปหันมาบอกองค์ชายว่าท่านมาเดินแถวนี้ จะเดินแบบคนอ่อนหัดอย่างนี้ไม่ได้นะ ถ้าพวกนั้นรู้ว่า ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ พวกเขาจะจับท่านทำซุปกิน



ตลอดทางองค์ชายกอดพระอุระไว้ ซูจินี เจ้าเล่ห์ เสนอเป็นผู้ดูแลถุงเงินให้องค์ชายอีก และถูกเนื้อต้องตัว ชายท่าทางดี มีสตางค์ ที่ซูจินีไม่รู้ว่าคือใคร หลายครั้ง เนื่องจากซูจินี เติบโตมาจากหมู่บ้านที่มีผู้ชาย จึงมองไม่เห็นความแตกต่างจากชายแปลกหน้าผู้นี้ แล้วซูจินี ก็ถูก ผู้หญิงสองคนกระแทกจนเซออกไป พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า ....ที่รัก ...ของข้า....องค์ชายทักสาวๆว่า พวกเจ้าเป็นอย่างไร และทรงพระสรวลสาวๆตอบว่า ตั้งนานแล้วท่านไม่มา คิดถึงพวกข้าบ้างไหม แล้วก็เข้ามาคล้องแขนองค์ชายเดินขนาบซ้ายขวา เดินจากไป พูดต่อว่า ท่านต้องเรียกหานางคนอื่นด้วยนะ ท่านน่ะทำให้น้ำตาท่วมห้องของพวกเรา …ตลอดเวลาองค์ชายทรงพระสรวลเบิกบานพระทัย เป็นระยะ ซูจินี ทำหน้าตา งง งวย รู้ว่าจุดไต้ตำตอเข้าเสียแล้ว เมื่อองค์ชายหันพระพักตร์มาชวน ให้เข้าไปดื่มกิน ของฟรี ซูจินี ทำเสียงไม่สบอารมณ์ ว่า เชอะ หันหลังกลับ แล้วก็ เปลี่ยนใจ ของฟรีนี่นา และคงอยากตามมาดู ลีลา คนที่ตัวเองหลงเข้าใจว่าอ่อนหัด ที่ไหนได้ หลงไปสอนนักปราชญ์อ่านหนังสือเสียแล้ว

องค์ชาย เป่าเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง เป็นไม้ หากเป็นไม้ ก็น่าจะเรียกว่าขลุ่ย แต่เสียงดนตรีที่ออกมา เป็นเสียง ปี่ จะเรียกอะไรดี แต่ว่า ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับดนตรีของเกาหลี แทรกก่อน


ชนชาติเกาหลีมีดนตรีที่เรียกว่า คุกอัก มีที่มาคล้ายคลึงกับดนตรีจีนและญี่ปุ่น แต่ถ้าเราสามารถสัมผัสดนตรีชนิดนี้ได้อย่างลึกซึ้ง จะพบว่าดนตรีเกาหลีมีลักษณะแตกต่างอย่างชัดเจนจากดนตรีชนิดอื่นๆ ในแถบเอเชียตะวันออกกล่าวคือ ดนตรีเกาหลีประกอบด้วยสามจังหวะในหนึ่งห้อง ในขณะที่ดนตรีจีนและญี่ปุ่น มีสองจังหวะในหนึ่งห้อง คุกอัก แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ซองอัก หรือดนตรีในราชสำนัก และมินซกอัก หรือดนตรีพื้นบ้าน ซองอัก ซึ่งเป็นดนตรีชั้นสูง มีท่วงทำนองเชื่องช้า เยือกเย็น และซับซ้อน ส่วน มินซกอัก ได้แก่ดนตรีของชาวนาชาวไร่ พันซอรี (ดนตรีที่เน้นการแสดงความรู้สึก) และดนตรีพิธีไสยศาสตร์ มีจังหวะรวดเร็วและกระฉับกระเฉง (จากนิตยสาร this is Korea เล่มเดิม)
ข้อมูลนี้ไม่ได้บอกเรื่องของเครื่องดนตรีที่องค์ชายเป่า


มีคนของทีมโปโลสีดำจำซูจินีได้ เลยไปตามคนอื่น มา ตามจับซูจินี จนเกิดโกลาหล แล้วก็เป็นเวลา ที่องค์ชาย ต้องเสด็จกลับวัง ทรงทิ้งซูจินีให้ หาวิธีเอาตัวรอดจากการถูกจับ เอง ยังโบกพระหัตถ์อำลาให้
ส่วนในวังหลวงทหารที่รู้ความเป็นไปขององค์ชายก็กำลังวุ่นวาย เพราะกษัตริย์กำลังเสด็จมาหาองค์ชาย ตัวองค์ชายเองก็ต้องแอบปีนเข้าวังทางระเบียงมืด ในการกลับเข้าวัง ที่พื้นข้างล่างส่วนในของระเบียงวัง มีโซคีฮา ยืนประคองฉลองพระองค์พาดแขนทั้งสองมือ รอคอยอยู่ องค์ชาย แย้มพระโอษฐ์แบบเด็กๆประจบเอาใจผู้ใหญ่ คงหนีออกจากวังจนเป็นหนุ่มและเป็นกิจวัตร ทหารในวังและโซคีฮา ถึงสื่อความกันได้ โดยไม่ต้องมีบทพูดเลย เหมือนทุกคนรู้หน้าที่กันดี เพราะปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน แถมเมื่อ พบกษัตริย์ กษัตริย์ทรงตรัสว่า มีคนแอบปีนรั้ววังทุกคืน องค์ชาย ต้องหาเรื่องกลบเกลื่อน กษัตริย์ ทรงพาองค์ชายเสด็จพระราชดำเนินไปตามระเบียง พร้อมเทศนาสั่งสอนองค์ชายมากมาย ทรงสั่งห้ามองค์ชาย ไม่ให้ไปสนามแข่งโปโล ในวันรุ่งขึ้น เพราะจะมีพวกขุนนาง ชนเผ่าทั้งหลายมาร่วมงาน องค์ชายกราบทูลว่า จะไม่ทำองค์ให้เป็นจุดเด่น และคงไม่มีใครรู้จักองค์ชาย กษัตริย์หยาง ทรงเตือนว่า ตระกูลยอน ก็พยามยามหาทางกำจัด องค์ชาย อยู่ทุกขณะ อย่าทำสิ่งใด เป็นการให้โอกาสแก่ตระกูลยอน


เมื่อกลับมาห้องบรรทม องค์ชาย ไม่สนใจ คำพูดของโซคีฮา ที่พูดเสริมถึงความสำคัญของตระกูลยอน ต่อจากดำรัสของกษัตริย์ กลับขอให้โซคีฮา แสดงพลังพิเศษ จุดไฟ องค์ชาย ถูกพระทัย เหมือนเด็กได้ของถูกใจ แย้มพระสรวลไม่หุบโอฐ ชี้ ให้จุดไฟตรงโน้นตรงนี้ทรงชวนโซคีฮา หนีไปอยู่ด้วยกันที่อื่น ให้โซคีฮาแสดงการจุดไฟ องค์ชายเป็นผู้เก็บเงินคนดู แล้วก็เสด็จไปที่เตียงบรรทม ทรุดองค์ลงประทับนั่ง ไม่รอคำตอบ ตบบรรจถรณ์ ข้างองค์ เป็นการเชิญชวน ให้โซคีฮา มานั่งข้าง ๆพระองค์ แต่โซคีฮา ทำท่าจะออกไปองค์ชายบอกว่า เจ้าอยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม ไหนไหนเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว โซคีฮา หันมาตอบว่า บรรทมได้แล้วเพคะองค์ชาย องค์ชายทอดองค์ ลงกับบรรจถรณ์ รำพึงรำพันอย่างคนว้าเหว่กับองค์เองว่า ไม่มีใครจะหัวเราะร่วมกับข้าในวังนี้ โซคีฮา แสนสงสารองค์ชาย แต่ก็ออกจากห้องไป องค์ชาย ยกหัตถ์ก่ายพระนลาฏ หลับพระเนตร เดียวดาย.....


วันรุ่งขึ้น องค์ชายออกไปนอกวังอีก ซูจินีเดินตาม ต่อว่าต่อขานองค์ชายที่ทิ้งเธอไว้ พูดจาเซ้าซี้จนองค์ชายถามว่า ซูจินีเป็นผู้หญิงแบบไหน มาเดินตามตื้อผู้ชาย ที่ว่าเราจับมือกันกันนั้นตอนไหน เจ้าอยากให้ทำอย่างนั้นใช่ไหม ทรงแกล้งจะกอด ซูจินี ซูจินีหน้าตื่น หลบองค์ชายออกไป
องค์ชายไปหาพ่อค้าเกลือ พ่อค้าส่งส่วนแบ่งให้ องค์ชาย ให้คำแนะนำในการกักตุนเกลือ ไว้ขายในเวลาที่เกลือขาดตลาด เพราะมีพ่อค้ามองโกเลียมาซื้อเกลือไปเมื่อเดือนก่อน
ซูจินี ตามมาชักชวนองค์ชายไปเล่นพนัน การแข่งโปโล ที่ทุกคน ต่างพากันพนัน ข้างทีมสีเหลืองว่าจะชนะ แต่เธอ มีข้อมูล ว่าทีมสีดำต่างหาก คือ ทีมผู้ชนะ แล้วพาองค์ชายไปหา ฮยอนโก ศิษย์และอาจารย์ ช่วยกันหลอกล่อ องค์ชาย แต่องค์ชายรู้ทัน อาจารย์และศิษย์ ต้องเลี้ยง อาหารองค์ชาย
ฮยอนโก ชื่นชม ยอนโฮแก แต่ก็ข้องใจ ว่า ทีมสีเหลืองคือผู้ส่งคนไปวางยาม้าของทีมสีดำ องค์ชายตำหนิว่าไม่มีหลักฐานอย่ากล่าวให้ร้ายผู้อื่น ฮยอนโก พูดถึงความเปลี่ยนแปลงของยอนโฮแก องค์ชาย ตรัสตอบว่า ยอนโฮแก เปลี่ยนไป หลังจาก การเสียชีวิตของท่านแม่ และท่านหญิงยอนเสียชีวิต เพราะถูกคนอื่นฆ่า

ยอนโฮแก คือหัวหน้าทีมโปโลสีเหลือง และสั่งลูกทีมว่า การแข่งขันครั้งนี้เขาจะทำให้ทุกคน ยอมรับเขา ทีมสีเหลืองจะแพ้ไม่ได้ ในคืนก่อนการแข่งขัน ยอนโฮแก ได้บอกกับเสนาบดียอนว่าจะพิสูจน์ความสามารถในการชุมนุม แข่งขันโปโล ทั้ง 5 ชนเผ่า ให้ทุกคนเห็นและยอมรับ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านพ่อ ก็ อย่า ปฏิเสธทำเป็นไม่รับรู้ ก็แล้วกัน ซึ่งเสนาบดียอนได้ตอบว่า พ่อไม่มีวันปฏิเสธ ลูกได้หรอก

ที่สนามแข่งโปโล องค์ชาย ประทับนั่งที่อัฒจรรย์คนดู ปะปน กับประชาชนทั่วไป ซูจีนีเดิน เข้าไปเบียดแทรกตัวเองนั่งข้าง องค์ชาย กษัตริย์ เสด็จออก มีขุนนางชั้นสูง นั่งร่วม ในที่ประทับ และ แทจังโร ได้มาร่วมดูการแข่งขันนี้ด้วย


COPYRIGHT@ Amornbyj & SUE