Saturday, May 10, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 15)


...ตอนที่ 15...


ยอนโฮแก ขี่ม้านำหน้ากองทหาร สี่หมื่นคน ขึ้นไปทางเหนือ อารามหลวงที่ปราสาทโกกแน
นักพรตอาวุโส ได้ถาม โซคีฮา ว่า ( เมื่อมีสารมาจากผู้บัญชาการ ยอนโฮแก แจ้งมาว่า ขณะนี้กองทัพได้ออกจากชายแดนแพคเจและมุ่งหน้าไปทางเหนือ) แต่เดิมนั้นถ้าบ้านเมืองมีเหตุการณ์ใหญ่ๆอารามจะสวดมนต์ขอพรจากสวรรค์ และจัดพิธีอวยชัยให้กับทหารที่ไปสงครามอยู่ในสนามรบ แต่จะไม่เคยสั่งการใดๆไปยังกองทัพ นี่เป็นความต้องการของสวรรค์จริงหรือ สวรรค์ได้ให้นิมิตกับท่านจริงหรือในการเคลื่อนกองทัพ โซคีฮา ทำสีหน้าเข้ม จนผู้อาวุโสต้องหลบสายตา : คนที่เจ้ากำลังพูดด้วย คือผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ก่อนที่จะมาเป็นเทวีพยากรณ์ มีเหตุผลที่ข้าต้องอธิบายกับเจ้าซึ่งเป็นแค่นักพรตธรรมดารึ ? และโซคีฮายังสั่งการให้ไปเรียนเสนาบดียอนว่าข้าอยากพบ (นักพรตผู้อาวุโสชะงักถามแบบไม่แน่ใจในคำสั่งนี้ )


เสนาบดียอนมาพบ และพูดว่าด้วยเสียงเย็นชาว่า : ข้ารีบมาดูว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเทวีพยากรณ์ถึงต้องการปรึกษาข้า ข้ากำลังวุ่นวายกับการเรื่องกำลังพลและการขนย้ายสิ่งของ ( เพื่อส่งไปให้ยอนโฮแก)
โซคีฮา : ฝ่าบาทกำลังเสด็จกลับหรือ
เสนาบดียอน : ฮวาเซินน่าจะรู้ดีกว่าข้า
โซคีฮา ทำหน้าตึงเสียงเข้ม : แต่ข้ากำลังถามท่านอยู่ ฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาใช่หรือไม่
เสนาบดียอนนิ่งไปอึดใจ (รวบรวมอารมณ์อยู่มั้ง) : ทรงมีทางเลือกอย่างอื่นหรือ กำลังเสริมของแพคเจตะวันตกกำลังมุ่งไปหาพระองค์ แถมมีทหารของควานมีอีก 3 พันคน ตั้งรับการรุก อยู่ในป้อม
โซคีฮา : เสนาบดียอนท่านต้องจัดการกับครอบครัวของขุนนางที่ยังจงรักภักดีกษัตริย์องค์ก่อน และวางคนของท่านในสภา
เสนาบดียอน หัวเราะ : ตอนนี้ท่านได้ดูแลอารามหลวงแล้ว ท่านยังต้องการดูแลบ้านเมืองอีกด้วยหรือ
โซคีฮา : เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมา ข้าต้องการแน่ใจว่าฝ่าบาทจะไม่สามารถย่างพระบาทเข้ามาในปราสาทโกกแน จนกว่าข้าจะสถาปนาพระองค์เป็นกษัตริย์ด้วยอำนาจในฐานะนักพรตสูงสุดและเทวีพยากรณ์ กษัตริย์องค์ปัจจุบันจะต้องไม่เข้ามาในปราสาทโกกแน
เสนาบดียอนบอกว่าถึงจะรวบรวมสภาไว้ได้ แต่พวกเขาคงไม่อนุมัติ โซคีฮา อ้างถึงกองทหารของ ทัมด๊ก ว่า เป็นกองทัพที่มีประสบการณ์ ผ่านการรบได้รับชัยชนะมา เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธและเกราะที่ดีที่สุด ถ้ากองทัพนี้เข้ามาได้ เสนาบดียอนจะได้อยู่อย่างยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้หรือ แทจังโรเข้ามา (กลายเป็นอารามนี้ใครจะไปจะมาก็ได้เสียแล้ว) บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังบุกเข้าไปในป้อมปราการควานมี สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินคงอยู่ที่นั่น ทรงทำเรื่องโง่ๆที่บุกเข้าไป ต่อให้มีทหารมากกว่านี้อีก 10 เท่าก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ผู้บัญชาการ อมนุษย์ คนนั้น ทรงไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยความโลภที่จะได้สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ โซคีฮา ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ฟัง แทจังโรพูดต่อ ถึงแม้ทรงเอาชนะป้อมปราการแพคเจได้ 10 แห่ง แต่ป้อมปราการควานมีแตกต่างจากที่อื่น ใครที่กล้าเข้าไปโจมตีไม่เคยมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา


ที่ป้อมปราการควานมี
ขุนพลกากิน ขึ้นไปบัญชาการรบบนกำแพงประตูป้อม ทหารทั้งสองฝาย ต่อสู้กันด้วยธนู ทหารโดคุเรียวใช้ลูกธนูเม๊คกุง ประตูป้อมถูกยิงด้วยหัวลูกธนูไฟ ประตูป้อม ลุกไหม้
ผู้บัญชาการชอโรที่อยู่ด้านใน ลุกขึ้นจากที่นั่งในมือกำทวน แล้ว ก็ ขี่ม้าออกมานอกประตูป้อมที่ไหม้ไฟและพังทลายลง เพียงแค่แกว่งทวน ทหารของโคคุเรียว ที่อยู่ในรัศมีก็ล้มระเนระนาด บาดเจ็บ และตาย ม้าก็แตกตื่น มีเพียงจูมูชิ คนเดียว ที่ลุยออกมานอกรัศมี



อานุภาพของทวน ขี่ม้ามุ่งตรงเข้าไปต่อสู้กับ ชอโร ซูจินี เหลียวมองทัมด๊ก (ที่เสด็จตามมาถึง ) รอการตัดสินพระทัยสั่งการ ท่าทาง ซูจินี เป็นห่วง จูมูชิ แล้ว จูมูชิ ก็ตกจากหลังม้า บาดเจ็บกระอักเลือด ชอโร ชักม้ามาใกล้ ยกทวนทำท่าจะทำร้ายแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ( ด้วยสัญชาตญาณที่เทพทั้งสี่จะไม่ฆ่ากันเอง)



ซูจินี ขี่ม้านำหน้า ทัมด๊ก และคนอื่น ๆ มายังที่สองคนต่อสู้กัน แล้ว ชอโรก็แกว่งทวนอีกครั้ง ซูจินี กระเด็นตกจากหลังม้า สลบไป คนอื่นๆ เช่น ขุนพลโก ฮยอนโก บังคับม้าให้ออกวิ่งไม่ได้ ทหารตกจากหลังม้าลงมาหลายคน



มีแต่ ทัมด๊ก พระองค์เดียว ที่ทรงม้า มุ่งไปทาง ชอโร ชอโร รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจต้องยกมือกุมหัวใจ แล้ว ชอโร ก็ขี่ม้ามาก้มลงมาฉุดร่างของ ซูจินี ขึ้นไปบนหลังม้าพาหนีเข้าไปในป้อมด้วย



ในค่ายของโคคุเรียว ดัลบี เข้ามาดูแลใส่ยาให้ จูมูชิ บาซอนรีบดึง มันดัก ถอยออกไปหลีกทางให้ดัลบี จูมูชิที่รู้สึกตัวแล้ว ยังปากเก่งว่า : ข้าควรจะฆ่าเขา เจ้าปิศาจตนนั้น ข้าควรจะฆ่าเขา เขาไม่ใช่มนุษย์ ดัลบี ทายาให้ ร้องไห้ไป บ่นไป ทุบตีไป : ท่านเต็มไปด้วยบาดแผล และรอยถลอก ดูตัวเองสิ บางทีก็ใส่ยาให้แรงๆ จูมูชิ เจ็บ นอนสะดุ้งร้องโอดโอยหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทางทุกข์ร้อน ห่วงใยและโมโหของดัลบีขนาดนี้ ก็เอียงหน้าไปอีกทางแอบยิ้มสุขใจ ดีใจ

ฮีกแก และลูกชาย มายืนเก้ๆกังๆ หน้ากระโจมของ ทัมด๊ก บิดมือตัวเองไปมา จนขุนพลโกที่เดินมาที่กระโจมจากอีกด้าน สอง พ่อลูกชะงัก ขุนพลโกเปลี่ยนใจเดินมาที่ ฮีกแกและลูกชาย ถามว่าท่านมาทำอะไร ฮีกแกหันหลังหลังให้เหลียวหน้ามาถามว่าอะไร ขุนพลโก : ท่านฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ท่านเป็นต้นเหตุให้สูญเสียทหารที่มีค่าท่านควรไปฆ่าตัวตายเสีย ยังจะมายืนตรงนี้ทำไม สองพ่อลูกหันมาเต็มตัว ฮีกแก บอกว่าตนสำนึกผิดจะมาขอรับผิดกับการกระทำ แต่ฝ่าบาทยังไม่เรียกให้เข้าเฝ้า ขุนพลโกสั่งทหารให้จับตัวผู้ทำผิด ทหารไม่กล้า ขุนพลโกตวาดสั่งซ้ำ ว่าพวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ ฮีกแก ยกสองมือห้ามทหาร ไอ้บ้า... อยากตายรึไง ลูกชายตกใจปราดเข้าขวางฮีกแก ห้าม แล้วหันมาทางขุนพลโก ข้าขอโทษ ท่านพ่อทำอะไร คุกเข่า ! หลังจากคุกเข่าหน้าขุนพลโก ก็หันมาเรียก พ่อตัวเองตัวเอง ฮีกแก : ไอ้เด็กโง่ ถ้าข้าจะคุกเข่า ข้าก็จะทำต่อหน้าฝ่าบาท ข้าจะต้องคุกเข่าหน้ากระโจมหรือ เจ้า นี่.... นี่...
(ลูกชายของฮีกแก คนนี้ ชื่อ ดัลโก)



ในกระโจม ฮยอนโกกราบทูล ทัมด๊ก ที่ ประทับยืนกอดพระอุระให้รีบถอยทัพออกไปจากบริเวณนี้ทันที ผู้อาวุโส ฮยอนจัง ท้วงว่า ท่านหัวหน้าแล้ว ซูจินี ของเราล่ะ ฮยอนโก ตอบว่า พวกเราศิษย์โคมิล เป็นผู้รับใช้กษัตริย์จูชิน เราไม่สามารถหยุดหน้าที่ของเราเพื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วหันมากราบทูลว่า กองกำลังเสริมของแพคเจจะมาถึงที่นี่ภายในวันมะรืนนี้ เมื่อรวมตัวกับทหารของควานมี พวกนั้นจะเหนือกว่าเรา
ทัมด๊ก ทรงมีรับสั่งว่า : ไปเตรียมตัว เราจะเคลื่อนย้ายก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ส่งสาสน์ไปยังกองทหารต่างๆที่อยู่รอบๆ เราต้องถอยโดยไม่ให้ทหารแพคเจรู้ ฮยอนจัง ถวายคำนับถอยออกไป
ฮยอนโก กราบทูล ทัมด๊ก : ฝ่าบาทเราจะทำในสิ่งที่ทรงคิดอยู่ไม่ได้ ทรงอย่าคิดแม้แต่จะช่วย ซูจินี พะย่ะค่ะ ซูจินี ที่น่าสงสาร



ในค่ายทหารของยอนโฮแก ที่ที่ราบทางเหนือของ ฮาบุค
ยอนโฮแก อิลซูและจอกฮวาน ขี่ม้าผ่านมา ที่ มีพวก นายทหาร ปรึกษาความซุบซิบ กัน อิลซู มองออกว่า พวกนั้นวางแผนการบางอย่าง ยอนโฮแกนั่งดื่มเหล้า ไม่สนใจใคร จอกฮวาน อิลซู เถียงกันเรื่องจะจัดการกับพวกนายทหารเป็นตัวอย่าง จอกฮวานไม่เห็นด้วย : ถ้าเราจะจัดการกับพวกแม่ทัพเราควรจะมีเหตุผลที่ดี อิลซู แย้งว่า : การลงโทษทหารที่ฝ่าฝืนคำสั่งเป็นสิ่งที่ทำได้พวกนั้นคิดที่จะยุยงให้มีการก่อการแข็งข้อ ยอน โฮแก ทุบโต๊ะ ลุกขึ้น แต่โซเซต้องเข้าประคอง แล้วถามว่า นางยังมาไม่ถึงอีกหรือ ทำไมท่านถึงไม่อยู่ที่นี่ ใครบอกว่าท่านจะมา บรรดาแม่ทัพ เริ่มมีการซุบซิบนัดพบพูดคุย ไม่พอใจยอนโฮแก ที่ ไม่เป็นอันทำอะไร หลังออกมาจากชายแดน เอาแต่ดื่ม ทั้งวันทั้งคืน และพากันพูดถึงผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ที่กลายมา เทวีพยากรณ์
: ไม่เห็นจะเป็นไร ไม่ว่าจะเป็นเทวีพยากรณ์หรือจะเป็นผู้ดูแลอารามหลวง แต่ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่อารามหลวงมายุ่งเกี่ยวกับนโยบายการรบการเคลื่อนพลไม่ว่านางจะเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ประเด็นคือนางมีอิทธิพลเหนือผู้บัญชาการทหาร ต่างหาก เขาสั่งการทหาร 4 หมื่นคน แต่ตอนนี้จะทำอะไร ก็ขึ้นกับคำสั่งของนาง แม้เขาจะเป็นทายาทตระกูลยอนของโคคุเรียว แต่เขายังเด็กไป พวกเราต้องรออยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ
แล้วทุกคนก็ตกใจ ที่มีแสงเพลิง นำทาง โซคีฮา เข้ามา ถามหาให้พาไปกระโจมของ ยอนโฮแก
มาชมความเป็นนางมารร้ายของ โซคีฮา ตัวจริง เสียงจริง
โซคีฮา มาช่วยเช็ดหน้าให้ยอนโฮแกที่เมาเหล้า ยอนโฮแกคิดว่าตัวเองฝันไป เพ้อว่าถ้าไม่ใช่ความฝันท่านคงไม่ได้มาอยู่ข้างข้า โซคีฮา บอกว่า ถ้านี่คือความฝัน เช่นนั้น ท่านจะฟังสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่ ยอนโฮแก ที่จับมือโซคีฮาอยู่ เอามือมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ
โซคีฮา : เมื่อใดที่ข้าคิดถึงท่าน ข้ารู้สึกเสียใจเสมอ ข้ารู้ว่าท่านอยู่กับข้าเสมอ ท่านจะอยู่เบื้องหลังข้าตลอดไปได้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าข้าจะยังขอร้องท่านตลอดไป ข้าจะขอให้ท่านนำสัญลักษณ์เสือขาวมาให้ข้า และข้าจะขอให้ท่านนำโคคุเรียวมาให้ข้าอีกด้วย ข้าต้องการท่าน ข้าต้องการจิตวิญญาณของท่าน เมื่อข้าได้ ข้าจะใช้มัน และเมื่อใช้เสร็จแล้วข้าจะละทิ้งมัน ท่านจงค้นหาสัญลักษณ์เสือขาว และเมื่อ ทัมด๊ก มาที่นี่ ฆ่า...เขา เพื่อข้า ข้าจะจัดการเอง เพื่อให้เขามาที่นี่ ไม่ใช่ที่ปราสาทโกกแน ไปเอาสัญลักษณ์เสือขาวมาและ ฆ่า...เขา
( โซคีฮาในชาตินี้ ร้ายกาจกว่า คาจิน แบบนำหน้าไปไกลไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นเลย )
ช่างน่าสมเพทเวทนา ยอนโฮแก ที่ หลงรัก ลุ่มหลง อีกทั้ง โง่เง่า งี่เง่าสุดๆ หรือจะสมน้ำหน้าดี ที่มาเป็นตัวโกง อาจหาญมาเป็นคู่แข่งของ ทัมด๊ก
ยอนโฮแก : ข้าอยู่กับท่านเสมอ เพราะข้าไม่สามารถไปไกลจากท่านได้ ถึงข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่เขลา ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านไม่ต้องขอร้องอะไรอีกเลย แค่ท่านบอกสิ่งที่ท่านต้องการ ทุกอย่างจะเป็นของท่าน แล้วต่อไป ท่านจะฆ่าข้า เช่นเดียวกับเขาไหม (โซคีฮา ตอบตรง ๆ ว่า บางที...) หากเป็นเช่นนั้น ข้าอยากขอร้องท่าน เมื่อถึงเวลานั้น อย่าให้คนอื่นทำ ท่านทำด้วยตัวเอง


ที่ค่ายโคคุเรียว
ทหารกำลังเก็บรวบรวมสัมภาระ ฮีกแก เอาแต่บ่นว่า เสียเปล่า..... เสียเปล่า.... เรา ทำงานหนักจนได้ชัยชนะ แล้วต้องคืนป้อมปราการทั้งหมด ตับไตไส้พุงของข้ามันรวนเรไปหมดเพราะความโกรธแล้วนี่ เพราะเจ้าตัวร้ายนั่น เขาน่าจะมา เมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งให้มา ข้าหมายถึง โฮแก น่ะ ท่านแม่ทัพ ไม่อย่างนั้น ป้อมปราการควานมี ตอนนี้ต้องเป็นเราแน่นอน เราเกือบจะได้อยู่แล้ว เราเตรียมการไว้พร้อมแล้ว แต่เขาปฎิเสธ เจ้าตัวร้าย ข้าสงสัยว่า ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่ ข้าให้ คนของข้าตามไปคอยอารักขาฝ่าบาท เจ้าเด็กบ้า นั่นจะไปไหน ? ก็ลูกชายตัวดี วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงาน: ฝ่าบาทไม่อยู่ แต่ทิ้งสิ่งนี้ให้ท่าน ท่านควรรีบอ่าน แล้วยื่นม้วนหนังสือให้ขุนพลโก ขุนพลโก อ่านจบเงยหน้าตกใจ เหวี่ยงหนังสือไปทางฮีกแก ออกวิ่ง ไม่สนใจเสียงเรียก ฮีกแก ก้มเก็บม้วนหนังสือ คลี่ออกอ่าน แล้วเหวี่ยงม้วนหนังสือให้ลูกชาย วิ่งอ้าวตามขุนพลโกไป ลูกชายของฮีกแก คลี่อ่านจบแล้วไม่รู้จะเหวี่ยงให้ใครต่อ ก็ได้แต่วิ่งตามพ่อและขุนพลโกไปอีกคน
ฮยอนโก และจูมูชิ จะแอบไปช่วยซูจินี โดยขึ้นเกวียนไป
ฮยอนโก : เจ้าเป็นแบบนี้แล้วจะไปทำอะไรได้บ้างล่ะ ( บาดแผลเต็มตัวอย่างนี้)
จูมูชิ : แล้วอาจารย์ (เรียกตามทัมด๊ก) ทำอะไรได้บ้างล่ะ
ฮยอนโก : ข้าป็นผู้พิทักษ์เต่าดำนะข้าเชื่อว่าสวรรค์จะต้องช่วยข้าเมื่อข้าต้องการ
จูมูชิ : ท่านเชื่ออย่างนั้นหรือ
ฮยอนโก หัวเราะ : ไม่หรอก
จูมูชิ : อาจารย์ผู้ชาญฉลาด แผนการของท่านเป็นอย่างไร ท่านจะช่วย ซูจินี ได้อย่างไร ท่านจะเข้าป้อมควานมีได้อย่างไร
ฮยอนโก : ข้าต้องทรยศพวกเรา ข้าจะบอกพวกเขาว่าข้าเป็นหัวหน้ากองทัพโคคุเรียวและข้าทรยศต่อโคคุเรียว และมาหาท่านโปรดรับข้าไว้ด้วย
จูมูชิ : จริงหรือ
ฮยอนโก : ไม่หรอก ขอบใจที่เจ้าคิดจะไปช่วย ซูจินี ทั้งที่เจ้ายังเจ็บอยู่อย่างนี้...
จูมูชิ : ท่านจะบ้าหรือ ข้าจะช่วยเปล่า ๆ ได้อย่างไร ข้าเป็นทหารรับจ้าง ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ แล้ว สองคน ก็ปรึกษาวางแผนแบบเถียงกันไป ค้านกันมา............................................
เจ้าดีมาก... เจ้าเป็นคนดี
ในป้อมปราการควานมี ซูจินี ที่ยังสลบอยู่หลับตาพิงต้นไม้ ชอโร เอื้อมมือจะไปสัมผัสแก้ม แต่แล้วกลับเห็นภาพเปลวไฟที่ลุกท่วม และฟินิกซ์ดำในห้วงความคิด ชอโร ถอยออกมา เอามือกุมหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะโลดออกมานอกอก
เมื่อซูจินี ฟื้นขึ้นมาก็พยายามหาทางออก มีเสียงแหบ ๆถามว่า เจ้าเป็นใคร แต่ซูจินี กลับมองไม่เห็นเจ้าของเสียง เธอ พูดว่า : ออกมา เจ้าเป็นหนูหรืออย่างไร อย่าซ่อนตัว ออกมา เสียงชอโรตอบว่า ข้ารู้จักเจ้า


แต่พอซูจินี ได้เจอตัวชอโรจริง ก็ต้องตกใจ
ชอโร : ข้าไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นข้าไม่เคยป่วย เพราะข้าไม่ใช่มนุษย์ ร้องแล้วหนีไป เหมือนทุกครั้ง ...ทุกคน.... ที่เห็นข้า
ซูจินี ค่อยๆเอื้อมมือแตะมือที่น่าเกลียด (พอๆ กับหน้าตา) ชอโรส่งสายตามองซูจินี (เห็นลูกตาสีฟ้ากลิ้งไปกลิ้งมา)



ซูจินีถามว่า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม พอ ชอโร เงยหน้าขึ้นมาเต็ม ๆ ซูจินี ก็ ผงะ ชอโรถาม ซูจินี ว่า เจ้า...และเขา... เขาเป็นใคร... เขาเป็นอะไรกับเจ้า ซูจินี งงว่า เขา...ที่ชอโรถามนั้นหมายถึงผู้ใด
ชอโร พูดต่อว่า เขาเป็นใคร ทำไมเขาทำให้หัวใจของข้าเจ็บ แล้วก็มีลมกรรโชกแรง


ทัมด๊ก ทรงม้า พระองค์เดียว ไปที่ประตูป้อมควานมีแจ้งว่าเป็นผู้นำสาสน์มาจากกษัตริย์โคคุเรียว และแสดงด้ามพระแสงดาบของกษัตริย์ จูมง ว่า นี่เป็นพระลัญจกร กษัตริย์ให้ข้ามาถาม ผู้บัญชาการป้อมควานมี ว่าต้องการเอาป้อมปราการทั้งสิบของแพคเจ รวมทั้งป้อมซอคคยอนซอง กลับคืนหรือไม่
ขุนพล กากิน สงสัยว่า ทำไมกษัตริย์โคคุเรียวถึงจะสละป้อมปราการ ที่ทรงยึดได้มา คืนให้
ทัมด๊ก บอกว่า กษัตริย์สั่งให้พูดกับผู้บัญชาการเพียงคนเดียวเท่านั้น กากินจึงพา ทัมด๊ก เข้าไปในป้อมปราการ ระหว่างที่เดินไปนั้น กากิน พูดว่า : มาที่นี่คนเดียว..กษัตริย์ของเจ้ากำลังให้เจ้าสละชีวิตตนเอง ทัมด๊กบอกว่า : กษัตริย์ของข้าต้องการช่วยชีวิตคนอื่น กากินหยุดเดิน และแนะนำตัวเองว่า
ข้า...กากิน.. หัวหน้าแม่ทัพของป้อมควานมี เจ้าชื่ออะไร มาจากครอบครัวใด
ทัมด๊ก : ถ้าข้าตอบข้าต้องพูดปด ฉะนั้นโปรดอย่าถามข้า
กากินค่อยๆ นึกได้ ว่าผู้อยู่ตรงเบื้องหน้าตนเองคือใคร ถามว่า : ท่านได้ชมการแข่งขัน ที่ปราสาทโกกแนหรือไม่ มันเป็นภาพที่น่าชมมาก มันดีมาก.. แล้วกากินก็เดินไปที่ประตู รายงานว่า
: คนนำสาสน์มาแล้ว เขาแจ้งว่าพวกนั้นจะยอมทิ้งป้อมที่ยึดได้จากแพคเจทั้งหมดท่านจะพบเขาไหม ประตูห้องเปิดออก มีสายลมตามมาด้วย พร้อมเสียงแหบๆ ว่า.. เข้ามา
ทัมด๊ก ทรงพระดำเนินออกจากห้องไปทางด้านที่ตั้งเก้าอี้นั่งของ ชอโร ทรงบอกว่า : ข้าจะทิ้งป้อมทั้งสิบ ของแพคเจ ถ้าหากท่านคืนผู้หญิงที่ท่านได้นำตัวมา
ชอโร : นางเป็นผู้หญิงของท่านหรือ
ทัมด๊ก ไม่ตอบ และทรงพระดำเนินออกไปด้านนอก จนพบดงไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ไหวแรงผิดปกติ และด้ามพระแสงดาบของกษัตริย์จูมง ที่ได้คืนมา ก็ส่องแสงสว่างขึ้น ทรงปลดออกจากบั้นพระองค์ มาถือไว้ในพระหัตถ์ ใบไม้ กิ่งไม้ ไหวแรงขึ้น ทรงหลับพระเนตรรวบรวมสมาธิ กิ่งไม้ใบไม้หยุดสั่นไหว ด้ามพระแสงดาบ ส่องแสงสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้น ที่เบื้องพระปฤษฎางค์ ของพระองค์ ชอโร พุ่งทวนเข้าใส่ ทัมด๊ก แต่มีแรงผลัก ชอโร ออกมา


ทัมด๊ก ทรงหันมา ชอโร ทรงตัวได้ ตั้งท่าถือทวนกระชับมั่นในมืออีกครั้ง แล้วก็แวบเห็นพระพักตร์ของเทพฮวานอุงแทนพระพักตร์ของทัมด๊ก จิตใต้สำนึกมองเห็นภาพการต่อสู้ของมังกรน้ำเงินและฟินิกซ์ ชอโร ไม่หยุดคิด กระโดดตัวลอยพุ่งตัวและทวนใส่ ทัมด๊ก เต็มแรง คราวนี้ แรงกระแทกกลับมาแรงกว่าเก่า ชอโร กระเด็นลอยจากพื้นปะทะต้นไม้และตกลงมานั่งหลังพิงต้นไม้ มือที่กำด้ามทวนสั่นระริก อีกมือ กุมหัวใจตัวเอง แล้วทำท่าทาง พร้อมคำพูดว่า : ช่วยข้า...ด้วย ...


ทัมด๊ก ทรงยกด้ามพระแสงดาบขึ้นกลายเป็นธนูวิเศษ แสงสว่างจากคันธนู เป็นประกายสีขาวเจิดจ้า ทัมด๊ก ทรง รำลึกถึงภาพ ที่ โซคีฮา ใช้พระแสงดาบ นี้ แทงพระอุระของพระองค์ในอารามหลวงในวันทดสอบดาบ Kauri … พิพากษาจากสวรรค์ ..พระองค์เองสะดุ้ง และทรุดองค์ลงลงบนพื้น พระแสงดาบส่องรัศมีประกายเจิดจ้า แล้วก็ละลายเหลือแต่ด้ามพระแสงดาบหล่นลงมา ทัมด๊ก ทรงง้างสายธนู ชอโร ทำท่าเจ็บปวดที่หัวใจเหลือเกินส่งเสียงคราง ทัมด๊ก ทรงปล่อยลูกธนู แล่นลิ่วไปที่หัวใจของ ชอโร ชอโร เซไปมา แล้วประกายสว่างจ้าสีขาวก็ พวยพุ่งครอบคลุม เหนือป้อมปราการควานมี



ส่วนฮยอนโก และจูมูชิ ที่ เห็น ทัมด๊ก ทรงม้าที่หน้าป้อมปราการ และเสด็จเข้ามาในป้อม ทั้ง สอง คน ลอบปีนช่องกำแพงปราการเข้ามา และฆ่าทหารเวรยาม ไปหลายคน จนมาถึงหน้าห้องของ ชอโร ซึ่งกากิน ยืนดักคอยอยู่ เพราะคาดการณ์ไว้ว่า ทัมด๊ก คงไม่ได้มาพระองค์เดียว กากินได้ถาม ฮยอนโกว่า กษัตริย์ของท่านคือกษัตริย์จูชินใช่หรือไม่ ฮยอนโก จึงเล่า ว่าตนเองเป็นหัวหน้าหมู่บ้านโคมิล ก่อนที่ ฮยอนโก จะจำกษัตริย์จูชินได้ สัญลักษณ์เต่าดำ จำพระองค์ได้ก่อน กากินจึงบอกว่าตนเองก็รอคอยกษัตริย์จูชิน มีแต่กษัตริย์จูชิน ที่สามารถช่วยผู้พิทักษ์ของข้า ปลดปล่อยเขาจากคำสาป กษัตริย์ของท่านเข้าไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ถ้าทรงเป็นกษัตริย์จูชินที่แท้จริง ก็คงจะทรงปลดปล่อยคำสาปจากสวรรค์ให้เขาได้ ฮยอนโก ถามว่า แล้วสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด แล้วก็มีเสียงประหลาด ดังออกมาจากในห้องของ ชอโร เป็นเสียงหวีดหวิว ทั้งสามคน ตามมาพบแสงสว่างที่ส่องจ้า รวมทั้งพบ ซูจินี ด้วย ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังที่เกิดแสงสว่างนี้


ทัมด๊ก ทรงลดคันธนูลง ชอโร ทรุดกายลงที่พื้น มือหลุดจากทวน สองมือห้อยลงหลังพิงต้นไม้ ทัมด๊ก เสด็จไปใกล้ เอื้อมพระหัตถ์ ถอดหน้ากากของ ชอโร ออก ทอดพระเนตรเห็นใบหน้า มีเส้นโป่งพอง เป็นริ้วรอยสีดำๆเขียว ๆ บนใบหน้า ซูจินี วิ่งมาถึง มอง ทัมด๊ก มอง ชอโร แล้วเอามือไปจับบ่าของ ชอโร กราบทูลว่า เขายังมีชีวิตอยู่



มีประกายสว่างจ้าที่บริเวณหัวใจของ ชอโร เป็นสัญลักษณ์มังกรน้ำเงิน โผล่ออกมาจากตำแหน่งหัวใจของ ชอโร ทัมด๊ก ทรงดึงสัญลักษณ์นี้ออกมา ถือไว้ในพระหัตถ์ แล้วประทับยืนขึ้น ซูจินี ลุกตามพระองค์ กากิน ฮยอนโก และจูมูชิ วิ่งมาถึง ต่างมองสัญลักษณ์ ในพระหัตถ์ของ ทัมด๊ก ที่ทรงก้มทอดพระเนตร ชอโร


กากิน : มันคือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำเงิน กากินมอง ทัมด๊ก มอง ชอโร แล้วก็ทรุดตัวลง กราบทูล ทัมด๊ก ถึง เหตุการณ์ที่ ชอโร อายุเพียง 10 ขวบ ในคืนที่ดวงดาวจูชินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สัญลักษณ์ส่องแสง ปราสาทถูกบุกโจมตี บิดาของ ชอโรได้แทงสัญลักษณ์นี้ไปที่หัวใจของ ชอโร เพื่อปกป้องสัญลักษณ์นี้ไว้
โอ้ ผู้พิทักษ์ตะวันออก ข้ามอบให้ท่าน หัวใจของลูกข้า แล้วตัวเองก็ถูกผู้บุกรุก ฟันตาย
กากิน พูดต่อว่า ข้าขอรับใช้กษัตริย์จูชิน
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรสัญลักษณ์ในพระหัตถ์ ที่ใบหน้าของ ชอโร ความน่าเกลียดที่ฉาบไว้ค่อย ๆหลุดลอกออกมา



ที่ปราสาทโกกแน ยังคงมีการแสดง ร้องชื่นชมโฮแก แต่คราวนี้ ฮยอนยอง และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้น คอยขัดจังหวะ พูดถึงความเก่งกล้าของ ทัมด๊ก กษัตริย์ของเรา ที่ยึดป้อมปราการ ของแพคเจได้ 10 ป้อม ทรงใช้ทหารไม่ถึงหมื่น ทรงมีทหารไม่ถึงพันด้วยซ้ำไป ทรงยิ่งใหญ่มาก ประชาชน ปรบมือ แต่นักแสดงบนเวทียังพยายามแสดงความชื่นชม ยอนโฮแก ต่อ แต่ไม่มีผู้ชมเสียแล้ว ประชาชนพากันแยกย้ายกันออกจากจากบริเวณที่มีการแสดงจนไม่เหลือใครเลยนอกจากพวกนักแสดงเอง

ที่บ้านเสนาบดียอนวุ่นวายกับการจัดสิ่งของ อาวุธ ทหาร ไปเพิ่มให้ยอนโฮแก เสนาบดียอนปรึกษากับแทจังโร ว่า : เราไม่มีอะไรจะแสดงให้สภาเสนาบดีเห็นผลงานของยอนโฮแก แทจังโรตอบว่า ตอนนี้ เทวีพยากรณ์ (โซคีฮา) ไปยังกองทัพ คงจะมีข่าวดีในไม่ช้านี้
เสนาบดียอนมีท่าทางไม่พอใจ เมื่อได้ยินคำว่าเทวีพยากรณ์ บอกแทจังโร ว่า ยอนโฮแก ได้ความกล้าหาญ มาจากแม่คือท่านหญิงยอน เมื่อ ยอนโฮแกเริ่มหัดเดิน นางสอนเขาถึงวิธีการเดินอย่างกษัตริย์ วิธีการพูด การวิ่ง โฮแก ได้รับการสอนเช่นนี้ ทำทุกอย่างตามแม่สอน : ท่านรู้ไหมข้าพยายามพูดอะไร
แทจังโร : ท่านผู้บัญชาการคาดหวังว่าเทวีพยากรณ์จะเหมือนท่านแม่ของเขา นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการพูดหรือ เสนาบดียอน : สำหรับแม่ของเขา โฮแก คือท้องฟ้า แล้วเขาเป็นอะไรต่อฟินิกซ์ ที่ท่านรับใช้อยู่
แทจังโร ยิ้มไม่ตอบคำถามนี้
ฮยอนยอง ได้พบลูกน้องช่างตีเหล็ก ของบาซอน ที่ถูก ฮวานเชินจับตัวไป ผู้ชายคนนี้บอกว่า มีเรื่องต้องบอกให้บาซอนรู้ และกระซิบให้ ฮยอนยอง ฟัง


ที่ป้อมปราการควานมี กากิน ยกถาดยาไปหาซอโร ที่หน้าตาและเนื้อตัว ลอกคราบความน่าเกลียด ออกไปเยอะแล้ว ทัมด๊ก ซูจินี ขี่ม้า ฮยอนโก และจูมูชิ นั่งเกวียน ออกมานอกป้อมควานมี



ฮยอนโก : แล้วผู้นำแบบไหนกันเล่า ที่ส่งกองทัพไปที่อื่น ขณะที่ตัวเองเข้าไปในอาณาเขตของศัตรู ด้วยตัวเอง หม่อมฉันพูดถูกไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านพูดพอหรือยัง ข้าอุดหูตัวเองแล้ว ( ฮยอนโก คงพูดมากมาตลอดทาง )
ฮยอนโก : แล้วเราจะกลับปราสาทโกกแน ได้อย่างไร พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : งั้นพวกเราอยู่ที่ป้อมควานมี แล้วพวกเรา สี่คน ปกครองที่นั่นดีไหม ( สังเกตไหมว่าคนเล่าจะพยายามสื่อว่า ทัมด๊ก พระองค์ นี้ ทรงเป็นกันเองกับข้าราชบริพาร และทรงมีอารมณ์ ขัน เสมอ เป็นกษัตริย์ที่อารมณ์ดี)
ฮยอนโก : จากโอ๊คซุน ถึงปราสาทโกกแน ทั้งหมดเป็นอาณาเขตของแพคเจ พระองค์จะทรงต่อสู้จนกระทั่งถึงที่โน่นหรือ พวกเราจะไปกันเองได้อย่างไร พะย่ะค่ะ
ซูจินี : ข้าไม่คิดว่าจะเป็นพวกเรา
ขุนพลโก ฮีกแกและบุตรชาย ขี่ม้ามารอรับเสด็จ ทัมด๊ก
ฮยอนโก : พวกเขามากันแล้ว
ขุนพลโก : ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว



ทัมด๊ก : พวกท่านไม่ได้รับคำสั่งข้าหรือ.... ทำไมไม่กลับไปปราสาทโกกแน ทำไมพวกท่านยังอยู่ที่นี่
ฮีกแก : หม่อมฉันบอกเขาว่า เราควรจะไป แต่พวกเขาไม่ฟัง หม่อมฉันจะทำอย่างไรได้ พวกนั้นเป็นคนของฝ่าบาท
ขุนพลโก : ทรงสัญญากับหม่อมฉันว่า ฝ่าบาทจะไม่ไปก่อนหม่อมฉัน หม่อมฉันเชื่อคำพูดของพระองค์ และมารอพระองค์อยู่ตรงนี้พะย่ะค่ะ
ฮีกแก : เชื่ออะไร สิ่งที่ท่านทำก็แค่เดินหน้าถอยหลัง เอาแต่พูดว่า ถ้าฝ่าบาทไม่ออกมาท่านจะเข้าไปข้างในเอง ข้าถามท่านว่า ท่านแน่ใจหรือว่าทรงเข้าไปที่นั่นเพียงลำพัง แล้วท่านก็พูดว่า........ ทัมด๊ก ทรง ขำฮีกแก ลูกชายก็สะกิดพ่อ บุ้ยปากไปทางทัมด๊ก เหมือนจะบอกให้พ่อเงียบ ได้แล้ว ฮีกแก หัวเราะร่า....

Copyright @ Amornbyj & SUE

Thursday, May 8, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 14 )


...ตอนที่14 ...

ในป้อม ซอคคยอนซองของแพคเจ แม่ทัพให้ทหารไปส่งข่าวที่ป้อมโอ๊คซุน ขอกำลังเสริมมาด่วน ขุนพลโกประจัญหน้ากับหัวหน้าป้อม : ข้าเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการแพคเจแห่งนี้ ถ้าท่านต้องการยึดป้อมของข้า ท่านต้องฆ่าข้าเสียก่อน ขุนพลโกตอบว่า ข้าไม่มีเวลาลงจากหลังม้าข้าจะพูดตรงนี้เลย กษัตริย์ได้มีพระบรมราชโองการว่าใครก็ตามที่เอาชีวิตของคนที่ไม่มีอาวุธ ใครก็ตามที่แตะต้องผู้หญิง หรือเอาของที่ไม่ใช่ของตนเอง พระองค์จะทรงจัดการคนผู้นั้นทันที
ผู้บัญชาการป้อมแพคเจ ยังดื้อดึงว่า นักรบแพคเจจะไม่ยอมแพ้แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ขุนพลโก : ไม่ว่าท่านจะยอมแพ้หรือไม่ ข้าก็แค่แจ้งพระบรมราชโองการกษัตริย์ของข้า ท่านจะทิ้งอาวุธและยอมเป็นคนในบังคับ หรือจะฆ่าแม่ทัพของท่านและตัวเองก็ตามใจท่าน
ขุนพลโกกระตุ้นม้าจะจากไป
ผู้บัญชาการป้อม : เดี๋ยวก่อนท่านควรบอกชื่อกษัตริย์ของท่านให้ข้ารู้
ขุนพลโกเหลียวหน้ากลับมา : ทรงเป็นคนที่ข้าไม่สามารถเอ่ยพระนามได้ โดยผู้นั้นไม่ก้มศีรษะให้
ทัมด๊ก ทรงม้าเข้ามา พอดี




ทัมด๊ก ทรงนำทหารยึดป้อมซอคคยอนซอง ได้วันที่ 2
และทรงสามารถเอาชนะป้อม โอ๊คซุนได้ในวันที่ 5
จูมูชิ และคนซีอู ตามจับตัว ม้าเร็วที่ส่งจากซอคคยอนซอง มา โอ๊คซุน ตามพระบัญชาที่ทรงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า พอประตูป้อมเปิด รับม้าเร็ว คนนำสารถอดหมวกออกกลายเป็น จูมูชิและซูจินี
จูมูชิ ต่อว่าซูจินี ว่า : ทำไมเจ้าไม่อยู่ข้างหลัง เจ้าจะทำให้ฝ่าบาททรงเป็นห่วงหรือ
ซูจินี : ท่านคนเดียวหรือที่จะปกป้องพระองค์ ท่านเองไม่มีคนคอยเป็นห่วงอยู่ข้างหลังหรือ
จูมูชิ : อะไร เจ้าเหลวไหล
ซูจินี : ท่านไม่รู้หรือ นางบอกว่าทุกครั้งที่เห็นท่านหัวใจของนางแทบจะหล่นลงพื้น
จูมูชิ : จะ... จริง ..หรือ
ซูจินี : จริง จูมูชิ ลังเล แต่แล้วซูจินี ก็พูดต่อว่า เสียเมื่อไหร่ (รวมความว่า จริง..เสียเมื่อไหร่ ) แล้วก็หัวเราะชอบใจที่หลอกจูมูชิได้ .. พอดีทหารแพคเจ เห็น สองคน นี้ไม่ใช่ชาวแพคเจ ก็กรูกันมา ต่อสู้ ก็ต้องชนะอยู่แล้วนะคะ จูมูชิ ใช้พละกำลังเปิดประตูป้อมที่ปิดอยู่ด้วยสองมือ



ซูจินี ถามต่อว่า : ท่านยังไม่รู้ชื่อนางใช่ไหม จับมือนางหรือยังล่ะ
จูมูชิ : อะไร
ซูจินี : ท่านนี่ไม่เอาไหน ถ้าท่านอยากร่วมเตียงกับนาง ก็คงเป็นปีนี้แหละ
จูมูชิ : ผู้หญิงเขาต้องกินอะไรกัน ถึงจะเหมือนเจ้า...หา .... (อายปนดีใจ เลยทำเสียงดังกลบเกลื่อน)
ซูจินี : ฮ้า..ทุกคืนกินตับเต่า ( แบบนี้ชาวโคมิลหมู่บ้านเต่าดำโดนซูจินี หลอกกินตับไปหมดทั้งหมู่บ้าน ฮยอนโก โดนคนแรกเลย นะซี)
จูมูชิ เสียงหลง : หะ..หา..
ซูจินี พูดต่อ : ทุก 3 วัน กินหัวงูพิษ แล้วก็ .. โสมป่า ทุกเดือน
จูมูชิ : จริงหรือ
ซูจินี : มันจะจริงได้ยังไง แถมทำหน้าทะเล้นให้จูมูชิ ล้อว่าถูกหลอกอีกแล้ว (จูมูชิเอ๋ย ถูกหลอกซ้ำซาก)

ที่โอ๊คซุนนี้ ฮีกแก เป็นผู้อ่านพระบรมราชโองการ
กษัตริย์ แห่งโคคุเรียว ทรงมีพระดำรัสดังนี้ แพคเจเป็นชาติหนึ่งที่มีกำเนิดจากโคคุเรียว ใครก็ตามที่ร่วมมือกับเมืองพี่ ใหญ่ จะถือว่าเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นช่วยกันกระจายพระราชดำรัสของกษัตริย์ ไปยังคนในบังคับของป้อมนี้ทุกคน



ทัมด๊กทรงเอาชนะป้อม อิลมี ได้ ในวันที่ 6 (ผลงานสูงกว่าเป้าหมาย เพราะตั้งเป้าตอนวางแผนว่า ใน 7 วันต้องยึดได้ 3 ป้อม ) ฮีกแก อ่านพระบรมราชโองการว่า
ของทุกอย่างในคลังของผู้บัญชาการ เป็นของคนในบังคับก่อน ของเหล่านี้จะกลับไปหาคนในบังคับ (ดัลบี ง่วนกับการจัดสรรสิ่งของเหล่านี้ และผู้บัญชาการป้อมนี้คงไม่ค่อยดีเลยถูกยึดทรัพย์เอามาแจกประชาชน)

ทัมด๊กเอาชนะ ป้อมปราการ อัพแพ ได้ในวันที่10 มีพระบรมราชโองการว่า
อย่าทำอันตรายต่อคนในบังคับ ถ้าใครทำจะถูกตัดหัว ทหารแพคเจที่ไม่ต้องการสู้กับโคคุเรียวจะไม่ถูกจัดการใดๆ พวกนั้นจะไม่ถูกจับเป็นเชลย
ป้อมปราการนี้ เปิดประตูรับกองทัพ ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ



ทัมด๊ก เอาชนะป้อมปราการ ยอกุล ได้ในวันที่11 มีพระบรมราชโองการว่า
ถ้าพวกนั้นวางอาวุธ จะได้รับอนุญาต ให้ออกจากป้อมปราการ ไปบอกป้อมปราการที่อยู่ถัดไป
ว่ากษัตริย์ โคคุเรียว ทรงรอคอยความจงรักภักดี
ทัมด๊ก ทรงม้า เส้นพระเกศาปลิวไสว ในชุดนักรบ เกราะ งามสง่า


จอกฮวาน หัวหน้ากองทหารม้าเหล็ก พาทหารมาถึงค่ายของยอนโฮแก ทางเหนือของป้อม พัลโกล แพคเจ และถูก แม่ทัพของ ยอนโฮแก เสียดสี : ทหารม้าเหล็ก แบกม้า บนหลังมาหรืออย่างไร พวกเราเสียเวลาที่มีค่ามากแค่ไหน มานั่งรอนักรบที่มีค่าเช่นพวกท่าน แต่ ยอนโฮแก กลับถามว่า : แล้วคนที่จะพามาด้วยเล่า
จอกฮวาน ตอบว่า ที่มาช้าก็เพราะนางป่วยระหว่างทาง ยอนโฮแก ตกใจเล็กน้อย เรารอจนนางหายดี จึงเดินทางต่อ แต่นางบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ปราสาทโกกแน และกลับไปแล้ว
แม่ทัพคนหนึ่ง : ดีมากทหารของประเทศมาช้าเพราะผู้หญิงคนเดียว ทหารอีก 4 หมื่นคน ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผู้หญิงคนเดียว
จอกฮวาน โกรธ ชักดาบออกมา ปราดไปหา : นางไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนเดียว นางเป็นผู้พิทักษ์หัวใจฟินิกซ์ ข้าเห็นกับตา นาง เป็นหนึ่งใน สี่ ที่จะนำชาติของเราให้เป็น จูชิน



แล้วก็มีทหารมาส่งข่าว ความสำเร็จ ของทัมด๊ก ยอนโฮแกทั้งตกใจทั้งคาดไม่ถึง ให้นำตัว ศิษย์โคมิล ฮยอนกง มาซักถามใหม่ เมื่อ รู้ว่า ทัมด๊ก จะให้ไปร่วมโจมตีป้อมกวานมี ก็โกรธ คิดว่าสัญลักษณ์ มังกรนำเงินอยู่ที่ป้อมควานมี หาว่า ทัมด๊ก ส่งสาสน์หลอกตน สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินมิได้อยู่ แพคเจตะวันออก แต่อยู่ที่แพคเจตะวันตก และ ทัมด๊ก เองก็เสด็จไปแพคเจตะวันตก(พาลพาโล ตัวเองเลือกมาด้านนี้เองแ ท้ๆ แบบนี้เรียกขี้แพ้ชวนตี) ฮยอนกง พูดต่อว่า ทรงบอกว่า เราต้องครองทะเล ถ้าเราโจมตีป้อมควานมี และแบ่งแพคเจเป็น 2ส่วน
มีทหารมารายงานอีกว่า กองกำลังเสริมของแพคเจ ถอยทัพกลับไป ฮยอนกง รีบบอกให้ ยอนโฮแก ยกทัพไล่ตีกองกำลังเสริมที่กำลังถอย ตามรับสั่ง แม่ทัพ คนหนึ่งกลับเสนอว่า ให้รีบโจมตีแพคเจ เพื่อยึดตรองปราสาท ฮัน ฮยอนกง แย้งว่า เราต้องโจมตีป้อมกวานมีก่อน พร้อมฝ่าบาท สิ่งที่ฝ่าบาททรงกระทำนี้ ก็เพื่อ ยอนโฮแก
ยอนโฮแก แสลงหู โกรธคำว่าฝ่าบาท คว้าดาบมาฆ่า ฮยอนกง เลือดสาดกระเด็นใส่หน้าตัวเอง
ใคร......ที่เจ้าเรียกว่า ฝ่าบาท

ที่ปราสาทโกกแน โชจูโด วิ่ง กระหืดกระหอบ มาหาเสนาบดียอน ที่เดินอยู่กับ ผู้นำแคว้น อีก 3 คน กำลังไม่พอใจ ที่ ทัมด๊ก เสด็จไปรบโดยไม่ปรึกษาสภาเสนาบดี พวกเราเป็นเสนาบดีหรือสุนัขในทุ่งหญ้า แต่ผู้นำแคว้น อีกคน ค้านว่า ไม่ว่าอย่างไรกษัตริย์ของเราก็อยู่ในสนามรบ ทรงยึดป้อมได้ 4 แห่ง นี่เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ แต่แล้วผู้นำแคว้น อีกคน ก็พูดว่า : ข้ามีคำถาม ป้อมปราการทั้ง 4 ที่ทรงยึดได้ ใครจะเป็นผู้ดูแลพวกนั้น
: คงจะมอบให้ลูกชายหลานชายของฮีกแก เขาคงกระโดดด้วยความยินดี
: แล้วอะไรเกิดขึ้น กับโฮแกของเรา ที่เอาทหารของพวกเราไปหมด
: ข้าก็อยากรู้ ทำไม โฮแก ที่เอาทหารออกไป 4 หมื่นคน ยังยึดแม้แต่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ได้สักแห่งเดียว
โชจูโด มารายงานว่า ทัมด๊ก ยึดป้อมแพคเจ เป็นป้อมที่ 5 อีกแล้ว โดยไม่ได้ใช้ธนู สักดอกเดียว เสนาบดียอนทำหน้าตาอึดอัด

ในอารามหลวง เทวีพยากรณ์ : ทรงเป็นผู้นำทางสวรรค์ ประชาชนแพคเจ คือพี่น้องของเรา ที่เกิดภายใต้สวรรค์เดียวกัน ทั้งหมดคือโองการแห่งสวรรค์ ก่อนอรุณพรุ่งนี้เราจะเริ่มพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ บอกทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อมแต่แล้วก็ ไม่มีการเฉลิมฉลอง เพราะ โซคีฮา ได้เข้ามาควบคุมอาราม ใช้พลังไฟ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในตัวเอง ควบคุม บังคับ เทวีพยากรณ์ ให้ยกตำแหน่ง เทวีพยากรณ์ ให้ โซคีฮา ก่อนจะถูก โซคีฮา ควบคุม เทวีพยากรณ์ ถามว่า โซคีฮา เป็น ผู้พิทักษ์หัวใจฟินิกซ์ ไม่รู้ไม่เห็นหรือว่าผู้ใดคือกษัตริย์จูชิน และทำไมไปรับใช้ผู้อื่นเป็นกษัตริย์ โซคีฮา ตอบว่า รู้ แต่เทวีพยากรณ์เองที่ไม่รู้บางอย่าง พลังของฟินิกซ์ เดิม เป็นของนักพรตหญิงแห่งไฟ ผู้ซึ่งเป็นแม่แห่งแผ่นดิน ( โอ๊ย !!!นางมารร้าย หลงตัวเองไปหน่อยแล้ว) กษัตริย์ จูชิน เป็นผู้ขโมยไป ข้าได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก และข้าได้รับคำบอกให้เป็นผู้ เอาพลังไฟนี้กลับมา และเป็นแม่แห่งแผ่นดิน แต่หลังจากพบเขา ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ ข้าแค่ต้องการอยู่กับคน ๆหนึ่ง แต่ข้าผิด เทวีพยากรณ์ บอกว่า : ฝ่าบาททรงเชื่อใจเจ้าที่สุด โซคีฮาตอบว่า : นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเคยคิดเช่นกัน เทวีบอกว่า ข้าคิดว่าเจ้าคือลูกสาวข้า โซคีฮาตอบว่า ใช่ ท่านเป็นเช่นนั้น อภัยให้ข้าด้วย ข้าต้องการอารามแห่งนี้ ท่านจะยกให้ข้าไหม ข้ามีพลังเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะว่ามีบางสิ่งที่มีค่าภายในตัวข้า มันทำให้เข้าตื่นตัว ข้าจะเป็นแม่แห่งแผ่นดิน ข้าต้องเตรียมแผ่นดินไว้ให้ลูกของข้า และลูกของข้าจะเป็นกษัตริย์ที่แท้จริง ไม่ว่าเป็นสวรรค์หรือโลกมนุษย์ ช่วยข้าด้วย แล้ว โชคีฮาก็กอด เทวีฯ ใช้พลังจน เทวี ฯ หมดเรี่ยวแรง กลายเป็นคนเลื่อนลอย
ลูกข้า....เจ้าเห็นไหม นี่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนอื่นข้าต้องให้โคคุเรียวแก่เจ้า และหลังจากนั้น ข้าจะให้อะไรเจ้าอีกเล่า และวันต่อมา เทวีพยากรณ์ก็ถูก อำนาจลึกลับจากโซคีฮา เอ่ย ปากยกตำแหน่งเทวีพยากรณ์ให้โซคีฮา ท่ามกลางนักพรตทั้งหลายในอาราม ทั้งๆที่ โซคีฮา กระซิบกับเทวีพยากรณ์ว่า ข้าคิดว่าท่านคือแม่ของข้าเช่นกัน ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ฉะนั้นท่านจงไปสู่สุคติเถิดแล้วเทวีพยากรณ์ ก็สิ้นลมหายใจหลังเอ่ยปากยกตำแหน่งให้โซคีฮา นักพรต อาวุโส จำใจมอบสัญลักษณ์ ให้ เมื่อ โชคีฮา ใช้สายตาเข้มขมึงมองและพูดว่า เจ้าควรทำในสิ่งที่ต้องทำ



ในค่ายทหาร โคคุเรียว

ตื่นและหยุดนอนกันได้แล้ว
พวกเขาจะควบม้าอย่างหนักเป็นเวลา 15 วัน ทหารจะเหนื่อยกันมากจนกระทั่งไปถูกแทงมากกว่าไปต่อสู้ ทหารจากแพคเจตะวันตก ที่ถูกส่งไปที่มั่นของยอนโฮแก ได้กลับไปเมื่อ 2 วันก่อน ถ้าพวกเขามาถึง พวกเราที่อยู่ในสภาพนี้ ถ้าพวกเรามานั่งหลับกันเช่นนี้ เราคงถูกฆ่าตายเป็นอาหารเหมือนพวกหมู
ฮยอนโก ทูล ทัมด๊กว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฮยอนกงที่ส่งไปหา ยอนโฮแก ไม่ส่งข่าวมาเลย
ทัมด๊ก ยังทรงเชื่อว่า ยอนโฮแก จะทำตามแผนการที่พระองค์ ให้ศิษย์โคมิล ฮยอนกง ไปส่งสาสน์
ฮีกแก : ทั้งฝ่าบาทและท่านแม่ทัพ (ขุนพลโก) ทำไมไร้เดียงสาเช่นนี้ คิดดูสิ ถ้าเขาเชื่อพระบรมราชโองการ นำทหารมาที่นี่ ใครจะเป็นผู้บัญชาการทหาร แน่นอนต้องเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว ยอนโฮแกผู้ซึ่งมีกำลังทหาร 4 หมื่น นาย จะยอมอยู่ใต้ฝ่าบาท ที่มีทหารเพียง 4 พันนาย หรือ คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ
ขุนพลโก สีหน้ากังวล : ถ้ายอนโฮแกไม่มา เรื่องจะยุ่งยากมากขึ้น เมื่อกองทัพข้าศึกหันกลับมาที่นี่ ถ้า ยอนโฮแก ไม่มาโจมตี พวกเราทั้งหมด….
ฮีกแก : มีทางเดียวเท่านั้น เราต้องเข้าไปในป้อมควานมี ถ้าเข้าไปได้ เราจะปลอดภัย ป้อมควานมี ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ทัมด๊ก : ท่านกำลังแนะนำ ส่งคนเข้าไปตาย เช่นนั้นหรือ ถ้าเราเข้าไปในป้อมที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ฮีกแก : ทหารเหล่านี้อยู่ในสนามรบ พวกเขาไม่กลัวตายพะย่ะค่ะ คนภายใต้บังคับของหม่อมฉันเป็นเช่นนั้น



ทัมด๊ก หลับพระเนตร ลง : ถ้าเราอยู่ที่นี่คนของเรา ต้องตาย เพราะฉะนั้นเราต้องไปหาร่มไม้ชายคาอื่น แม้มันจะหมายถึงชีวิตของเรา ทรงหันไปทางฮีกแก นั่นเป็นนโยบายอย่างไรกัน ฮีกแก ทำคอย่น กลืนน้ำลาย
เราจะคอยจนพรุ่งนี้เย็น ถ้าไม่มีอะไรจาก โฮแก เราจะกลับโคคุเรียว
ฮีกแก เงยหน้า ...ผิดคาด ...ขุนพลโก ก็หันมามองทัมด๊ก ฮีกแก ทูลถามว่า แล้ว ป้อมปราการที่ทรงยึดได้? ทัมด๊ก มีรับสั่งว่า เราต้องคืนให้พวกเขาไป
ฮีกแก กลับไปกระโจมตัวเอง อ้าปาก ตะโกน ระบายอารมณ์ เสียใจ อัดอั้นใจ โกรธ ไม่ได้ดั่งใจ จนลูกชายตกใจ ถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น ฮีกแก ถามถึงเหตุการณ์ ที่ปราสาทดัลจา ที่ในคืนนั้น ทรงสั่งพวกเจ้า (ทีมโปโลสีดำ)ไม่ให้สู้ใช่หรือไม่ เมื่อลูกชายเล่ารายละเอียดให้พ่อฟัง…
ฮีกแก พยักหน้าเข้าใจ : ดังนั้น โซวดูรู ใช้ร่างกายของเขา เป็นเกราะกันธนูให้ฝ่าบาทหรือ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นถึงได้ทรงอ่อนแอนัก ทรงเต็มไปด้วยความกลัว แต่ข้าไม่สามารถยืนดู ทรงหวาดกลัวได้ ตะโกน ส่งเสียง ระบายอารมณ์อีกครั้ง บอกลูกชาย และทหารของตัวเองว่าตามข้ามา จูมูชิ ยืนมองอยู่




ที่บ้านตระกูลยอน เสนาบดียอน เดินไปพูดไป มี โชจูโด เดินตาม : พวกนั้นพูดกันว่าทรงอ่อนแอ เปราะบาง แม้แต่ การออกไปล่าสัตว์ยังทำไม่ได้เลย แต่ครั้งแรกที่เข้าไปในสนามแข่งขัน และตอนนี้ทรงชนะการสู้รบ มันเกิดอะไรขึ้น โชจูโด ขอให้ เสนาบดี เขียนจดหมายถึงยอนโฮแก เสนาบดี ยอน ทุบโต๊ะ ปังปัง ข้าควรเขียนว่าอย่างไร ทรงมีทหารเพียง 4 พัน และกำลังได้รับชัยชนะ แต่เขามีทหาร 4 หมื่น ยังไม่ได้รับความสำเร็จสักอย่าง ให้ข้าเขียนอย่างนี้หรือ
แทจังโร เข้ามา และบอกว่า คนส่วนใหญ่ในโคคุเรียวไม่รู้เรื่องนี้ เราต้องให้เขารู้ช้า ๆ และพรุ่งนี้ เราจะส่งข่าวไปป้อมปราการควานมี และในวันรุ่งขึ้น ท่านไม่คิดหรือว่า ผู้บัญชาการที่น่ากลัวของป้อมปราการควานมี จะไม่ทำสิ่งใดในเรื่องนี้ (หน้าตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ชั่วร้ายสุด ๆ ตามเคย หลับตาไม่เห็นหน้า ฟังแค่เสียง ก็ รู้ว่า เจ้าคนนี้ ชั่วร้ายขนาดไหน) และยังมีข่าว น่าสนใจอีกเรื่อง คนของ ฮวาเซิน จับลูกน้องของนักตีดาบที่มีชื่อเสียง นางคือบาซอน มันบอกว่า (บอกเพราะถูกซ้อมอย่างหนัก) ต้นกำเนิดของนาง มาจากหมู่บ้านช่างตีดาบฮิกซู มัลกัลหมู่บ้านที่ มี แสงสว่างของผู้พิทักษ์เสือขาว ปรากฏขึ้น ในคืนแห่งดวงดาวจูชิน เมื่อนางกินเหล้าเมานางจะเล่าเรื่องนี้ พี่ชายของนาง กำลังซ่อนตัวพร้อมของมีค่า และเผ้ารอกษัตริย์จูชิน กษัตริย์จูชินจะต้องมาหา นางจึงไปอยู่กับกษัตริย์จูชิน เพื่อว่าวันหนึ่งนางจะได้พบกับพี่ชาย



ดังนั้นเราต้องส่งคนไปทางเหนือ เพื่อตามหาช่างตีเหล็ก ท่านรีบส่งข่าวไปบอกท่านโฮแก ให้เคลื่อนพลไปทางเหนือ
เสนาบดียอน : แล้วฝ่าบาท ที่ทรงอยู่ใกล้ป้อมปราการควานมีเล่า
แทจังโร : มันคงลำบากสำหรับเขาที่จะได้อยู่ต่อไปอีก ท่านไม่ควรต้องมากังวลเกี่ยวกับเขา
และการเคลื่อนพลครั้งนี้ จะอ้างคำสั่งจากสวรรค์ ( ผ่านอารามเทวีพยากรณ์.. ขณะที่คุยกันเรื่องนี้ โซคีฮา ยังไม่ได้เป็นเทวีพยากรณ์)

และยอนโฮแก ก็ได้รับสาร จากอารามหลวง ว่า เทวีพยากรณ์ได้รับคำสั่งจากสวรรค์ แจ้งว่า สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินอยู่ที่ควานมี และฝ่าบาทจะเป็นผู้ไปนำสิ่งนี้มา ดังนั้น ยอนโฮแก ต้องเคลื่อนพลไปทางเหนือของโยฮา ไปเอาสัญลักษณ์มังกรขาว
สารนี้ส่งมาโดยสภาเสนาบดี
แม่ทัพ : เช่นนั้นเราจะละทิ้งฝ่าบาทหรือ กองกำลังแพคเจตะวันตก กำลังมุ่งหน้าไปป้อมปราการควานมี และทรงมีทหารเพียง 4 พัน
ยอนโฮแก หันมามองแม่ทัพสายตาถมึงทึง จนต้องหยุดพูด จอกฮวานก้มหน้าลง
ยอนโฮแก สั่งการกับ กองทัพที่1 เคลื่อนทัพก่อนอาทิตย์ขึ้น
กองทัพที่2 ดูแลเสบียงอาหาร
กองทัพที่ 3 และ กองทัพที่ 4 รอจนอาทิตย์ตกดิน ให้จัดกองทหาร
กองทัพที่ 5 ต้องแน่ใจว่าทหารแพคเจ จะไม้ล่วงรู้แผนการของเรา
ศิษย์โคมิล ที่ปลอมตัวแทรกซึม ในค่ายทหารของยอนโฮแก แอบฟังอยู่ รีบ ไปส่งข่าว ด้วยนก สื่อสาร
ทัมด๊ก ได้รับกราบทูลรายงาน ในเรื่องของยอนโฮแก รวมทั้ง ฮยอนกง ว่าถูก ยอนโฮแก เชือดคอไปแล้ว ซูจินี แย่งเอาสารไปอ่าน เสียใจ ตกใจ

ดัลบีและบาซอน เข้ามากราบทูล ว่า อาวุธ และอาหารถูกขโมย ไป
ทัมด๊ก ทรงทราบทันทีถามหา ฮีกแก และจูมูชิ ( เพราะไม่อยู่ในที่ประชุม) เสด็จออกมานอกกระโจม ขุนพลโก ผู้รู้พระทัย รีบตามออกมา ทูลถามว่าพระองค์จะทำอะไรพะย่ะค่ะ
ขุนพลโกรู้ว่า จะทรงไปช่วย ฮีกแกและจูมูชิ ที่เอาทหารบางส่วนไปบุกป้อมควานมี ขุนพลโก พยายามขัดขวาง ทัมด๊ก
เอาละ ทัมด๊ก ทรงเมตตาอารี อารมณ์ดี เยือกเย็น มานาน ลองมาชม ท่าทางโมโหดุดัน กัดฟันกรอดๆ โกรธมาก พูดตะโกนเสียงดังของทัมด๊กกัน

ทัมด๊ก : ข้าควรทำอะไรได้อีก พวกโง่นั่นไปตาย ข้าไม่ยอมให้พวกเขาตายอีก ข้าไม่ยอมให้ใครตายเพราะข้าอีก ถอยไปท่านแม่ทัพ โกอูซุง
ขุนพลโกขยับตัวเข้าขวางทางที่จะเสด็จ วิงวอนขอร้องด้วยสายตา ฝ่าบาท... แล้วทรุดตัวลงคุกเข่า กราบทูลว่า
หม่อมฉัน โกอูซุง เป็นแม่ทัพที่ไม่สามารถปกป้องกษัตริย์พระองค์ก่อนได้ หม่อมฉันไม่ยอมให้มันเกิดอีกครั้ง ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่สามารถปกป้องกษัตริย์พระองค์ก่อน แต่ทรงได้โปรดให้หม่อมฉันได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับกษัตริย์พระองค์ก่อนด้วยเถิด ทรงมอบความปลอดภัยของฝ่าบาทไว้ในมือของหม่อมฉัน
ขุนพลโกเสียงเครือ มอง ทัมด๊ก แบบวิงวอน
ทัมด๊ก ทรงเรียกซูจินีให้ไปนับจำนวนทหารที่เหลืออยู่.... เราจะไปกัน
แล้วทรงหันมาทางขุนพลโก ทรุดองค์ลงไประดับเดียวกับขุนพลโก ดำรัสว่า : ท่านแม่ทัพ
ขุนพลโก ลดสายตาลงต่ำ ไม่ยอมสบสายสายพระเนตร
ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์ ให้นิดหนึ่งยกพระหัตถ์วางบนไหล่ขุนพล ดำรัสต่อว่า : ข้าจะทำให้ท่านมั่นใจว่า ท่านจะรักษาสัญญาที่มีกับเสด็จพ่อ
ขุนพลโก น้ำตาคลอ เงยหน้าสบพระเนตรของทัมด๊ก
ทัมด๊ก : ข้าจะไม่ตายก่อนท่าน ข้าขอสัญญา
ขุนพลโก น้ำตาร่วง ทัมด๊ก ทอดพระเนตรขุนพลโกอย่างซาบซึ้ง เข้าพระทัยดีถึงความจงรักภักดีของขุนพลโก

ส่วนฮีกแก และจูมูชิ พาทหารส่วนหนึ่งควบม้ามุ่งหน้าไปป้อมปราการควานมี ทุ่มเถียงกันไป…
ฮีกแก หาว่า คนของจูมูชิ น่าเกลียด ต่างฝ่ายบอกให้อีกฝ่ายให้ขี่ม้าตามตนเอง
จูมูชิ : ท่านควรอยู่กับคนของท่านในค่าย ท่านคิดว่าสนามรบเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร มีคนบอกว่ามีผีร้ายอาศัยอยู่ในปราสาทควานมี เขาฆ่าคนเป็นร้อย ๆด้วยการแกว่งทวนเพียงครั้งเดียว ข้าจะสู้ทวนของเขาด้วยขวานของข้า ท่านปู่แม่ทัพ ท่านควรจะตามข้าไปช้าๆ แล้วจูมูชิ ก็กระตุ้นม้าขี่นำหน้า
ท่านปู่แม่ทัพ ... เจ้านี่...แล้วเร่งทหาร รีบตามไปเร็ว ๆ

ที่ปราสาทควานมี

กากิน แม่ทัพป้อมปราการควานมีและเป็นอาจารย์ ของผู้บัญชาการป้อมปราการ ชอโร มองไปที่ลานของปราสาท ระลึกถึง ความหลังครั้งฝึกทวน ให้เด็กน้อยชอโร ผู้บัญชาการป้อมคนเก่าบิดาของชอโร ชื่นชมฝีมือทวน ของบุตรชาย และถามกากินว่า : ท่านคิดว่าทวนเหมาะสำหรับลูกชายข้าหรือ กากิน ตอบว่า : เขามีความชำนาญอาวุธอื่น แต่เขามีความสามารถพิเศษด้านทวนออกมาให้เห็น
กากินเดินไปรายงาน ชอโร ที่ห้องพัก เมื่อไปถึง ก็รายงานว่า ข้า กากินแม่ทัพ ป้อม ข้าจะเปิดประตู เบื้องหลังประตู เป็นที่รกรุงรัง มีเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ชอโรนั่งอยู่
สายลับของเราที่ปราสาทโกกแนได้ส่งข่าวมาว่า กองทัพที่เอาชนะป้อมปราการอื่นๆของเรา มีทหารเพียง 4 พันคน ผู้บัญชาการอื่นอาจจะหลงกลของเขา หนึ่งในพวกกองทัพนี้ กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของป้อม ท่านไม่ต้องออกไปต่อสู้ เราจัดการกันได้
มีเสียงแหบ ๆ ตอบกลับมาจาก คนผมยาวรุงรัง :...ทำไม..ทำไม พวกนั้นไม่ปล่อยให้เราอยู่ตามลำพังพวกนั้นไม่ควรมา พวกนั้นไม่ควรมาตาย

ที่แนวนอกปราสาท ฮีกแกและจูมูชิ หลบซ่อนตัวตามแนวพงหญ้า จูมูชิ : ผู้บัญชาการกองทัพ (ขนาดย่อม ) คือข้า เรามาเพื่อมารบให้ได้ชัยชนะ ทำไมต้องหลบซ่อนตัวเหมือนหนูเล่า
ฮีกแก วางแผน : ก่อนอื่น เราต้องทำให้พวกเขาออกจากป้อม เจ้ารู้ไหม สิ่งที่มีค่าที่สุดของพวกเขาคืออะไร
จูมูชิรำคาญ : ข้าไม่อยากคิด บอก ๆมาเถอะ
ฮีกแก บอกยุทธวิธีให้

ซึ่งทางกองทัพโคคุเรียว ฮยอนโก ก็ กำลังกราบทูลทัมด๊ก ในเรื่องนี้ว่าทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของป้อมปราการควานมี คืออู่ต่อเรือ และฮีกแก ก็คงไปโจมตีที่อู่ต่อเรือเช่นกัน ทัมด๊ก ทรงตรัสว่า : นั่นเป็นแผนการของกองทัพทั้งหลายที่ต้องการป้อมปราการควานมี คือ โจมตีอู่ต่อเรือ แล้วรอทหารของควานมีออกมาแล้วก็ ต่อสู้กัน พยายามทะลายประตูป้อมเข้าไป แต่นั่นเป็นความคิดที่ดีหรือ แม่ทัพฮีกแกก็ไม่มีนโยบายอื่น นอกเหนือจากการโจมตีอู่ต่อเรือซึ่งจะทำโดยเผ่าซีอู ซูจินี นั่งลูบ เส้นผมฟังอยู่ ทัมด๊ก สั่งขุนพลโก : เลือกคนมาให้ข้า และข้าต้องการคนที่สั่งพวกนั้นได้ ขุนพลโกรับพระบัญชา ซูจินี ลุกขึ้นทูลว่า หม่อมฉันจะไปเอง ทัมด๊กและขุนพลหันมามองซูจินี ที่คว้ากระบอกลูกธนู ทรงเรียก : ซูจินี แต่ซูจินีทูลว่า ไม่มีใครเอา จูมูชิ กลับมาได้ นอกจากหม่อมฉัน มันไม่มีทางเลือก

ส่วนกากิน ก็ไปรายงาน ชอโรว่า ศัตรูใกล้เข้ามา พวกนั้นมีประมาณ พันคน หากเราไม่รู้จำนวนทหารศัตรู ข้าจะส่งทหารออกไปเอง แต่เรารู้แล้วว่า ศัตรู มีเพียงครึ่งหนึ่งที่เรามี เราควรออกไปจัดการไหม ชอโรตอบว่า เราจะรอ ...กากินรายงานต่อว่าลูกธนู ของโคคุเรียว แข็งแรงและยิงได้ไกล ถ้าพวกนั้นจุดไฟที่หัวลูกธนู
ชอโร : เราจะรอ พวกนั้นจะไม่กลับไป ทำไมพวกนั้นไม่กลับไป
กากิน : ข้าจะนำทหารไปจัดการพวกเขาเอง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าท่านไม่ต้องไปเกี่ยวข้อง แผนการเขา คงเหมือนคนอื่น ที่ทุกครั้งก็เป็นวิธีนี้
ที่อู่ต่อเรือ จูมูชิ พาคนของซีอู ดำน้ำไป และขึ้นไป ต่อสู้กับคนเฝ้าป้อม กำลังจะเสียเปรียบทหารของป้อม แต่ซูจินี และทหารอีกส่วน ลงเรือเล็ก ไปช่วยทัน



ทัมด๊ก ก็ทรงวางแผนไว้ว่า
อย่าคิดต่อสู้ เป้าหมายของเราไม่ใช่เอาชัยชนะ
ประการที่1 เราต้องทำให้ทหารแพคเจ ออกจากป้อมปราการ
ประการที่2 เราต้องทำให้พวกเขาเชื่อ พวกนั้นต้องเชื่อว่าเรามีจำนวนทหารมากพอ
ประการที่ 3 เราจะแบ่งทหารออกเป็น 3ส่วน แล้วส่งพวกเขา ออกไปจุดต่างๆ กัน 3 จุด
เราจะโจมตีแล้วถอย ใช้วิธีเดียวกับการรบที่ป้อมปราการซอคคยอนซอง
ขุนพลโกทูลว่า มีสารไปแจ้งแม่ทัพ ฮีกแก ว่าไม่ให้ต่อสู้กับทหารที่ออกมาจากป้อมปราการแล้วพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : เพิ่มข้อความลงไปในสารของท่านด้วย ถ้าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งอีก เขาจะถูกปลดเป็นทหาร ไม่ให้เป็นแม่ทัพอีกต่อไป ขุนพลโกทูลว่า จะทำให้แม่ทัพเข้าใจในรับสั่ง
ฮยอนโก กล่าวกับ ผู้อาวุโสของโคมิล ว่า กษัตริย์ของเรากำลังทรงพระสำราญ สมองและหัวใจของพระองค์ทำเรื่องที่ต่างกัน สมองของพระองค์บอกว่า ไม่... เราต้องหนี เราต้องช่วยชีวิตคนของเรา แต่หัวใจกลับบอกว่า ใช่มันดี ไปต่อสู้กันเถอะ ใครพูดว่าเป็นไปไม่ได้ ไปสู้กันเถอะ
ผู้อาวุโสโคมิล งง ถามว่าอะไร ฮยอนโก ตอบว่า ไม่ ไม่ ไม่ เราจะไปรู้จิตใจของกษัตริย์จูชินได้อย่างไร ฮะฮ้า... (สมอง ต้องใช้คำว่า พระมัตถลุงค์ หัวใจ ต้องใช้ ว่าพระกมล พระหทัย พระหฤทัย)


ที่ป้อมควานมี

ศิษย์โคมิลปล่อยนกที่นำสาร ทหารของแพคเจกลุ่มหนึ่งมาที่อู่ต่อเรือ มีทหารตายมากมาย หัวหน้าจึงให้ม้าเร็วไปส่งสารถึงผู้บัญชาการป้อม ขี่ม้าผ่าน เผ่าจุนโน ที่แอบซ่อนในพงหญ้า
ฮีกแก และทุกคนดีใจ ที่ทัมด๊กมาช่วย ฮีกแก หัวเราะ : ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ข้าบอกเจ้าแล้ว ฝ่าบาทต้องช่วยเรา
ลูกชายแย้งว่า : บอกเมื่อไรกันท่านพ่อ
ฮีกแก : ฝ่าบาทมีพระราชภารกิจมาก ข้าเสี่ยงชีวิตกรุยทางให้พระองค์
ลูกชายถามว่า หากฝ่าบาททิ้งเรา ท่านพ่อจะทำอย่างไร พวกเราฝ่าฝืนคำสั่ง แล้วมาก่อสงคราม
ฮีกแก : ถึงแม้จะทรงทอดทิ้งเรา...เรา... เช่นนั้นก็ต้องโทษพระองค์ เราจะต้องตายอย่างสิ้นหวัง โดยไม่เห็นชัยชนะ ฉะนั้นไปทูลพระองค์ตามนี้ แล้วผลักลูกชายหงายล้มลงกับพื้น ทูลพระองค์ว่า ทหารต้องออกจากป้อมควานมี เป็น 3 ระลอก ประมาณ 2 พันคน ทหารที่อยู่ในป้อมมี ประมาณ 500 คน ทูลให้พระองค์เสด็จมา เพื่ออาชนะป้อมปราการควานมี
ทัมด๊ก ทรงอาชา เสด็จมา...

ปล.ที่ 5 ต้องขออภัย กับคำราชาศัพท์ที่มีมากจริงๆ และคนเล่าเองก็ไม่ได้มีความรู้จริงในเรื่องนี้อาจมีการใช้คำผิดพลาด สาเหตุ ที่ ต้องใช้ เพราะหากดูละครนี้ ที่พากย์ภาษาเกาหลี พบว่า ที่เกาหลีเองก็ ใช้ราชาศัพท์ของเขาทั้งที่เขาไม่มีสถาบันกษัตริย์มานานแล้ว แต่ บ้านเรามี และกษัตริย์พระองค์นี้ของเกาหลี ทรงเป็นกษัตริย์ ที่เกรียงไกรมาก คนเล่า ก็พยายาม ถวายพระเกียรติ ตามแบบไทย ไทย และอย่างชาวบ้าน ๆ ให้กับพระองค์ ก็พยายาม ตัดทอนลงมาแล้ว ไม่เช่นนั้น เวลามีคำกราบบังคมทูลพระกรุณาต้องมี ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ต้องลงท้ายว่า ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ทั้งนี้มิได้มีเจตนาอวดใช้คำแต่ด้วยเจตนาที่เรียนข้างต้นจริงๆ

Copyright @ Amornbyj & SUE

Wednesday, May 7, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 13)


...ตอนที่13...

ทัมด๊ก ฮีกแก ฮยอนโก ขุนพลโก องครักษ์ ยืนรอบโต๊ะ อัศวิน แคว้นจุนโนมีภาพเรือมาถวายให้ ทัมด๊ก ทอดพระเนตร
ฮีกแก ทูลว่า มันเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดของจุนโนจุได้ 50คน เรามีประมาณ 30 ลำ แต่เรือของแพคเจใหญ่กว่ามากจุคนเป็นร้อย ทัมด๊กทรงเปิดภาพพลิกไปอีก แล้วก็สะดุด กับภาพหนึ่งทรงโน้มองค์ลงใกล้ๆ ฮีกแกบ่น ทำไมมาอยู่ตรงนี้อย่าทรงสนพระทัยเลย มันเป็นเรือสำหรับล่องแม่น้ำ ไม่เหมาะสำหรับการรบ มันเป็นแค่เรือสินค้า ขนของได้มากแต่เคลื่อนตัวช้า อันที่จริงมันไม่ได้เคลื่อนที่จริง ๆ มันแค่ลอยไปตามกระแสน้ำ

ทัมด๊ก เงยพระพักตร์ขึ้น ประทับนั่งลง ท่าทางจริงจัง ดำรัสว่า : นั่นละคือสิ่งที่ข้าต้องการ ท่านมีเรือแบบนี้สักเท่าใด
ฮีกแก: มันไม่ใช่เรือจริง ๆ เราจะไปสู้กับแพคเจด้วยเรือแบบนี้ได้อย่างไร
ทัมด๊ก : คนและม้าลงไปในเรือลำนี้ ได้เท่าไร เราต้องเคลื่อนย้ายคน 3 พันคน และม้าอีก 4 พันตัว เป็นไปได้ไหม
ฮีกแก ทำท่าครุ่นคิด ฮยอนโก กราบทูลว่า : ฝ่าบาท ต้องทรงเคลื่อนย้ายคน 4 พันคนและม้า 5พัน3 ร้อยตัวพะย่ะค่ะ

ทัมด๊ก ที่ตั้งพระทัยฟังคำตอบของฮีกแก หันมาทางฮยอนโก
ฮยอนโกกราบทูลต่อว่า : หัวหน้าจูมูชิ ได้ระดมพล และได้จำนวนมากกว่าที่คาดคิด พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก แย้มสรวลพอพระทัยกับข่าวนี้ เลิกใส่พระทัยว่า ฮีกแก จะทูลตอบว่าอย่างไร (คิดนานเหลือเกิน เอาเป็นว่า ฮีกแก หาเรือมาให้พอก็แล้วกัน)
จูมูชิ ไประดมพลหลายเผ่าที่มารวมกันอยู่ ที่แถบชายทะเลซ่อนตัวตาม ดงป่า เทือกเขา หลังจากผู้นำเผ่า รายงานตัวกับท่านหัวหน้า ครบแล้ว จูมูชิ ก็บอกว่าข้าหัวหน้าเผ่าแห่งซีอู ขอกล่าวต่อพี่น้องของเผ่าซีอู ขอบใจที่พวกเจ้าไม่สูญหาย (ล้มหายตายจากไปเสียก่อน) ขณะนี้ เราเรียกพวกเจ้ามา ที่พวกเจ้ามาตามที่ข้าเรียกนี้อาจจะหมายถึงชีวิตของเรา เจ้าจะตามข้าหรือไม่ มีคนยกเขาสัตว์ขึ้นเป่า แล้วทุกคนก็โห่ร้องเป็นคำตอบให้ จูมูชิ



ที่โรงตีเหล็ก ทัมด๊ก เสด็จไปหาบาซอนซึ่งหอบชุดเสื้อเกราะมาวางหน้าพระพักตร์ แล้วทูลว่า : ทรงทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ซี ล้วนทำมาจากโลหะที่ดีที่สุด และจากช่างฝีมือดีที่สุด มีแต่ลูกธนูเหล่านี้ ที่จะแทงทะลุเข้าไปในเสื้อเกราะได้ แล้วบาซอนก็ถวายลูกธนูให้ทอดพระเนตรอีกด้วย ทัมด๊ก ทรงหยิบขึ้นมาทอดพระเนตร ด้วยความพอพระทัย บาซอน กราบทูลต่อ และก็มีแต่โล่อันนี้เท่านั้นที่จะสามารถป้องกันลูกธนูพวกนี้ แล้วก็ถวายโล่ให้ทอดพระเนตรอีก
ทัมด๊ก ตรัสถามบาซอนว่า : เจ้าทำไปได้สักเท่าไร เราจะออกเดินทางในไม่ช้านี้แล้ว
บาซอน ทวนรับสั่ง : ทรงตรัสว่า ในไม่ช้า ในไม่ช้าอย่างไร เรื่องเวลาของ ฝ่าบาทและของหม่อมฉันอาจไม่เหมือนกัน
ทรงหันไปทางฮยอนโก ฮยอนโก ยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วตอบว่า วันพรุ่งนี้ และหลังจากวันนั้น และวันต่อไป(สำบัดสำนวนจริง ๆ คุณลุงเต่าดำ)
ทัมด๊ก ดำรัสตอบซ้ำให้บาซอนเข้าใจได้ถูกต้อง : เขาพูดว่า อีก 3 วัน
บาซอน ที่แต่แรกมองไปที่ฮยอนโก เพราะกำลังคิดตาม ว่า แล้วมันเมื่อไรกันเล่า หันมาทางทัมด๊ก เกิดอาการงอนป่องทัมด๊กขึ้นมา : หม่อมฉันรู้ว่าจะต้องขออะไรที่น่าขำเช่นนี้ หม่อมฉันจะบ้าตาย แล้วก็ฉวยทุกอย่างที่นำมาให้ทอดพระเนตรกลับไป (ขำเสียจนมาฉวยลูกธนูไปจากพระหัตถ์ แถมสั่งว่า ส่งของพวกนั้นมาให้หม่อมฉันด้วยท่าทางบาซอนงอนมากเลย คงนึกในใจตัวเองว่า... รู้ว่ารัก...ใช่ไหมฝ่าบาท) ทัมด๊ก ทรงยกหัตถ์ท้าวบั้นพระองค์ และทรงพระสรวล
แล้วจูมูชิ ก็พาพรรคพวก เผ่าซีอูมาเข้าเฝ้า จูมูชิ ชักจะเริ่ม รู้พิธีรีตรองขึ้นมาบ้างแล้ว มีการแนะนำเพื่อนพ้องของตนว่า : นี่ คือกษัตริย์ แห่งโคคุเรียว พวกเราชาว ซีอูไม่มีมารยาทกันหรืออย่างไร
คนของเผ่า คนหนึ่ง ถามทัมด๊กว่า : หัวหน้าบอกพวกเราว่า กษัตริย์แห่งโดคุเรียวสัญญาจะคืนดินแดนให้เรา พลางเดินเข้ามาใกล้ ทัมด๊ก และจูมูชิ พูดต่อว่า : พวกเราเผ่าซีอูจะสู้กับทหารแพคเจเป็น หมื่น จนตาย หากความตั้งใจของท่านคือทำให้พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของโคคุเรียว บอกเรามาเดี๋ยวนี้ ( ถามด้วยท่าทางเอาเรื่องและคาดคั้นคำตอบ)
จูมูชิ ยกมือทำท่าปราม ทำเสียงลอดไรฟัน : เจ้า
ทัมด๊กพยักพักตร์ไปที่ด้านข้าง จูมิชิเหลียวหันตาม ขยับเดินหันหลังให้คนเผ่าซีอู
ทัมด๊กกระซิบว่า : เจ้าไม่ใช่หัวหน้าจริง ๆ ใช่ไหม
จูมูชิ เหลือบตามองทัมด๊ก เป็นคำถาม ซูจินี หัวไว ยกมือปิดปากหัวเราะคิก
ทัมด๊ก ตรัสต่อ : พวกนั้นไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าบอกพวกเขา
คนเผ่าซีอูที่ถาม มองทัมด๊ก และจูมูชิ อย่างสนใจ ว่า 2 คนนั้นกระซิบอะไรกัน
จูมิชิ สวนกลับ : พระองค์ทรงเป็นเหมือนกัน
ทัมด๊ก ทำสุรเสียง หือ..
จูมูชิ : พวกตระกูลขุนนาง ก็ไม่เชื่อฝ่าบาท
ทัมด๊ก และจูมูชิ สบตากัน ต่างยิ้มและหัวเราะให้แก่กัน และพร้อมกันด้วย
จูมูชิ : ทรงเริ่มก่อน
ทัมด๊ก ทรงทอดพระเนตร คนที่ตั้งคำถามและคนเผ่าซีอู คนอื่นๆ ตรัสถามว่า : พวกนั้นแต่งตัวอย่างนั้นเสมอรึ
จูมูชิ : ทรงโปรดไหม หม่อมฉันจะได้บอกพวกนั้นทำให้ฝ่าบาทสักตัว
ทัมด๊ก ไม่ดำรัสตอบเรื่องเสื้อผ้า แต่ยังข้องพระทัยเรื่องเดิม : ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะฟังเจ้าหรือไม่



ซูจินีเข้ามาแทรกกลาง มีเหล้ากับเนื้อย่าง...ทัมด๊กสั่งแม่ทัพโกว่า ทุกคนดูท่าจะหิว ทรงพยักพักตร์ให้คนเผ่าซีอูเจ้าของคำถาม ทรงพระดำเนินออกไป
จูมูชิ ชี้หน้า คนเผ่า ซีอู คนนี้ว่า ...เจ้านี่....( เจ้าทำให้ข้าขายหน้าทำนองนั้น)


ที่หมู่บ้านโคมิล
ฮยอนโก อธิบายแผนที่เส้นทางไปสู่ แพคเจ ทันสมัยมาก แผนที่ติดผนังห้องไม่ได้กางบนโต๊ะแล้ว เหล่าอัศวินจะพูด ต้องไปยืนที่หน้าแผนที่ ฮยอนโก อธิบายเล่าถึงความสำคัญและยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ ควานมี การจะไปป้อมปราการควานมี ไปได้ 2 ทาง คือ
1.ทางบก จะต้องผ่านป้อมปราการอื่น 30 ป้อมปราการ ต้องใช้ทหารสำหรับโจมตีเพื่อเอาชนะ 30 ป้อมปราการนี้ 5 หมื่นคน เวลาที่ใช้ 3 เดือน
2.ทางน้ำ ซึ่งแพคเจมีกองทัพเรื่อที่ดีที่สุดในโลก ( เกินจริงแล้ว ลุงเต่าดำ อ้อ แต่นั่นมัน พันกว่าปีมาแล้ว) เราจึงไม่ไปทางทะเล เราจะไปตามลำแม่น้ำและหยุดที่ป้อมปราการซัคคยูน จากที่นี่ไปป้อมปราการควานมี จะผ่านป้อมปราการอื่น 10 ป้อมปราการ
ทัมด๊ก : เราต้องเอาชนะป้อมปราการเหล่านี้ให้เร็วที่สุด พวกเราคงเตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหม
ขุนพลโก : กองทหารราชองครักษ์ พร้อมแล้วพะย่ะค่ะ
จูมูชิ : พวกเราซีอูพร้อมตั้งแต่เป็นทารก
ป้อมปราการควานมี นี้ ฮยอนโก ได้เล่าไว้ก่อนว่า เป็นป้อมที่มีความสำคัญทางทะเลของแพคเจ
เป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือที่ใหญ่มาก ชาวยัน และชีแห่งจีน รวมถึงกษัตริย์โคคุเรียวองค์ก่อน ๆ ล้วนต้องการเอาชนะป้อมปราการนี้ ที่ผ่านมาป้อมปราการควานมี เป็นฝันอันไม่เป็นจริง มีภูมิประเทศ ที่ยากแก่การเข้าไปโจมตี มีการตั้งรับที่เหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนี้ผู้บัญชาการป้อม ที่รับตำแน่งสืบต่อมาจากบิดาเมื่ออายุเพียง 10 ขวบ ว่ากันว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นปีศาจเมื่อเข้าสู่สนามรบ เป็นเทพแห่งความตาย เมื่อผู้บัญชาการคนนี้ออกสู่สนามรบเอง พวกทหารของเขา ต้องถอยไปให้ไกล และยืนมองผู้บัญชาการของเขา หากเข้าไปใกล้พวกเขาจะต้องตายไปด้วยกับศัตรู
ทัมด๊ก ตัดสินพระทัยทันที่ ที่ต้องเอาชนะป้อมปราการควานมี และการเอาชนะป้อมปราการนี้ ยอนโฮแกต้องมาช่วยด้วย ก่อนไป ทัมด๊กเสด็จไปทูลลาต่อพระศพของพระบิดาที่อารามหลวง มันจะไม่มีการส่งพวกเราไปอย่างเอิกเกริก หม่อมฉันวางแผนจะออกไปโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ การจะหลอกศัตรูได้ เราต้องหลอกพวกเดียวกันก่อน


ทัมด๊ก บอกเสนาบดียอนว่าจะไปล่าสัตว์ เสนาบดียอนคัดค้านว่า ไม่เหมาะสมในเวลานี้ แต่ ทัมด๊ก ตรัสว่า จะไปจับ กวางสีขาว มาบูชายันต์ เพื่อให้กองทัพได้รับชัยชนะ และฝากเสนาบดีดูแลบ้านเมือง

ทัมด๊ก ขุนพลโก พาทหารราชองครักษ์ ซูจินี เผ่าซีอู ไปลงเรือที่แคว้นจุนโน ที่ริมแม่น่ำโยซูในระหว่างจัดเตรียมสัมภาระ ทรงพบดัลบี ที่กำลังช่วยทหารแบกกระสอบสัมภาระ

ทัมด๊ก ทรงทักว่า : เจ้าเป็นหัวหน้าเสบียงคนใหม่ใช่ไหม ข้าต้องพึ่งเจ้า ชัยชนะของพวกเรา ขึ้นกับบ่าของเจ้า (ที่ใช้แบกของ) ดูแลพวกเราด้วย แล้วทรงชักม้าผ่านไป ซูจินี ยกมือ ทำท่า เยี่ยมไปเลยดัลบี
ดัลบี เป็นปลื้ม ไปอีกคน แล้วก็เซ หกล้มก้นกระแทก จูมูชิ ที่ตามเสด็จ ทัมด๊ก เห็นแล้ว ตกใจเล็กน้อย( คงอยากเข้าไปช่วยพยุง และคงรำพึงในใจในขณะนั้นว่า โธ่เอ๋ย ดัลบี ของข้า..). แต่แล้ว ก็ตัดใจ กระตุ้นม้าตามเสด็จ ต่อ ที่ริมแม่น้ำ ฮยอนโก และชาวโคมิล หลายคน มารออยู่ก่อนหน้าแล้ว และบาซอน ก็มาเพื่อจัดการเรื่องเสื้อเกราะให้ทหาร

องครักษ์ (ชาวโคมิล) นำพระบรมราชโองการมาแจ้งกับเสนาบดียอน คือมีม้วนราชโองการ ก็จริง แต่ข้อความผ่านทางวาจาขององครักษ์ ว่าเสด็จไปเป็นกองทัพเสริม ให้กับกองทัพของ ยอนโฮแกเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแรก จะมีพระดำรัสมาถึงอีก ขอให้ เสนาบดียอน ดูแลสภาและกิจการบ้านเมืองแทนพระองค์ เนื่องจากไม่อยากให้ข้าศึกล่วงรู้ จึงทรงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด เสนาบดียอน ที่เชื่อว่า ทัมด๊ก ออกไปล่าสัตว์ แต่แรก ก็งง แล้วกลายเป็น ฉุนเฉียว
สงครามเป็นเรื่องของประเทศชาติ ฝ่าบาทเสด็จโดยไม่ปรึกษาสภาได้อย่างไร กำลังทหารที่นำไปด้วยเป็นอย่างไร ทุบโต๊ะปัง แต่ราชองครักษ์ ก็ย้ำคำว่า เป็นความลับ
องครักษ์ : ท่านได้ยินทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ และต้องพูดซ้ำ 2 ครั้ง แล้วก็ยกพระบรมราชโองการขึ้น เสนาบดียอน ต้องก้าวมารับพระราชโองการนี้อย่างเป็นพิธีการ ..ข้า ยอนการยอ ขอรับสนองพระบรมราชโองการ เสนาบดียอนไปหา แทจังโร ทันที ด้วยความโกรธ ที่ไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้จาก แทจังโร : ข้าเป็นที่ปรึกษาของสภา แต่ไม่รู้เรื่องแผนการของกษัตริย์
ซารยางกางเอกสารแล้วรายงานว่า : คนที่ไปกับฝ่าบาท คือทหารราชองครักษ์ของขุนพลโก และคนของเผ่าซีอู ซีอู เป็นประชาชนมัลกัลซึ่งถูกแบ่งดินแดนโดยแพคเจหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็น เผ่าที่มีความกล้าหาญ และพวกเขาถูกมัลกัลเผ่าอื่นทรยศ
แทจังโร บอกว่า : เส้นทางของทัมด๊กแปลก เมื่อบอกว่าจะไปเป็นกองทัพเสริม แต่เส้นทางจริงกลับ มุ่งหน้าไปจุนโน ไม่ใช่แพคเจ คงมิได้ตั้งใจไปต่อสู้กับแพคเจ น่าจะเป็นการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจุนโนเสียมากกว่า มีคนไม่กี่พันคนตามเสด็จ ครึ่งหนึ่งเป็นโจร เสียมากกว่าทหาร ทรงไม่มีกำลังทหารที่จะไปรบกับใครได้ ข้าจึงไม่ได้รายงานท่าน มันไม่มีความหมายแต่อย่างใด ถ้าท่านยังกังวล ก็ให้ส่งคน ไปตามแคว้นต่างๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาหลอกลวงใช้เล่ห์เหลี่ยมกับท่านได้ แทจังโรทำท่าทางว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนัก จิบน้ำชา แบบไม่สนใจกับความกังวลของเสนาบดียอน
เสนาบดียอน : กษัตริย์ .... ทัมด๊ก ..ข้าเฝ้าดูเขามานาน เราไม่ควรประเมินเขาต่ำเกินไป ถ้าเขากำลังซ่อนบางอย่างอยู่ เราจะไม่รู้เลย.... ( ต้องอย่างนี้ถูกแล้ว ถึง ควรค่ากับการเป็นเสนาบดี)
ที่แพคเจ ป้อมปราการ ซอคคยอนซอง ส่งกองกำลังเสริม ออกนอกประตูเมือง บนท้องฟ้าก็มีนกสื่อสาร กางปีกร่อน พร้อมกับส่งเสียงร้องก้อง
มีศิษย์ โคมิล ซ่อนตัว ตามไหล่เขา คอยสังเกตการณ์สถานการณ์ต่างๆ



กองทัพ ของยอนโฮแก ขี่ม้าฝุ่นตลบ
ในเรือสินค้า...
ขุนพลโกรายงานว่า ทหาร 4 หมื่น ของยอนโฮแก เดินทางล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แพคเจกำลังส่งทหารเสริม เคลื่อนไปยังชายแดน ผู้อาวุโสโคมิล ( ฮยอนจัง) ลุกขึ้นไปที่แผนที่ ป้อมปราการรอบๆ แม่น้ำ โยซู ก็ส่งกำลังไปเสริมเช่นกัน ไม่มีใครคิดว่า จะมีใครมาโจมตีด้านนี้
ฮีกแก ลุกไปที่แผนที่ด้วย : ตอนนี้ เรากำลังผ่านดินแดนนี้พะย่ะค่ะ เราจะถึงอาณาเขตแพคเจก่อนอาทิตย์ตกดินวันพรุ่งนี้ ก่อนเข้าไป เราจะตั้งค่ายหยุดพักกันที่ใด
ทัมด๊ก : เราต้องเดินทางต่อไป
ฮีกแก : แต่นั่นเป็นอาณาเขต แพคเจ นะพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านบอกว่าเรือของเราเป็นเรือสินค้า ที่ใช้ในการรบไม่ได้ ทรงลุกขึ้นเสด็จไปยังแผนที่… : จะมีใครส่งสัญญาณ เตือนภัย สำหรับเรือสินค้ากันเล่า? ทรงชี้ลงที่แผนที่ เราต้องเดินทางต่อไป แล้วพรุ่งนี้บ่าย นิ้วพระหัตถ์ลากตามแผนที่ลงมา เราจะจอดที่คุ้งน้ำตรงนี้
ฮีกแก : ฝ่าบาท นั่นเป็นด้านหน้าของป้อมปราการแพคเจ ซอคคยอนซอง นะพะย่ะค่ะ ป้อมปราการนี้ เป็นป้อมปราการด้านตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดของควานมี
ทัมด๊ก : เพราะเหตุนั้น เราจึงต้องเอาชนะมันก่อน เราจะไม่โจมตี ป้อมปราการเล็ก เพื่อให้ป้อมปราการใหญ่ มีเวลาได้เตรียมตัวในการตั้งรับป้องกันตัวเอง ป้อมปราการ ซอคคยอนซอง จะถูกโจมตีโดย ทหารราชองครักษ์ และ คนของเผ่าซีอู
ฮีกแก : แล้วฝ่าบาททรงต้องการให้คนของจุนโน นั่งอยู่เฉยๆ ในเรือหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านแกล้งทำเป็นโจมตี ป้อมปราการควานมี
ฮีกแก งง กับกษัตริย์พระองค์นี้อีกแล้ว : แกล้งทำ ไม่ใช่ต่อสู้ แต่แกล้งทำเป็นต่อสู้
ทัมด๊ก : เราต้องมั่นใจว่า ควานมีจะไม่ส่งกำลังเสริมจนกว่าเราจะชนะ
ฮีกแก สีหน้าดูมีความหวังขึ้นรำไร : หลังจากนั้นเราจะต่อสู้จริงใช่ไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรฮีกแก อย่าง สั่งแกมบังคับ : อย่าทำ เราต้องไม่เปิดเผย ว่าเราเล็กแค่ไหน เราแค่ต้องการให้กองกำลังเสริมของแพคเจรีบเดินทางกลับ
จูมูชิ : ทรงต้องการให้พวกเราทหาร 4 พันคน ต่อสู้กับป้อมปราการของแพคเจ ป้อมปราการควานมี และยังพวกกองกำลังเสริมอีก
ทัมด๊ก : ไม่ ..ท่านต้องไม่ต่อสู้ เมื่อกองกำลังเสริมกลับมา พวกเราจะวิ่งหนี ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทหารและม้าชั้นยอด รวมทั้งเกราะเหล็กที่เบาที่สุด ทำให้การวิ่งหนีจะไม่มีปัญหา
ฮีกแก : ทรงต้องการให้เราเป็นเหยื่อล่อ ดึงความสนใจจากกองกำลังเสริม แล้ววิ่งหนีหางจุกก้น และให้ชัยชนะเป็นของโฮแก เช่นนั้นหรือ เจ้าคนชั่วที่ปลงพระชนม์กษัตริย์องค์ก่อน และฆ่าลูกชายของหม่อมฉัน

(ไฟโทสะลุกพรึบที่หัวของฮีกแก แต่ผมของฮีกแกไม่ทันไหม้หรอกก็ถักเป็นเปียไว้เสียแน่นอย่างนั้น ถ้าเป็นทรงผมแบบจูมูชิ รับรองเกรียน ..กะดำกะด่าง.....ไม่เหลือแล้ว วันก่อนเป็นแค่ควันพุ่งเอง ฮีกแก โมโหโกรธา แผดเสียงลั่นลำเรือ)

ทัมด๊ก : ท่านต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านจะต่อสู้กับแพคเจ หรือ โฮแก
ฮีกแก ทำท่าเหนื่อยใจเสียเหลือเกินแล้ว (เหนื่อย เพราะแผดเสียงออกไปสุดเสียงด้วย) กราบทูลว่า
: ฝ่าบาท มนุษย์เราจะเห็นโลกได้ใหญ่เท่าที่เขาเป็น (คือคนที่จิตใจคับแคบ โลกของเขาก็จะแคบตามไปด้วย) ทรงคิดหรือว่าเขาจะเข้าใจในแผนการพระองค์ ทรงคิดหรือว่าเขาจะก้มหัวและขอบพระทัยฝ่าบาทหรือ
ทัมด๊ก หันไปทางฮยอนโก : เขาไม่ทำหรือ

ทรงให้ฮยอนโกส่งศิษย์โคมิล ไปส่งสาสน์ให้ยอนโฮแก รับทราบในแผนการนี้ของพระองค์ และทัมด๊ก ทรงมองโลกในแง่ดีว่า ยอนโฮแก จะร่วมปฏิบัติการตามแผนการนี้ ขนาด ฮยอนโก เองก็ไม่มั่นใจว่า ยอนโฮแก จะเข้าใจ ทัมด๊ก และยอนโฮแก ก็ไม่ได้เชื่อคำส่งสาสน์ด้วยวาจาของศิษย์โคมิล ยอนโฮแกแสดงกิริยาลบหลู่ ม้วนผ้าบรรจุพระบรมราชโองการ ที่แจ้งสั้น ๆ ว่าคนที่นำสิ่งนี้มาคือคนส่งสาสน์ของข้า แล้ว ผู้บอกถ้อยคำของสาสน์ยังถูกจับขังไว้ นอกจากไม่เชื่อว่า ทัมด๊ก จะโจมตี ป้อมปราการ ซอคคยองซอง และป้อมปราการควานมี เพราะเชื่อรายงานจากปราสาทโกกแนว่า ทัมด๊ก ทำทีไปล่าสัตว์ และไปเจริญไมตรีกับแคว้นจุนโน ยอนโฮแกยังไม่สนใจ คำสั่งการให้โจมตี แพคเจ ตามแผนการของทัมด๊กอีกด้วย

ข้าจะดูกษัตริย์ที่ชาญฉลาดพระองค์นี้ว่าเป็นอย่างไร
โซคีฮากำลังเตรียมตัว ไปให้ขวัญและกำลังใจกับกองทัพของยอนโฮแก
แทจังโร เข้ามาสั่งความกับโซคีฮา ให้แสดงพลังที่มีเพิ่มมากขึ้น ให้พวกทหารเห็นประจักษ์ และอีกหน่อย ถ้ายังเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ต้องใช้กำลังทหาร 4 หมื่นนี้แล้ว ด้วยพลังไฟของโซคีฮา ...เจ้าก็จะ....
โซคีฮา บอกแทจังโรว่า ทัมด๊กคือกษัตริย์จูชิน ยอนโฮแก นั้นไม่ใช่
แทจังโร : ข้าจะทบทวนให้เจ้าฟังอีกครั้ง สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่กษัตริย์จูชินที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการ แค่ใครสักคนที่มีสายเลือดกษัตริย์จูชิน เราต้องการแค่เลือดและสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะนำอำนาจมาสู่ฮวาเซิน
จริงๆ แล้ว กษัตริย์จูชินคือตัวปัญหาที่แทจังโรต้องกำจัดทิ้ง โซคีฮาถามว่า ถ้าหากมีคนอื่นที่มีสายเลือดจูชินเล่า
แทจังโรตอบว่า
จำนวนนั้นไม่สำคัญ เราต้องกำจัดทั้งหมดยกเว้น คนที่ช่วยหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ และก็ต้องกำจัดเช่นกันในภายหลัง เพื่อครอบครองอำนาจแห่งสวรรค์ เราจะไม่ปล่อยให้เมล็ดพันธ์แห่งสวรรค์หลงเหลืออยู่ โซคีฮา หมดหวังกับชีวิตของลูกในท้องเสียแล้ว
แทจังโร : ผู้ชายจะเปลี่ยนไปตามสายลม เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็จะจากไป.. ข้าขอให้เจ้าคิดถึงแต่ฮวาเซินของเรา ที่ได้เฝ้ารอคอยมานับพันปี ... คีฮา... ( ชอยมินซู คนสวมบทบาท ทำเสียง ดีมากๆ...เหมือนปลอบใจในที เหมือนยุแหย่ให้คั่งแค้นไปพร้อมๆกัน เยี่ยมจริงๆ ขอบอก ..บอกครั้งที่เท่าไร นับไม่ถูกแล้ว)

ในระหว่างเดินทางไปสบทบกับกองทหารของยอนโฮแก พร้อมกับกองทหารม้าเหล็กของจอกฮวาน โซคีฮา ที่นั่งหน้าระทมทุกข์ อยู่ในเกี้ยวมาตลอดเวลาได้หนีออกไปฆ่าตัวตาย จะกระโดดหน้าผา เหมือนเมื่อ 2 พันปีที่แล้ว ซารยางตามมาห้ามปราม โซคีฮา เดินไปสู่หน้าผา เห็นแต่ภาพของทัมด๊ก ทรงพระดำเนิน ผ่านหน้าเธอวันทดสอบดาบ kauri เธอจะคว้าหัตถ์ แต่ไม่กล้า ภาพที่ทัมด๊ก มองเธอวันฝนตก และทัมด๊กถูกรุมทำร้าย ซารยางพยายามเรียกเธอให้กลับลงมา
โซคีฮา เดินไปพูดระบายความน้อยใจไป
เขา..เขาไม่แม้แต่จะถามข้า เขาไม่เคยถามข้าว่าจริงหรือไม่ เขาไม่เคยมีความจริงใจกับข้า แล้วเขาให้ข้าอยู่ใกล้ชิดเขาทำไม สำหรับเขาข้าเป็นใคร

แล้วโซคีฮาก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหิน พิลาปรำพัน (คร่ำครวญ ร้องไห้ พร่ำพรรณนาตามอารมณ์ )

ข้าไม่รู้ว่า...ข้าทำผิดอะไร..ข้า ผู้พิทักษ์หัวใจฟินิกซ์ ข้าไม่เคยต้องการเป็นแม่ของแผ่นดิน ข้าแค่ทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ข้าทำ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการ มีแค่สิ่งเดียว เขา.....ผู้ซึ่งคือสิ่งที่ข้าเคยต้องการ แล้วนั่นคือความผิดร้ายแรงหรือ ฮวาเซินกับเขา พวกเจ้าเหมือนกันหมด ใช้ข้าเพราะเจ้าต้องการข้า แล้วทิ้งข้าในภายหลัง เหมือนที่เขาทำ เจ้าก็เช่นกัน ถึงแม้จะทอดทิ้งข้า เจ้าจะไม่พูดอะไรก่อนหรือ บอกว่าใช้ข้าคุ้มแล้ว บอกว่าเจ้าไม่ต้องการข้า
โซคีฮายิ่งพูด ก็ยิ่งคับแค้นใจ เธอผลุดลุกขึ้น ซารยางให้เธอคิดถึงลูก ว่า จะพาเขาตายไปด้วยหรือ โซคีฮา ตอบว่า ถึงอย่างไร เด็กคนนี้ก็ต้องตาย เขาจะน่าชังเช่นเดียวกับข้า แล้วก็ตายในที่สุด ข้าไม่ยอม ซารยางบอกว่าให้โซคีฮา ใช้เขา... ใช้โลกนี้... ใช้ฮวาเซิน ...ถ้าไม่ชอบก็ทิ้งไป นั่นเป็นวิธีที่จะปกป้องเด็กไว้ได้
โซคีฮา : เด็กเขาต้องการหรือ เขาต้องการออกมาสู่โลกที่น่าเศร้าเช่นนี้หรือ ข้าเกลียดโลกนี้ เด็กคนนี้คืออะไร
โซคีฮา ก้าวลงไปสู่ความว่างเปล่าของหน้าผา แต่เด็กคนนี้ ยังไม่อยากตาย หรือไม่ก็ สวรรค์ ไม่ยอมให้เขาตาย เด็กคนนี้คือสายเลือดจากสวรรค์ จึงมีรัศมีสีทอง หุ้มห่อล้อมโซคีฮา และดึงร่างโซคีฮา กลับมายืนและทรุดลงที่ริมหน้าผาใหม่ ซารยางที่เข้ามาจะช่วยดึงเธอกลับ โดนรัศมีสีทองกระแทก กระเด็นหงายหลังกับพื้นหิน จอกฮวาน ตามมาถึงพอดี ซารยางลุกได้ ในท่าคุกเข่า ทั้งซารยางและจอกฮวานตกตลึง ซารยางอุทานว่า เลือดจากสวรรค์... เด็กจากสวรรค์ และทำท่าคำนับ
( ยงจุนมี special message เกี่ยวกับ ความรัก ของทัมด๊กและโซคีฮา ว่าต้องแยกจากกัน และกลายเป็นอยู่ตรงข้ามกันเพราะ ความเข้าใจผิด ความไม่เข้าใจกัน)



ในเรือสินค้า ทัมด๊ก บรรทมอยู่บนพระที่ ขยับองค์ อึดอัด เอาหัตถ์ กุมพระอุระตรงดวงหทัย ทรงกระสับกระส่ายซูจินี ถลาเข้ามา จับองค์ทัมด๊กเขย่า ... ดูนี่ ...ลืมพระเนตรสิ... เกิดอะไรขึ้น ทัมด๊ก ผวาขึ้นสุดองค์ เกาะซูจูนีแน่น ซูจินี ก็เฝ้าแต่ทูลว่า เกิดอะไรขึ้น ลืมพระเนตรสิ ตื่นบรรทม แล้วเขย่าองค์อีก ลืมพระเนตร สิ ทัมด๊ก มีพระสุรเสียงเหนื่อยหอบเหมือนคนจะขาดหทัยเกาะบ่าซูจินีแน่น ซูจินี ก็พร่ำพูด... หม่อมฉันกำลังเรียกพระองค์ แล้วก็กอด ทัมด๊ก แน่น ตื่น สิ ตื่น


จูมูชิ มาแอบเดินดู ดัลบี ว่าหลับอยู่ตรงไหน ตลกแบบน่ารัก ที่ดาดฟ้าเรือ ดัลบี มีคำพูดให้จูมูชิ : ขอให้ท่านป้องกันตนเองตอนไปสงคราม เมื่อกลับมาข้าจะล้างเสื้อเกราะให้ท่าน ขอให้มีเพียงเลือดของศัตรู ไม่มีใครทำอะไรท่านได้อยู่แล้ว ข้าพูดผิดไหม ท่านได้ยินไหมอย่าบาดเจ็บนะ



ทัมด๊ก เสด็จขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ทอดพระเนตรท้องทะเลที่เวิ้งว้างและว้าเหว่ ซูจินีเข้ามาถวายผ้าซับพระพักตร์ถามว่าทรงหายดีแล้วหรือ ทรงพระสุบินอะไร หรือทรงพระสุบินถึงนาง
ทัมด๊ก : มันแปลก.. ข้าจำหน้านางไม่ได้หรือแม้แต่เสียง ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในความฝัน แต่ข้าจำไม่ได้ แล้วทรงเงียบไปนาน พระพักตร์เศร้าหมอง ซูจินี มิรู้จะปลอบอย่างไรดี ก็เลยทำท่าว่าง่วงนอน ทูลลาไปนอน พรุ่งนี้คงจะเผลอหลับตอนออกรบแน่ ๆ
ทัมด๊กทรงเรียก ซูจินี ซูจินีหันมาถามว่าอะไรเรียกเธอทำไม



ในห้องของทัมด๊ก ทรงยื่นชุดเกราะ ให้ซูจินี ช่วยสวมให้ แล้ว ก็มีความกุ๊กกิ๊กน่ารักขณะสวมเสื้อเกราะ ตอนแรกที่ทรงถามว่า ซูจินีว่ารู้วิธีใส่เสื้อเกราะไหม ซูจินีจะไปตามคนอื่นมาให้ ทรงบอกว่า เจ้าทำเถอะ มีการสบตากันขณะสวมชุดให้ทัมด๊ก ซูจินี ต้องหลบสายพระเนตร จึงอ้อมไปที่พระปฤษฎางค์ (หลัง) ผูกชุดเกราะ แล้วหยิบหัวเข็ดขัด มาติดให้ที่บั้นพระองค์ (เอว) ด้านหน้า



ทัมด๊ก ก้มลงทอดพระเนตรซูจินี ซูจินี ก็เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ทัมด๊กเช่นกัน เขินอีกตามเคย เลยต้องแก้เก้อ อ้อมไปที่พระปฤษฎางค์ ใหม่ราวกับว่า เมื่อครู่นี้ ยังผูกข้างหลังของชุดเกราะไม่เรียบร้อยดี
ทัมด๊กไม่มีพระประสงค์ให้ซูจินี ออกไปปฏิบัติภารกิจ กับศิษย์โคมิล ทรงหวั่นพระทัยว่า ซูจินี จะไปทำปัญหาอะไร : เราไม่รู้ว่า เจ้าจะเอาปัญหาอะไรมาใส่ตัวอีก ทำไมเจ้าไม่อยู่ข้างตัวของข้าล่ะ



ซูจินี : หม่อมฉันเป็นกาวหรือ (ถวายงานที่ทำอยู่แรงขึ้นนิดหนึ่ง)
ทัมด๊ก : คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือ..กษัตริย์ เจ้า ....จะพูดคำว่าใช่ ให้เพราะๆสักครั้งได้ไหม
ซูจินี : เงียบไปชั่วอึดใจ ทูลรับคำ ว่า เพคะ



ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์ ทรงกระแอมและหันไปหยิบขวดน้ำหอม ที่พระบิดาเคยประทานไว้ให้ ทรงยื่นให้ มีรับสั่งว่า : มันเป็นของเสด็จแม่ของข้า เพราะฉะนั้นอย่าทำหาย และนำมันกลับคืนมา อย่าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่จำเป็น อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เอามันกลับมาอย่างปลอดภัย เจ้าได้ยินข้าพูดไหม
ซูจินี ทำท่าจะถวายคืน ทัมด๊ก ใช้สองหัตถ์จับมือซูจินีให้กำขวดไว้ และทรงกุมมือซูจินีไว้ ซูจินี ซาบซึ้งในถ้อยรับสั่ง ที่ทรงห่วงใยเธอ ยิ้มถวายและรับคำว่า เพคะ



ทัมด๊ก ทรงมีรับสั่งกับเหล่าทหารที่พร้อมปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
พวกเจ้าจำไว้ 3 ประการ
ข้อแรก : เราจะไม่สู้ศัตรูด้วยดาบและทวน อาวุธในสนามรบคือความกลัว เราจะเป็นกองทัพที่หวาดกลัวที่สุดในโลก กองทัพที่หวาดกลัวแห่งจูชิน ( เพราะทรงมีทหารจำนวนน้อยมาก)
ข้อสอง : ชัยชนะของสงครามขึ้นอยู่กับความรวดเร็ว ภายใน 7 วัน เราต้องยึดป้อมปราการให้ได้
3 ป้อมปราการ ภายใน 20 วัน ต้องได้ 10 ป้อมปราการ ( เป้าหมายชัดเจนมาก)
ข้อสุดท้าย ( สำคัญ และกินใจมากเลย) : ห้ามมิให้ใครตาย ข้าไม่ต้องการให้ใครมาตายเพื่อข้า
มีชีวิตอยู่เคียงข้างข้า นี่คือคำสั่งของกษัตริย์ของเจ้า ( ทรงซื้อใจทหารให้ยิ่งซาบซึ้ง จงรักภักดีและจะยิ่งยอมกายถวายชีวิตเพื่อพระองค์ แต่นี่ไม่ใช่ กุศโลบาย แต่เป็นน้ำพระทัยแท้จริงของพระองค์)



ฮยอนโก ซูจินี และศิษย์โคมิล ลงเรือเล็ก ไปขึ้นฝั่งของแพคเจ คุณลุงเต่าดำเงอะงะตามเคย ซูจินี บ่นหัวหน้าตัวเอง อย่างเอือมระอา เหมือนตอนวัยเด็ก ว่า “ ท่านนี่ว่องไวยังกับลา “ ทั้งหมดปลอมเป็นนักบวช เข้าประตูป้อมปราการ ด้วยการติดสินบนผู้ คุมประตูด่าน ( การคอรัปชั่น มีมานานทุกเชื้อชาติเลย ยังกับเป็นสิ่งที่ติดตัวในกมลสันดานของมนุษย์ที่เกิดมา ทุกยุคทุกสมัยเชียว)

ที่หอสังเกตการณ์ ชายทะเลของป้อมปราการ ซอคคยอนซอง ยามรักษาการณ์มัวแต่ป้องหน้าดูและสงสัย ว่า หมู่เรืออะไรมุ่งตรงมาจนเรือเกยชายหาด และทอดกระดานให้ม้าศึก กรูกันออกจากลำเรือ ก็สายเกินแก้ ผู้บัญชาการป้อม รีบสั่งการให้ม้าเร็วรีบไปส่งข่าว ที่ป้อมปราการโอ๊คซุน ส่งกำลังเสริมมาด่วน
ทั้งสองฝ่ายยิงธนูใส่กันที่นอกนอกประตูป้อม และบนเชิงเทินของป้อม ธนู และโล่ ของบาซอน แสดงประสิทธิภาพ อย่างที่บาซอนเคยกราบทูลทัมด๊ก
ศิษย์โคมิลที่อยู่ด้านในของป้อม ใช้ความสามารถ และเปิดประตูใหญ่ ให้ กองทหารของโคคุเรียว เข้ามาข้างในได้ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนยุทธ์ ของทัมด๊ก
คนเผ่าซีอู จะทะลายประตูใหญ่ให้เร็วที่สุด ประสานกับศิษย์โคมิล
ทหารราชองครักษ์ จะสกัดกั้นศัตรู เพื่อให้มั่นใจว่า พวกนั้นไม่ล่าช้า
จำไว้ ห้ามต่อสู้ ในส่วนในของป้อมปราการ สิ่งที่เราต้องการ คือติดป้ายของเราให้ได้ สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือการสร้างความหวาดกลัวขึ้นในใจของศัตรู คนของซีอู ต้องไปถึงป้อมปราการโอ๊คซุน ก่อนที่ ม้าเร็วส่งสาสน์ของ ซอคคยอนซองไปถึง

Copyright @ Amornbyj & SUE

Tuesday, May 6, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ( ตอนที่ 12 )


...ตอนที่12...

จูมูชิ ใช้ ขวานอันใหญ่มาก มีน้ำหนัก เวลา เหวี่ยง ฟาด และฟัน น่าเกรงขาม ทัมด๊ก หลบไปหลีกมา พลิ้วสวยงามทั้งผมยาวหน้าหล่อ ชุดสวย วิทยายุทธ์ล้ำเลิศน่าดูน่าชม และทัมด๊ก ก็หลบไปแย้มพระสรวลไป ทรงคว้าดาบมาตอบโต้ต่อสู้อย่างน้อยต้องให้จูมูชิเห็น ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เสียบ้าง มีตอนหนึ่ง ทัมดั๊กทรงล้มหงายไปที่โต๊ะ จูมูชิ ก็ไม่มีการออมกำลังให้ใช้ขวานฟาดลงมา ทัมด๊ก ทรงใช้ดาบรับไว้ ปะทะกัน จูมูชิ กดขวานลงมา ทดสอบความแกร่งของเรี่ยวแรง จูมูชิ เรี่ยวแรงยังกับช้างสารกำลังตกมัน เพราะต้องโชว์ฝีมือให้แม่หม้าย ดัลบี ชื่นชมด้วย



ทัมด๊ก ทรงต้านแรงเต็มที่ พอดี จูมูชิ เสียสมาธิ ที่ไป เหลือบตามอง ดัลบี ที่ยืนเกาะเสาทำท่าอกสั่นขวัญแขวน เพราะเชียร์ ทัมด๊ก อยู่ ทัมด๊ก เลยผลักจูมูชิออกไปได้ แต่ดาบก็บิ่น จูมูชิฟันอีกที ทีนี้ปลายดาบขาดเลย ฟาดไปฟันมา จูมูชิ ไปฟาดโต๊ะที่บาซอนวาง อาวุธ ดาบ และ เหล็กที่มีลักษณะแหลมคมมากมาย กระเด็นลอยขึ้นในอากาศ เป็นจังหวะที่ ทัมด๊ก ล้มหงายที่พื้นทอดพระเนตรเห็น ทรงลุกขึ้นออกแรงผลักจูมูชิ เต็มแรงจนพ้นทาง พระองค์เองล้มลงที่พื้นเฉียดฉิว กับ บรรดาเหล็ก แหลมคม และดาบที่ร่วงหล่นลงมา ปักดิ่งบนพื้นดิน



ทรงลุกขึ้นประทับนั่ง ตรัสว่า ข้าคิดว่ามากกว่า 10 ครั้งแล้วนะ จูมูชิ เอื้อมมือมาฉุด ทัมด๊ก ให้ทรงลุกขึ้น และบอกว่า ค่าตัวพวกข้าแพงมากต้องรวมค่าอาหารด้วย ทัมด๊ก รับสั่ง ปนเสียงหอบว่า ข้าจะคืนดินแดนที่บรรพบุรุษของเจ้าสูญเสียไป ให้ เจ้าสามารถเลี้ยงม้าได้อีก และอยู่ที่นั่นกับคนของเจ้า จูมูชิ หาว่าพระองค์ไม่มีเงิน และ เมื่อใช้งานเสร็จธุระแล้ว ก็คงลืมง่าย ๆ ทัมด๊ก ทรงย้อนว่า เจ้าเป็นคนที่ถูกลืมง่าย ๆหรือ แล้วก็มองประสานสายพระเนตรและสายตาแบบ วัดใจกัน



จูมูชิ มีข้อแม้ อีก คือจะไม่คุกเข่าถวายความเคารพ และห้ามถือตนและพวกพ้อง เป็นพลเมืองโคคุเรียว เรื่องคุกเข่า ทัมด๊ก พยักพักตร์ตอบรับ และดำรัสว่า ข้าไม่ทำ ส่วน เรื่องพลเมืองโคคุเรียว ทรงตอบว่าโคคุเรียว แพคเจ มัลกัลและซุนบิ พวกเราเป็นเมืองพี่เมืองน้องกันมาก่อน



ยอนโฮแก มาเข้าเฝ้าตามรับสั่งหา องครักษ์พามาเฝ้า ที่บันไดพระราชวัง ยอนโฮแกเห็นภาพตนเองและทัมด๊กยังเด็ก เคยสอนการใช้ทวนให้ทัมด๊ก และ สถานที่มาเฝ้านี้เป็น ที่ที่เดียว กับที่ตนเองเคยวิ่งมาหาทัมด๊ก อย่างรื่นเริง คุยเล่นสนุกสนานและจะชวนทัมด๊กแอบออกไปล่าสัตว์ ในคราวหน้า ยอนโฮแกกระพริบตาไล่ภาพความหลังออกไป ทัมด๊กประทับนั่งที่บันไดขั้นบน แบบเดิม ที่เดิมเหมือนครั้งเมื่อยังเยาว์ชันษา



ทัมด๊ก : ใคร ๆบอกว่าเจ้าคงหาข้ออ้างที่จะไม่ยอมมา
ยอนโฮแก : พระองค์ไม่ควรพบหม่อมฉัน ในที่ที่ไม่มีราชองครักษ์
ทัมด๊ก : ทำไมเจ้าจะฆ่าข้าหรือ
ยอนโฮแก : หม่อมฉันกำลังคิดอยู่
ทัมด๊ก : ทรงพระสรวล ตบพื้น ข้าง ๆ องค์ เหมือนชวนให้ ยอนโฮแก มานั่งข้าง ยอนโฮแกเหลือบมอง แล้วเดินไปนั่งหัวเสา ชั้นล่างสุดของบันได
จากนั้นก็สนทนากันเรื่อง ยอนโฮแก จะ ไปทำสงครามกับแพคเจ และเพื่อไปหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์
ทัมด๊ก : เมื่อเจ้าเรียกข้าว่าฝ่าบาท ถ้าคนของเจ้าไปรบ พวกเขาจะฟังคำสั่งข้าไหม
ยอนโฮแก ทำท่าถอนใจนิด ๆ : ทรงลืมแล้วหรือว่าเราสู้กันเพื่อหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์กษัตริย์จูชิน พวกเขามาอยู่กับหม่อมฉัน เพราะอยากให้หม่อมฉันเป็นกษัตริย์จูชิน



ทัมด๊ก ไม่เห็นด้วยที่จะทำสงคราม เพราะจะทำให้ พลเมืองที่ไปเป็นทหารล้มตาย ยอนโฮแก ทูลว่า พรุ่งนี้หม่อมฉันจะถามพวกเขา ประชาชนที่ทรงห่วงใยนักหนา ในที่ประชุมสภา


วันรุ่งขึ้นในท้องพระโรง
คณะขุนนางและเสนาบดี ยังมีทีท่า ไม่ยอมรับการเป็นกษัตริย์ของ ทัมด๊ก ยอนโฮแก ยืนเด่นคนเดียวกลางท้องพระโรงทูลขอพระบรมราชานุญาติ พาคนของตระกูลยอนไปรบที่แพคเจ ทัมดั๊ก เสด็จไปยืนด้านหลังพระราชบัลลังก์แล้วก็ทรงพระดำเนินกลับไปกลับมา ทรงมีพระดำรัสว่า สงครามทำให้คนของเราเสี่ยงอันตราย ถ้าเจ้าเห็นแก่ชีวิตของพวกเขา ควรมีเหตุผลเพียงพอที่จะไปรบ และต้องมีนโยบายในการลดการสูญเสียให้มากที่สุด



ยอนโฮแกกราบทูลว่า เพื่อแก้แค้นให้ประเทศชาติ ที่แพคเจ เคยบุกเข้ามาและสังหาร กษัตริย์ โกดุ๊กวอน นโยบายและกลอุบาย คือความตั้งใจจริงของคนของหม่อมฉัน 4 หมื่นคน และตัวหม่อมฉัน วิญญาณแห่งมังกร และหัวใจเสือ ทุกคน ตบเท้าเห็นด้วย ทัมด๊ก พยายามอธิบาย ถึงการใช้แนวทางการเจริญสัมพันธไมตรี ให้ระวังการ ที่ประเทศอื่นจะเข้าร่วมและช่วยแพคเจ นอกจากนี้ แพคเจเอง ก็มีทั้ง แพคเจ ตะวันออก และ แพคเจตะวันตก



ผู้นำแคว้นกวานโนกล่าวหาพระองค์ว่ากลัวการทำสงคราม และ ไม่ทรงยอมรับในความกล้าหาญ เก่งกล้าของยอนโฮแก
โชจูโด : สงครามครั้งนี้มิใช่เพื่อหาสัญลักษณ์ ศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น เป็นการแก้แค้นให้กับชาติของเรา ท่านโฮแก ได้รับการสนับสนุน ความเคารพ จากประชาชนโคคุเรียว พวกเขามารวมกันจากทั่วประเทศ เพื่อต่อสู้ให้กับเขา ฝ่าบาทไม่ควรอิจฉาเขาเรื่องนี้ ชัยชนะของท่านโฮแก คือชัยชนะของโคคุเรียว และคือชัยชนะของฝ่าบาท



แล้วมีเสียงตอบรับ ถูกต้อง .... เขาพูดถูก .... มันน่าขำ.....
ทัมด๊ก ได้แต่หันพระพักตร์ไปทาง ฮยอนโก ที่มายืนแอบอยู่ด้านในข้างท้องพระโรง ซึ่งก็ได้แต่ยกไม้เท้าให้กำลังใจพระองค์



ตกกลางคืน ซูจินี มานั่งดื่มเหล้า ที่ท้องพระโรงด้านล่างที่ว่างเปล่าผู้คน ทัมดั๊กเสด็จลงไปหา
ซูจินี รู้สึกเจ็บร้อนแทน ทัมด๊ก ที่ไปเห็นภาพโซคีฮา และยอนโฮแกมา เธอ เริ่ม พูดถึงความรักวัยเด็กของพระองค์ ที่รู้กันทั่วไป กับโซคีฮา ทัมด๊ก ทรงให้ซูจินีหยุดพูด แต่ซูจินีไม่หยุด กลับทูลถาม ทัมด๊ก ว่า ยังทรงรัก โซคีฮา อยู่อีกหรือ ทั้งที่ปลงพระชนม์กษัตริย์พระองค์ก่อน และแทงพระองค์ที่อารามหลวง ทัมด๊กเริ่ม กริ้ว สั่งซูจินี เสียงดัง : ข้าบอกให้หยุด


ซูจินี : ไม่ทรงรู้เลยหรือ ว่า นางกำลังทำอะไรอยู่ หม่อมฉันขอทูลให้ทรงหยุด ทำไมกริ้วหม่อมฉัน เป็นเพราะฝ่าบาทยังรักนางอยู่ใช่ไหม
ทัมด๊ก : ถูกต้อง ข้ายังรู้สึกเช่นนั้น ถ้าข้าเริ่มคิดถึงนาง ข้าก็หยุดไม่ได้ สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับข้า ก็คือข้ายังต้องการเห็นนาง ข้าต้องการเห็นนางพูดกับนาง นั่นเป็นเหตุผลให้ข้าไม่ต้องการได้ยินเรื่องของนางอีกต่อไป ทัมด๊ก หยุดรับสั่งไปนานคงทำพระทัยอยู่...ได้โปรด.. อย่าพูดถึงนางต่อหน้าข้า
ซูจินี.. : หม่อมฉันเข้าใจแล้วแล้วก็พยายามกล้ำกลืนความน้อยใจ เสียใจ เกือบร้องไห้ออกมา ทัมด๊กเองพระพักตร์เศร้าสร้อย



ในห้องโถงใหญ่ ภายในพระราชวัง ฮีกแก แห่งจุนโน เดินเข้ามาบ่นเสียงดัง อย่างโมโห ฉุนเฉียวที่ได้ยินพวกขุนนางดูหมื่น ทัมด๊ก ว่า ทรงกลัวในการทำสงคราม อยู่แต่ภายในพระราชวัง ทูลขออนุญาตให้พวกจุนโน เข้าไปสู่สนามรบ ทหารจุนโนจะสู้เพื่อพระเกียรติยศของทัมด๊ก ในสนามรบเอง

ทัมด๊กทรงถามว่า โอกาสที่จะได้รับชัยชนะในการสู้รบกับแพคเจเป็นอย่างไร
ฮยอนโก ทูลว่า ระหว่างโคคุเรียวและแพคเจ ใครเป็นฝ่ายโจมตีก่อน ก็ได้เปรียบ เพราะทั้ง สองฝ่ายต่างก็เข้มแข็งในการทำสงคราม
ฮยอนจาง: ถ้ายอนโฮแกจะโจมตีปราสาทของแพคเจ จะต้องเอาชนะฝ่ายป้องกันซึ่งมีอยู่ 20 ป้อมปราการ เราประมาณว่าแต่ละป้อมปราการใช้เวลา 10 วันในการเอาชนะ การเอาชนะครึ่งหนึ่งของกองป้อมปราการต้องใช้เวลา 3 เดือน ยอนโฮแก จะนำทหาร 4 หมื่นนาย ไปรบนั้น ทรงต้องการให้คำนวณอาหารสำหรับ ทหาร 4 หมื่นนายไหม พะย่ะค่ะ
แต่ทัมด๊ก กลับถาม พระอาจารย์ ฮยอนโก ว่า ท่านบอกว่า โคมิลมีความสามารถในการสืบข้อมูลนั้น โคมิล จะส่งข้อมูลได้หรือไม่ ข้าต้องการปล่อยข่าวลับออกไป ถ้าเป็นไปได้ ข้าจะยอมให้ ยอนโฮแก เข้าสู่สงคราม ข้าไม่มีทางเลือก
ฮีกแก ทูลถามว่า เราจะนั่งแล้วคอยดูหรือ
ทัมด๊ก ทรงถามว่า ท่านไม่ได้ยินในสภาหรือ ทหารของยอนโฮแก ก็คือทหารของโคคุเรียว ชัยชนะของเขาคือชัยชนะของข้า ข้าจะช่วยเขา ข้าจะให้เขาได้ชัยชนะ และข้าก็จะชนะด้วย
ที่โรงตีเหล็กของบาซอน บาซอนได้เรียกช่างตีเหล็กฝีมือดี คูเปจู มาจากปราสาทฮัน และซื้อแร่เหล็กคุณภาพดีมาใช้ บาซอน อธิบายที่เตาเผาว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของช่างตีเหล็ก คือเหล็กคุณภาพดี และไฟแรงที่จะหลอมละลายมัน เพื่อ เสื้อเกราะ โล่ ชุดเกราะ ตาข่ายเล็กเกล็ดปลา ดาบ



ฮยอนโก ทูลว่า ถ้าเราสู้เฉพาะ แพคเจตะวันออก เรามีทางชนะ แต่หากสู้กับ แพคเจตะวันตกพร้อมกัน มันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้มีทหาร 4 หมื่นนาย
ทัมด๊ก มีพระดำรัสว่าเหตุผลที่ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ และขอให้คนของท่านมาที่วัง ...ไม่ใช่เพราะข้าต้องการได้ยิน สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ท่านบอกข้าถึงเหตุผล ว่า ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะชนะได้อย่างไร
ฮยอนโกทูลว่า หม่อมฉันเองก็ไม่ต้องการพูดเช่นนั้น ทรงหยุดยอนโฮแก ได้หรือไม่พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ยอนโฮแก คงไม่ยอมหยุด ตอนนี้เขามีทหาร 4 หมื่นนาย ที่มารวมตัวกันโดยที่ข้าไม่ได้ทำ บอกข้ามาว่าทำอย่างไร เราจึงจะได้ชัยชนะ โดยทหารพวกนี้
ฮยอนโก: กองทหารของแพคจ และโคคุเรียว ต่างมีกำลังและขนาดที่เท่าเทียมกัน เกราะและอาวุธคล้ายกัน สิ่งที่เราดีกว่าอาจจะเป็นทหารม้าเหล็ก


ทัมด๊ก ทรงถามถึงโรงตีเหล็กของบาซอน องครักษ์ ทูลตอบความเคลื่อนไหวของบาซอน
ฮยอนโก : ในตอนนนี้ ก็คือ รอเวลา มันต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี ในการทำเกราะเหล็ก สำหรับทหาร 4 หมื่นนาย
ทัมด๊ก : การเดินทางไปแพคเจต้องใช้เวลาสักเท่าไร
ขุนพลโก : ยอนโฮแกอยู่ในสนามรบตั้งแต่เด็ก เขาเป็นนักรบที่เชี่ยวชาญ เขาคงไปถึงชายแดนได้ภายใน 7 วัน
ทัมด๊ก : แล้วถ้าแพคเจตะวันตกข้ามทะเลมาช่วยล่ะ
ขุนพลโก : ถ้า ยอนโฮแกบุกเข้าไป แพคเจจะต้องส่งข่าวออกไป แพคเจตะวันตกจะรู้ได้ ภายใน 3 วัน มันจะใช้เวลา 10-14 วัน กว่าพวกเขาจะรวมกับแพคเจตะวันออก
ทัมด๊ก ทรงไตร่ตรอง : พวกเราจะพยามยามถ่วงเวลาที่ ยอนโฮแกจะไปถึงชายแดนแพคเจ เราจะสกัดกั้นความช่วยเหลือจากแพคเจ
ฮยอนโก : เรา....หมายถึง ทหารของจุนโน และทหารของ แม่ทัพ โก
ขุนพลโก : เรามีกัน 3 พันนาย



ทัมด๊ก : มันเป็นตัวเลขที่ดี เราทำเสื้อเกราะสำหรับพวกเขาได้ทันที
ฮยอนโก :ทรงต้องการต่อสู้กับทหารแพคเจตะวันตก ด้วยทหาร 3 พัน นายหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : อาจารย์ ถ่วงเวลาทหารของโฮแกไว้มากกว่า 2 อาทิตย์ ให้พวกเขาไปทางตะวันออกของปราสาทฮัน
ฮยอนโก: ทรงนำทหาร 3 พันนาย ไปสู้รบกับทหารแพคเจตะวันตกในช่วงเวลานั้นหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : การส่งสารไปแพคเจ ใช้เวลานานแค่ไหน
ขุนพลโก : ถ้าส่งพรุ่งนี้ มันจะไปถึงปราสาทฮัน ภายใน 5 วัน
ทัมด๊ก : ถ้าเช่นนั้นให้พวกเขารู้ว่า ข้าอยู่ในวัง ให้ทำเป็นว่าข้าขี้ขลาด ไม่ไปสงคราม ทัมด๊ก ยังคงทำตัวเป็นไก่ฟ้าที่เอาแต่มุดหัวลงดิน เข้าใจไหม
ฮยอนโก สวนว่า : หม่อมฉันไม่เข้าใจ ทรงกำลังจะไปต่อสู้ กับแพคเจตะวันตก ด้วยทหาร 3 พันนาย เพื่อช่วย ยอนโฮแกหรือพะย่ะค่ะ ทรงต้องการให้พวกเราเป็นเป้าธนู เพื่อ โฮแกจะได้ครอบครองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์หรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : อาจารย์...กษัตริย์ของท่าน เป็นคนไม่รักประชาชนของตัวเองหรือ ทหารของโฮแก ก็คือประชาชนของข้า ข้าไม่ยอมให้พวกเขาตายหรอก

วันหนึ่งซูจินีมาที่โรงตีเหล็ก บาซอน ได้อธิบายประสิทธิภาพของลูกธนู ที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ทั้งความแกร่ง วิถี และระยะไกล ซูจินี แปลกใจที่ บาซอน ไม่คิด ทำลูกธนู แบบนี้ ไว้ขายก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าทำคงรวยไปแล้ว บาซอน ยกลูกธนู ทำท่าจะเคาะหัว ซูจินี บอกว่า หัดใช้สมองเสียบ้างสิ อาวุธที่มีไว้ฆ่าคนแบบนี้ ถ้าข้าคิดจะทำ ข้าจะทำให้เพื่อคนที่ข้าสนับสนุนเท่านั้น ข้าทำแต่อาวุธ แย่ๆ ไว้ขายสำหรับคนอื่น ซูจินี ยกถือถูคาง ทำหน้าตาแบบคิดออกแล้ว “ท่านหมายถึงว่าท่านสนับสนุน คนที่ท่านรู้ว่า เป็นใครใช่ไหม” บาซอน ตอบว่า นักรบในสนามรบ จะตายเพื่อกษัตริย์ ผู้ซึ่งรู้ถึงความสามารถของเขา นักตีดาบจะทำอาวุธสำหรับนายทุน ที่รู้ถึงความสามารถของเขา เช่นกัน (อ้าวแล้วกัน นึกว่า ซูจินี คงลุ้นว่า บาซอน จะตอบว่า ทำลูกธนูนี้เพื่อกษัตริย์ แห่งจูชินมากกว่า ไม่ยักกะใช่)
แล้ว ดัลบี ก็ได้ฝากตำราการคำนวณ เสบียงอาหารและน้ำ จำนวนเกวียนและม้าสำหรับขนเสบียง ให้ซูจินี นำไปถวาย ทัมด๊ก ซึ่ง ดัลบี ได้ ทำไว้ เมื่อ ตอนยังอยู่ในบ้านตระกูลยอน หลังจากท่านหญิงยอนเสียชีวิต ดัลบี ได้เข้ามาดูแล เรื่องการจัดเตรียมเสบียงสำหรับทหาร เมื่อ ทัมด๊ก ได้ทอดพระเนตร และ ซูจินี ได้ทูลถึงเรื่องราวความเป็นมาของ ดัลบี ที่เข้ามาอยู่กับบาซอน ทรงเรียกขุนพลโกเข้ามา เพราะขุนพลโกกำลังมีปัญหา ที่ไม่มีผู้จะเข้ามาดูแล เรื่องเสบียงและสัมภาระของทหาร เนื่องจากคนที่มีประสบการณ์ ได้ไปอยู่ในกองทหารของยอนโฮแกหมดแล้ว (พอเหมาะพอเจาะอะไรแบบนี้ ) ทัมด๊ก ทรงยื่น ตำรา ของ ดัลบี ให้ ตรัสว่า“ท่านลองดู สักนิด ข้าประหลาดใจจริงๆ” ขุนพลโก เปิดอ่านแล้วทูลว่า เมื่อฝ่าบาททรงทอดพระเนตรแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทบทวนอีก หม่อมฉันจะจ้าง คน คนนี้ทันทีพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ไม่ว่าทหารจะสู้รบได้ดีขนาดไหน หากการสนับสนุนไม่ดี มันก็ไร้ประโยชน์
ขุนพลโก : ยังทรงจำได้อีกหรือพะย่ะค่ะ ( ยิ้มหน้าบาน ที่ลูกศิษย์สมัยเยาว์วัยยังจำคำสอนของครูได้ )
ทัมด๊ก : แล้วถ้าข้าทำผิดเล่า เป็นความผิดของข้าคนเดียว หรือของท่านด้วยที่รับคำสั่ง โดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน ( แย่แล้วคุณครู โก.อูชุง..)
ขุนพลโก ยิ้ม และก้มหน้าแบบรับผิด : มันเป็นความผิดของหม่อมฉันพะย่ะค่ะ ( ที่ยิ้ม คงเป็นเพราะปลาบปลื้มใจกับลูกศิษย์ องค์นี้นั่นเอง)
ทัมด๊ก : ถ้าเช่นนั้น
ขุนพลโก : หม่อมฉันจะพบคนคนนี้และสอบถามความสามารถของเขาพะย่ะค่ะทัมด๊กทรงพระสรวล เอื้อมหัตถ์ไปจับแขนขุนพลบีบแรง ๆ แบบสนิทชิดเชื้อเหลือเกิน



ส่วนซูจินี ก็ไปป่วนสร้างความวุ่นวาย กับชาวโคมิล ที่กำลังนั่งบันทึกอะไรสักอย่าง ( คงเหมือนเจ้ากรมอาลักษณ์ นั่งบันทึกเรื่องราวไว้เป็นพงศาวดารหรือประวัติศาสตร์) เวลาที่ ทัมด๊ก ประชุม ปรึกษาหารือ กับ ฮยอนโก ผู้อาวุโสโคมิล และฮีกแก จะมีคนคอยจดบันทึก เหมือนเป็นเลขานุการการประชุมแบบสมัยใหม่ทัมด๊ก ทรงทอดพระเนตรแล้วในสายพระเนตร บอกความความเหนื่อยพระทัย และเอือมระอากับซูจินีเหลือเกิน ก็คนอื่นเขากำลังทำงานเป็นงานเป็นการกัน

ที่บ้านตระกูลยอน โซคีฮา ฟื้นได้สติแล้วซารยางถือถาดเข้ามาพบว่าบนเตียงนอนว่างเปล่า ยอนโฮแก เดินมาตามระเบียงบ้านที่มีสระบัว กำลังเดินอยู่ หูก็ แว่วเสียงท่านหญิงยอนเรียก และมีภาพท่านหญิงยอนในวันสิ้นชีวิต เพราะยาพิษ ยอนโฮแกในวันนั้นไม่ได้ตอบคำใดๆกับท่านหญิงยอน แต่ว่าวันนี้ ยอนโฮแก บอกท่านแม่ที่ ยอนโฮแก รักมาก ว่า “ข้าจะเป็นกษัตริย์ ไม่ว่าจะของจูชินหรือโคคุเรียวสำหรับท่านแม่ ....สำหรับนาง.....มันต้องเป็นเช่นนั้น คอยดูข้าให้ดีท่านแม่ “ มีสายฝนตกปรอยๆ โปรยปรายลงมาพอหันไปอีกด้านก็พบ โซคีฮา ยืนอยู่กับกล่องใส่โคมไฟ พูดกับตัวเองและโคมไฟว่า “มันง่ายขึ้นสำหรับข้าที่จะจัดการกับไฟ ข้าไม่ต้องใช้ความพยายามแล้ว แต่ว่า มันแปลก ข้าจุดไฟได้ แต่ดับมันไม่ได้ ทำไม...ถึงไม่ได้เล่า"

ยอนโฮแก : ท่านหายดีแล้วหรือ
โซคีฮา พูดอย่างคนเลื่อนลอย เหมือนเป็นคำถามมากกว่าคำตอบ : หาย ?
ยอนโฮแก : ข้าได้ยินว่าท่านไม่ได้สติก็เลยมาเยี่ยมท่าน ข้าหวังว่าท่านจะเรียกข้า ถ้าข้ารออยู่
โซคีฮา ยืนอยู่ในท่าเดิม ถามว่า : ทำไม ...ท่านรอข้าทำไม ข้าไม่เคยรอท่านเลย
ยอนโฮแก ยิ้มรับกับความเจ็บปวดในหัวใจ : ถูกต้องมีแค่ชายคนเดียวที่ท่านรอ ถึงแม้ท่านจะเรียกข้าว่ากษัตริย์ ท่าน...ทำไปทำไม... ดึงดาบจากข้าไปทำไม ทำไมท่านอยากทำแบบนั้น ท่านรู้หรือว่าเขาจะรอ
โซคีฮา เหลือบตามองยอนโฮแก : ข้าจะตายพร้อมกับเขา แต่ตอนนี้ข้ามีเหตุผลที่ต้องมีชีวิตอยู่ ข้าต้องการพบเขาอีกครั้ง ข้าต้องรู้ อะไรทำให้ข้าต้องอยู่ ข้าต้องการพบเขาเพื่อหาคำตอบ
ในตอนกลางคืน โชคีฮา ก็ไปหา ทัมด๊ก เหมือน เป็นการปรากฏตัวของปีศาจ เป็นเงาวูบผ่านองครักษ์ มีสายลมกรรโชกนำทาง ที่ ฮยอนโก ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไร ได้แต่ทำหน้าตาสงสัย



ที่ห้องทรงอักษร ทัมด๊ก ประทับนั่งอ่านหนังสือ มีซูจินี ถือขวดเหล้ามาก่อกวน ด้วยความปรารถนาดี ที่อยากจะให้ทรงลิ้มชิมเหล้ารสใหม่ก่อนองค์แรก ทัมด๊ก ชิมครั้งแรกตรัสว่า มันแรงเกินไป แต่เมื่อตามมาอีกหลายอึก(ทัมด๊ก ทำโอษฐ์ จุ๊บจิ๊บน่าเอ็นดู) ซูจินี ก็ใจหายทำท่าผวากลัวว่าเหล้าจะหมดขวดเสียก่อน ตัวเอง ยังไม่ได้ลองเลย (ซูจินี จะนึกถึง ทัมด๊ก ก่อนตัวเองเห็นไหม) เรื่องดื่มเหล้านี่เป็นเรื่องใหญ่ของ ซูจินี ทีเดียว เมื่อทัมด๊ก ทรงกลั่นแกล้งโดยโยนขวดเหล้าคืนให้ ซูจินี ผวาเข้ามารับ แทบไม่ทัน แล้วกอดขวดเหล้าไว้แน่นแนบอกทัมด๊ก ทรงบ่นว่า มันไม่เห็นจะดีสักแค่ไหน และทรงไม่อยากให้ ซูจินี ออกไปกินเหล้าเมาแล้วจะไปรบกวนผู้อื่น
ทัมด๊ก : นั่งตรงนั้นแหละ ชี้ ดรรชนีไปที่พื้นห้อง : นั่งดื่มตรงที่ข้าเห็นเจ้า เจ้าเหมือนน้องสาวข้า ถ้าเจ้าทำเสื่อมเสียเท่ากับข้าก็เสื่อมเสียไปด้วย รู้ไหม
ซูจินี คนเก่ง แก่นแก้วไม่กลัวใครแต่แรกก็ทำกระเง้ากระงอด แล้วก็หงอ และจ๋องไปเลย เหมือนลูกแมวเชื่องๆ ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเชียว นั่งลงมุมห้องดื่มสุรา (เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า ซูจินี ต้องมีคนปราบ ก็ ทัมด๊ก ไง) แบบมีความสุขเสียเต็มประดา (กับรสเหล้าและอยู่ใกล้ ทัมด๊ก ) ทัมด๊ก ทอดพระเนตรแล้ว ก็แย้มสรวลแบบเอ็นดู

แต่ว่า ที่ระเบียงด้านนอกในความมืด โซคีฮา ยืนมองอยู่ แบบ เข้าใจผิด คิดไปไกล ว่าทั้งคู่หวานชื่น มีความสุขกันเหลือเกิน เหมือนตัวเธอ ถูกลืมเลือนไปเสียแล้วจากดวงหทัยของทัมด๊ก(ช่างเหมือน เมื่อ 2 พันปีก่อน ที่ ริมสายธารท่ามกลางแมกไม้ ที่คาจิน ยืนมองอยู่ด้านหลังเทพฮวานอุงและสาวน้อยแซโอ)

ทัมด๊ก ทรงรับสัมผัสว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ในเงามืด ทรงหันมาทอดพระเนตร พบแต่ความว่างเปล่า โซคีฮา จากไปแล้ว เดินเหมือนคนไร้หัวใจ ไร้เรี่ยวแรง และนึกถึงคำพูดของยอนโฮแกขึ้นมา“หลังจากพิธีเสร็จสิ้นลงในวันพรุ่งนี้ ข้าจะออกเดินทางทันที ข้าจะรอท่าน ข้าจะรอฟินิกซ์ของข้า”ตอนโฮแกพูดด้วย เหมือน โซคีฮาไม่ได้ยิน แต่เวลานี้ กลับได้ยินชัดเจน

และรุ่งเช้า ยอนโฮแกและกองทหารก็ออกจากเมือง ท่ามกลางประชาชน ที่ออกมาส่งสองข้างถนน อวยชัยให้พร กับกองทัพของ ยอนโฮแก ขวัญใจของชาวโคคุเรียว

หมู่บ้านโคมิล ส่งศิษย์ ไปสร้างสถานการณ์ว่า มีสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ปรากฏขึ้นอีก 1 อย่าง
แทจังโร ไม่ค่อยเชื่อถือกับข่าวที่สาวกแจ้งมา เพราะสงสัยเส้นทางการเดินทาง แต่ซารยางและเสนาบดียอน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
แทจังโร : เราต้องแจ้งให้ท่านโฮแกทราบทันที เขาต้องไปตามหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธ์ก่อน การบุกเข้าไปในแพคเจเป็นเรื่องรอง เสนาบดี ยอน เหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็คล้อยตามในที่สุด

ทัมด๊ก ทรงได้รับรายงานว่า ลูกศิษย์ของโคมิล สร้างเรื่องสัญลักษณ์ศักดิ์สืทธิ์ หลอก เสนาบดียอน เรียบร้อยแล้ว
ทัมด๊ก : โฮแกจะมุ่งหน้าไปยังกองทหาร พัลกอน
ฮีกแก: ฝ่าบาท ฝ่าบาท กำลังนำพวกเขา ไปต่อสู้กับกองทหารที่มีการป้องกันการบุกรุกหรื่อพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก: เราต้องมั่นใจว่า พวกเขาจะอยู่ห่างจากแพคเจ ตะวันตก และเราต้องถ่วงเวลาไม่ให้พวกเขาบุกเข้าแพคเจ
ฮีกแก แห่งจุนโน ทำเสียงและท่าทางเหมือนมีอะไร อ้ดแน่นอยู่ในอก: ใครกำลังจุดไฟในหัวข้า ยกมือจับศีรษะตัวเองลุกขึ้นยืนพรวดพราด ทูลถาม ทัมด๊กว่า : ทรงไม่เห็นควันออกจากศีรษะของหม่อมฉันบ้างหรือ
ทัมด๊ก ทรงขำกับท่าทางกราดเกรี้ยวของฮีกแก : ว่ากันว่า การป้องกันการถูกรุกรานของแพคเจ เหมือนปกคลุมไว้ด้วยเหล็ก และยังทหารอีก ท่านคิดว่า ยอนโฮแก จะชนะหรือ
ฮีกแก : เจ้านั่นเป็นหนูตัวร้าย แต่ก็ต้องยอมรับว่า เขาเป็นนักรบ
ทัมด๊ก : ท่านคิดหรือว่า เขาจะชนะ ทรงถามซ้ำ 2 ครั้ง แต่ฮีกแกไม่ทูลตอบแต่อย่างใด
ทัมด๊ก เราจะเคลื่อนไปที่ตำแหน่งนี้ (ชี้แผนที่) ถ้าเราโจมตีป้อมปราการ กองกำลังเสริมที่ไปช่วยแพคเจตะวันออกจะรีบกลับมา ทรงหันไปทางแม่ทัพโก ถ้าเป็นเช่นนี้ ส่งคำสั่งของข้าไปให้โฮแก บอกให้เขาเข้าโจมตีกองทัพแพคเจที่กำลังล่าถอยเราจะกั้นอาณาเขต แพคเจตะวันออกและตะวันตกให้อยู่ต่างหากกัน ถ้าเราแบ่งเป็น 2 ส่วน และโจมตีบริเวณนี้ ทรงชี้ลงในแผนที่ เราจะควบคุมน่านน้ำทะเลได้
ทัมด๊ก : นี่คือสิ่งที่จุนโนต้องทำ
ฮีกแก : รับสั่งมาได้เลยพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : กลับไปจุนโน



ฮีกแก ตกตะลึง พูดติดอ่าง... ฝ่า.... ฝ่าบาท
ทัมด๊ก แย้มพระสรวลให้ : เราต้องเตรียมตัวก่อน ข้าไม่สามารถนำท่านไปสู่สงคราม โดยมิได้เตรียมตัว
ฮีกแก : ตบโต๊ะปัง.เสียงดังพูดรัวเร็วด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน คงนึกในใจว่า ปรึกษา หารือกันมาตั้งนานแล้วทำไมได้แค่นี้ : .เตรียมตัว..เตรียมสิ่งใดพะย่ะค่ะ สิ่งที่ทรงต้องการคือการเอาชนะ ไม่ใช่เตรียมตัวชนะ
ทัมด๊ก : ข้าจะทำตามวิธีของข้า ข้าจะไม่ต่อสู้กับสิ่งที่ข้าไม่ชนะ
ฮีกแก งง !!! และอึ้ง

ขุนพลโก เปิดประตูเข้ามากราบทูลว่า ทหารม้าเหล็กและหัวหน้า ขอเข้าเฝ้า จึงเสด็จไปที่ท้องพระโรง ทรุดองค์นั่งที่บันไดที่ทอดสู่ราชบัลลังก์

จอกฮวาน กราบทูลความถึงภาคภูมิใจของการได้เข้าสู่สนามรบเคียงบ่าเคียงไหล่กษัตริย์ได้ถือเครื่องหมายนกสามขาทอง และขณะนี้เฝ้ารอให้กษัตริย์เรียกระดมพล หากกษัตริย์ตั้งพระทัยที่ไม่ไปสนามรบ ก็ขออนุญาตให้กองทหารม้าเหล็ก ได้ติดตาม ยอนโฮแก ด้วยเถิด การไม่ได้อยู่แถวหน้า ต่อสู้กับศัตรู เป็นความอับอายของกองทหารม้าเหล็ก
ทัมด๊ก เสด็จลุกขึ้น พระหัตถ์จับสองไหล่ของจอกฮวาน แล้ว มีดำรัสว่า ข้าอนุญาตให้ท่านส่งทหารม้าเหล็กออกไปได้ แต่..ว่า... ทหารม้าเหล็กต้องอยู่แถวหน้า ส่งข่าวไปให้โฮแก สงครามจะเริ่มโดยไม่มีทหารม้าเหล็กไม่ได้
ทุกคนคำนับ ทัมด๊ก : รับด้วยเกล้า พวกเราจะไม่ลืมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ต้องการถ่วงเวลาให้ได้มากกว่า 10 วัน : ให้ถ่วงเวลาการส่งกองทหารม้าเหล็กออกไป ขุนพลโก รับสนองพระบัญชา เมื่อ ยอนโฮแก ได้รับสาสน์ ว่าทรงห้ามกระทำการใด โดยไม่มีกองทหารม้าเหล็ก ซึ่งต้องอยู่เป็นแนวหน้าของกองทัพ
บรรดาแม่ทัพรอง : ข้าไม่เข้าใจ ศัตรูเตรียมตัวรับการโจมตีจากเราแล้ว พวกเขาส่งกำลังเสริมกันแล้วด้วยซ้ำ
: เราควรจะรีบโจมตี ก่อนกำลังเสริมของศัตรูจะมาถึง แต่ทรงให้เรารอ
: มันจะมากไปแล้ว
: เราจะต้องฟังคำสั่งของคนที่ไม่เคยไปรบเลยหรือ ชีวิตทหารของเราเป็นเดิมพัน
คนส่งสาสน์ บอก ยอนโฮแกว่า เสนาบดียอนมีสารส่วนตัว คือ ฟินิกซ์จะเดินทางมากับทหารม้าเหล็ก นางจะเป็นผู้พิทักษ์ให้ทหารทั้งหลาย ยอนโฮแก ดีใจ

ส่วนที่ตลาด ในปราสาทโกกแน มีนักแสดง ตั้งเวที ร้องชื่นชม ยอนโฮแก และกระแทกแดกดันทัมด๊ก ว่าขี้ขลาดในการทำสงคราม กษัตริย์ไม่ทำสิ่งใด ได้แต่รอ รอว่า จะไม่มีธนูเหลือมาเจาะเกราะเหล็กของข้า รอจนกว่าจะมีเกราะเหล็ก ที่ไม่มีดาบเล่มไหนแทงเข้าไปได้ จนกว่าจะมีเสื้อเกราะเหล็ก และไม่มีลูกธนู ข้าจะไม่ไปรบ คนดู ก็ส่งเสียงชอบอกชอบใจ ฮยอนยอง แค้นใจ
ดัลบี และจอกฮวาน เป็นตัวอย่าง ของคำว่า บุญญาภินิหาร (บุญที่สำเร็จได้ตามความปรารถนา) ของทัมด๊ก ประสงค์สิ่งใดสวรรค์ก็จัดสรรให้ เช่น ขาดคนดูแลเสบียงอาหาร และความต้องการถ่วงเวลาเดินทัพของยอนโฮแก (ด้วยความหวังดีต่อโฮแกไม่ได้ประสงค์ร้าย ไม่งั้น ฮีกแก จะควันพุ่งออกที่หัวอยู่แล้ว)

Copyright @ Amornbyj & SUE