Thursday, June 12, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์(ตอนอวสานปิดม่าน Happy ending)

...ตอนอวสานปิดม่าน Happy ending...

ต่อจาก แทจังโร จอมขมังเวทย์ของฮวาเซิน สูญสลาย ตายไปจากโลกนี้แล้ว

ทัมด๊ก ทรงหันมาทอดพระเนตร โซคีฮา ทรงดำรัสเรียก : คีฮา..
โซคีฮา หลับตาลง โซคีฮา ไม่ได้รับรู้ ในพระดำรัสเรียกนั้น

ทัมด๊ก ดำรัสซ้ำ : โปรดหยุดเถิดคีฮา … ถ้าเจ้าไม่หยุด...ข้าจำเป็นต้องทำ.....

โซคีฮา ยังคงไม่รับรู้ เปลวเพลิงพวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวโซคีฮา
ทัมด๊ก ทรงยกด้ามพระแสงดาบกษัตริย์จูมง ขึ้นอีกครั้ง ด้วยพระพักตร์ ที่เศร้าพระทัย
โซคีฮายังคงไร้สติ เช่นเดิม ปรากฏคันธนูวิเศษ อีกครั้งในพระหัตถ์ของ ทัมด๊ก พร้อมกับสายธนู เล็งไปที่ โซคีฮา ยังไม่มีลูกธนู ปรากฏ ทัมด๊ก ตัดพระทัยไม่ลง ที่จะใช้ธนูวิเศษแก้ปัญหา เฉพาะ หน้า เหมือนเมื่อ 2 พันปี ที่แล้ว ที่เทพ ฮวานอุง เคย ใช้กับแชโอ ครู่หนึ่งทรงลดคันธนูวิเศษลงและ กลายเป็นด้ามพระแสงดาบดุจเดิม

ซูจีนี อุ้มอาจิ๊ก มาที่ เบื้องพระปฤษฎางค์ ของทัมด๊ก กราบทูล ว่า : ได้โปรดหยุดนางเถิดเพคะ ก่อนที่ ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ( โซคีฮา ยังไม่กลายเป็น ฟินิกซ์ และบิน โฉบไปที่โน่น ที่นี่ เหมือน เมื่อ 2พันปีที่แล้ว ที่แชโอ เคยเป็น)
ทัมด๊ก ทรงหันพระพักตร์ มาที่ซูจีนี

ทัมด๊ก : เช่นนั้นหรือ ? แม้นเมื่อเวลาผันผ่านไปกว่าสองพันปี ข้าได้พบเทพทั้งสี่ ข้าได้รับการยอมรับใน
ฐานะกษัตริย์จูชิน ผู้คนมากมายต้องสังเวยไปกับการณ์นี้ นี่หรือคือสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ ? ทำได้เพียงแค่เข่นฆ่าสตรีผู้ให้กำเนิดบุตรชายแห่งข้าเท่านั้นหรือ ?
ซูจีนี : โลกนี้จะถูกเพลิงกาฬ เผาผลาญ ได้โปรดหยุดนาง.. ก่อนที่นางจะก่อบาปไปมากกว่านี้นะ
เพคะ.. ได้โปรดเถิดเพคะ
ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ให้ ซูจีนี แล้วทรงหันกลับไปทาง โซคีฮา
ทัมด๊ก : บาป.. ข้าเองก็เป็นผู้ก่อบาปนี้ด้วยเช่นกัน บาปของข้าคือการไม่เชื่อมั่นในตัวเจ้า ข้าจะ บอกกับสวรรค์ว่า.. ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน แล้วทรงมีพระดำรัส ต่อว่า : นี่คือธรรมชาติ ของมนุษย์โลก มนุษย์รู้สึกเสียใจเมื่อได้ทำสิ่งผิดพลาด และมนุษย์เรียนรู้จากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อน และ หาทางแก้ไขไม่ให้ความผิดพลาดนั้น เกิดซ้ำอีก บัดนี้ ข้าตระหนักได้แล้วว่าควรทำเช่นไร

ทัมด๊ก ทรงใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้าง หักด้ามพระแสงดาบ ด้ามพระแสงดาบหักออกจากกันอย่างง่ายดาย
แล้วทรงโยนทิ้งไป
ทัมด๊ก ทรง หันไปทางโซคีฮา : โซคีฮา.. เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ? สวรรค์กำลังถามเรา.. เรา จะดำรง อยู่ได้ด้วยตนเองหรือไม่ ? หรือเราปรารถนาให้สวรรค์ลิขิตความเป็นไปของเรา

ด้ามพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์ลุกไหม้แล้วจางสลายหายไป

โซคีฮา ลืมตาขึ้นมอง ทัมด๊ก

ทัมด๊ก : หาใช่สวรรค์ไม่ ที่จะเป็นผู้เลือก.. มนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้เลือกเอง

สัญลักษณ์แห่งเสือขาวสลายหายไป
ทัมด๊ก ทรงรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง พระองค์ทรงพระดำเนินโซเซ ไปมา

ณ ทางเข้าอาบูลันซา
จูมูชิ ระอักโลหิตไหลโทรมปากแล้วเกือบล้มลง
ชอโร เหลียวกลับมาเห็น จูมิชิ ทรงกายเกือบไม่อยู่จวนจะล้มลง จึงเข้ามาประคอง จูมูชิ ได้ทันก่อนที่ จะล้มลงได้อย่างหวุดหวิด

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน
ทัมด๊ก ทรงมีพระดำรัส: ภารกิจแห่งกษัตริย์จูชินคือการหาคำตอบนี้ให้สวรรค์.. นี่.. คือภารกิจของ กษัตริย์จูชิน ต่อสวรรค์

สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรน้ำเงิน สลาย และมลายหายไป เป็นชิ้นที่สอง

ทัมด๊ก แทบทรงพระวรกาย อยู่ไม่ไหวแล้ว ซูจีนี มองไปที่ ทัมด๊ก แล้วมองที่สัญลักษณ์ ที่เหลืออยู่ ซูจินี รู้ได้แล้วว่าเมื่อสัญลักษณ์สลายลง ทัมด๊ก จะทรงได้รับความบอบช้ำภายในเพียงไร

มีพระโลหิต ของ ทัมด๊ก ไหลจากช่องพระกรรณ

ณ ทางเข้า อาบูลันซา

ชอโร ชะงักกาย ความเจ็บปวดทบทวีขึ้น สาวกฮวาเชิน เข้า มาจู่โจม แล้ว ชอโร ก็ได้รับบาดเจ็บที่แขน ทวนนั้นหลุดร่วงหล่นไป

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน

ซูจีนี ร้องไห้ อย่างสิ้นหวังที่จะหาทางช่วย ทัมด๊ก โซคีฮา และคนอื่นๆ ซูจินี เดินไป หยุด ที่ ที่โซคีฮา ลอยตัวอยู่ อ้อนวอน โซคีฮา ด้วยน้ำตานองใบหน้า
ซูจีนี : ท่านพี่.. โปรดหยุดเถิด ไม่เช่นนั้นแล้ว.. หากสัญลักษณ์ทั้งหมดสลายไป ฝ่าบาทจะต้องถึงสิ้นพระ ชนม์แน่นอน…. พี่....โปรดหยุดเถิด..

มีพระโลหิตของทัมด๊กไหลจากช่องพระโอษฐ์

ทัมด๊ก ดำรัส อย่างยากลำบากว่า : นี่คือคำตอบจากข้า.. ข้าจะคืนพลังแห่งสรวงสวรรค์กลับไปยัง เบื้องบน พร้อมทั้งพลังแห่งฟินิกซ์นั้นด้วย ทรงหันไปทางโซคีฮา : เช่นนั้นแล้ว.. เจ้าจะปลอดภัย.. ข้าได้ตอบคำถามให้สวรรค์แล้ว

สัญลักษณ์แห่งเต่างู ดำ ระเบิดออก ทัมด๊ก ทรุดพระองค์ลง คุกพระชานุ อยู่ที่พื้น

ฮยอนโก ที่กำลังอยู่แนวหน้าในสนามรบล้มลงหมดสติ

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน

โซคีฮา รับรู้ กับสิ่งที่เกิดกับ ทัมด๊ก รวมทั้งถ้อยรับสั่งทั้งหมด สายตามองไปยัง ซูจีนี อย่างสิ้นหวัง มีเพียง ซูจีนี เท่านั้นที่ได้ยินเสียงของ โซคีฮา

โซคีฮา : ซูจินี น้องพี่.. โปรดดับไฟนี้ด้วยเถิด.. นี่คือสิ่งที่พี่ปรารถนา.. โปรดช่วยพี่ด้วย..

สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟินิกซ์เริ่มส่องประกายคล้ายกับได้ตื่นขึ้นใหม่แล้ว และลอยตัวขึ้นไปสู่มือของซูจีนี
กระแสลมร้อนพวยพุ่งจากสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับซูจินี ซูจินี รู้แล้ว ว่าต้องทำอย่างไร ซูจีนี จึงถือสัญลักษณ์ ฟินิกซ์นั้นไว้ในมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งวางประทับตรงดวงใจ ดังเช่นที่ เทพฮวานอุงได้ เคยสอนให้แชโอในปางก่อน เมื่อ 2 พันปี ที่แล้ว
แล้วก็ปรากฏมีลำแสงเปล่งประกายจากร่าง ซูจีนี
เปลวเพลิงที่โหมไหม้ อยู่ในบริเวณนั้นเริ่มสลายคลายความร้อนแรงลง
แล้วก็มีลำแสงอย่างหนึ่งเปล่งประกายห่อหุ้มล้อมพระวรกายของ ทัมด๊ก ไว้
ทัมด๊ก ที่ใกล้จะถึงกาล เสด็จสู่สวรรคาลัย ก็กลับฟื้นคืนพระชนม์ได้อีกครั้ง

โซคีฮา เหลียวมองลูกน้อย อาจิ๊ก ซึ่งยังหลับใหลสลบอยู่บนตักของท่านน้า ซูจีนี
ทัมด๊ก ส่งสายพระเนตร ให้ โซคีฮา ที่ส่งยิ้มให้ ( อย่างผู้ที่หมดห่วงใยและไม่มีสิ่งใด เคลือบแคลงค้างคา
ในหัวใจดวงนี้อีกแล้ว ถึงเวลา ที่โซคีฮา ขอทูลลา พระองค์ ผู้สถิต แนบแน่นหนึ่งเดียวในใจ ไม่ว่า เป็น
กาลเวลา เมื่อ 2 พันปีที่แล้วมา หรือ ในชาติ นี้ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทั้งคาจิน และโซคีฮา หม่อมฉันต้องไปแล้ว.......)
ทันใดนั้น เปลวเพลิงได้ระเบิด อีกครั้งรอบกายของโซคีฮา
แล้วร่างของ โซคีฮา ก็มลายหายสูญไป เหมือนสัญลักษณ์ อื่นๆ
(ขณะที่ร่างของโซคีฮา หายไป ก็ตัดเป็นภาพย้อนแสงที่พระวรกายของ ทัมด๊ก ที่ประทับยืนอยู่)

แสง ที่แท่งหิน ส่งประกายมาต้องร่างของ อาจิ๊ก

อาจิ๊ก ลืมตาขึ้นมอง ทัมด๊ก

ซูจีนี เหลียวมอง ทัมด๊ก ในมือของ ซูจินี นั้น มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ฟินิกซ์ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ดังเดิมทุก
ประการ

( เสียงบรรยายเป็นเสียงของฮยอนโกเช่นเดียวกับตอนที่เล่าเรื่องเทพฮวานอุงให้ซูจีนีฟังสมัยเด็ก)

ปฐมกษัตริย์จูมง ได้ทรงสถาปนาทรงอาณาจักโคคุเรียว
พระบิดาคือโอรสแห่งสวรรค์และพระมารดาคือธิดาแห่งสายน้ำ

ณ ทางเข้า ของอาบูลันซา

ชอโร จูมูชิ และทุกคนในที่นั้น คือ ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการต่อสู้ ต่างเพ่งมองไปยังลำแสงสว่างจ้านั้น ความมืดครึ้มนั้นลางเลือนไป ท้องฟ้าสดใสและดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างกระจ่างแจ้ง ในยามทิวาวาร อย่างที่เป็นเคยเป็นมาดุจเดิม

ณ สนามรบ
ฮยอนโก ก็จดจ้องมองแสงสว่างนั้นเช่นกัน รวมไปถึงเหล่าศิษย์แห่งโคมิลทุกคนด้วย

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

ปฐมกษัตริย์จูมง ได้ทรงสถาปนาทรงอาณาจักโคคุเรียว
พระบิดาคือโอรสแห่งสวรรค์และพระมารดาคือธิดาแห่งสายน้ำ

ที่ปราสาท โกกแน
เป็นภาพพระราชวัง ตำหนักต่างๆ ในปราสาทโกกแน

ภายในตลาดของปราสาท โกกแน

ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ ชอโรเดินมุ่งหน้าตรงมา เขายิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงกายหลบไปข้างหนึ่ง
จูมูชิ กระโดดมายืนแทนที่ ที่ ชอโร ยืนอยู่เมื่อครู่
จูมูชิ จู่โจม ชอโร อีกครั้ง แต่ ชอโร ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจที่จะโต้ตอบ
ชอโร เหวี่ยง ตระกร้า ไปยัง จูมูชิ แต่ เมื่อ จูมูชิ หลียว มองหา เจ้าของตะกร้านี้ ชอโร ก็หายไป จากที่ตรงนั้นเสียแล้ว

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งอาณาจักรโคคุเรียวนั้น ได้รับขนานพระนามกันว่า ควางแกโทมหาราช อันหมายถึง
“มหาราชผู้ขยายราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ มหาราชผู้นำพาสันติภาพมาให้ และมหาราชผู้เป็นที่รักใคร่แห่ง
ปวงชน”

มุมหนึ่งในค่ายทหาร

พล ธนู ของโคคุเรียวทั้งหลายต่างมาชุมนุมกัน มีทั้ง เสียงอุทานและเสียงเชียร์ดั่งลั่นไปหมด
ตรงกลางวงนั้น ทหารสองนายกำลังประลองกันว่าผู้ใดคือเซียนสุราที่แท้จริง
พวกเขาดื่มสุรากันด้วยชามใบใหญ่ รอบๆ บริเวณนั้นมีชามที่ว่างเปล่าวางเต็มไปหมด

คนที่ดื่มหมดเป็นคนแรกและโชว์ชามเหล้าว่างเปล่าให้เหล่าพลทหารดูคือ ซูจีนี
บางคนยังคงดื่มต่อ บางคนก็ยอมแพ้แต่โดยดี
ซูจีนี ก็ยังเป็นผู้ชนะดังเดิม เหล่าพล ธนู ต่างตะโกนใส่กันอย่างสนุกสนาน
ซูจีนีหายใจเข้าอย่างลำพองใจในผลงานของตัวเอง

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)
ควางแกโทมหาราชนักปกครองผู้ปราดเปรื่อง ทรงปกบ้านครองเมืองได้ดียิ่งกว่าการนำทัพเสียอีก นี่คือสิ่งที่ถูกจารึกไว้บนศิลาศักดิ์สิทธิ์
พระเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
พระราชอำนาจของพระองค์แผ่ไปไกลถึงสี่โพ้นทะเล
ปวงประชาต่างดำรงอยู่ด้วยสันติ
สามารถทำมาหากินอยู่ได้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ราชอาณาจักรนั่นมั่งคั่ง ประชาชนนั้นเปี่ยมสุข พืชผลนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

ณ ลานฝึกซ้อมภายในพระราชวัง

โกยอนน้อย โอรสแห่งกษัตริย์ ทัมด๊ก กำลัง ฝึกฝน เพลงดาบกับใครคนหนึ่งอยู่ (ตัวแสดงอาจใช้ซองโฮที่รับบท ทัมด๊กวัยเด็กก็ได้ แต่ทรงผมให้ต่างออกไป แต่ให้คล้ายกับ ทัมด๊กวัยเด็ก)
( อาจิ๊ก ได้รับนามใหม่ ตามศักดิ์ คือ องค์ชาย โกยอน )
(หมายเหตุ ปฐมกษัตริย์ จูมง ทรง มาจาก สกุล โค หรือ โก คือ โคจูมง ( เป็นเหตุให้อาณาจักรนี้ชื่อ
โคคุเรียว-จาก หนังสือ about korea เล่ม 3 P 9)

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

สิ่งซึ่งผู้เป็นมหาราชทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง คือ สันติอันสงบสุข พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้สันติภาพ
นั้นดำรงคงอยู่นานนับศตวรรษ ซึ่งสันติภาพจักคงอยู่ได้ ย่อมขึ้นอยู่กับผู้คนแห่งยุคสมัยนั้นเป็นผู้ธำรงรักษา นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์

ผู้ที่ประดาบอยู่กับ โกยอนน้อย หาใช่ใครอื่น.. คือ ทัมด๊ก นั่นเอง พระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างภาค
ภูมิพระทัย เบื้องข้างพระวรกายมี ขุนพลโกอูชุงผู้ชรากำลังเฝ้ามอง ชื่นชม อยู่ เมื่อ โกยอนน้อย จู่โจม
ทัมด๊ก อีกครั้ง ทัมด๊ก ทรงคว้าแขนของเขาไว้แล้วสวมกอด โกยอนน้อย ด้วยความรัก (เราสามารถสัมผัสได้ว่าพระองค์ทรงรักพระโอรสมากเพียงไร)

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

ทว่ากวางแกโทมหาราชทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 39 ชันษา
พระโอรสของพระองค์ กษัตริย์ จังซู ทรงปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป
ถูกแล้ว.. สันติภาพบังเกิดแก่ราชอาณาจักรนี้ไปกว่าร้อยปี

ที่หมู่บ้านโคมิล
ณ ห้องสมุดของหมู่บ้านโคมิล
เหล่าศิษย์แห่งโคมิลรีบร้อนซ่อนบันทึกและตำราทั้งหลาย

บทบรรยายตัวอักษรขึ้นว่า

ปี คริสตศักราช 668 อาณาจักรโคคุเรียวล่มสลายลงเมื่อพบศึกกับกองกำลังพันธมิตรร่วมของอาณา
จักรชิลลาและอาณาจักรถัง ของจีน

(เสียงบรรยายเป็นเสียง ฮยอนโก)
สันติสุขในครานั้นดำรงคงอยู่ได้ราว 2 ศตวรรษ

ณ หมู่บ้านโคมิล

เหล่าศิษย์แห่งโคมิลกำลังหอบบันทึกต่างๆ หนีไป ทว่ากองทหารข้าศึกขวางทางไว้
พวกเขาถูกฆ่าตาย บันทึกทั้งหลายถูกข้าศึกเผาทำลายจนหมดสิ้น

บทบรรยายตัวอักษรขึ้นว่า
บันทึกพงศาวดารอาณาจักรโคคุเรียวได้ถูกเผาทำลายโดยกองทัพของอาณาจักรถัง

จนกระทั่ง
ศตวรรษที่ 21
ณ สนามบินอินชอน
ท่ามกลางผู้คนและรถราขวักไขว่
ฮยอนโกและซูจีนีน้อยต่างหิ้วกระเป๋า
ซูจีนี : อาจารย์หมายความว่า มีเพียงอนุสาวรีย์นี้เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอย่าง
นั้นหรือ ?
ฮยอนโก : ก็ตอนที่พวกถังมันบุกเข้ามา พงศาวดารอาณาจักรโคคุเรียวทั้งหมดก็ถูกเผาทิ้ง ประวัติศาสตร์
นับร้อยๆ ปีก็เลยไม่เหลือหลอ
ซูจีนี : โอ๊ะ ! นั่นไง!
ผู้คนทั้งหลายกำลังฟังเสียงผู้นำเที่ยวสาธยายอยู่
ผู้นำเที่ยว : พวกเราจะไปเยี่ยมชมเมืองจิบันกันในวันที่ 3 ของรายการเที่ยวนี้นะครับ
เมืองจิบันเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 3 ของอาณาจักรโคคุเเรียว
ณ ที่นั้นมีอนุสาวรีย์ของกษัตริย์กวางแกโทมหาราชอยู่ พวกเราจะไปเที่ยวชมอนุสาวรีย์แห่งนี้กันครับ

ซูจีนี : (กระซิบกระซาบกับฮยอนโก) เขาบอกว่า”อนุสาวรีย์ของกษัตริย์กวางแกโทมหาราช” นั่นมันที่
เดียวกับที่อาจารย์เล่าให้หนูฟังใช่ไหมคะ?
ฮยอนโก : ชู่วววววว...!
ผู้นำเที่ยว : พวกคุณห้ามแตะต้องหลักศิลานะครับ แล้วก็ห้ามถ่ายภาพด้วย
ซูจีนี : อ้าว! ทำไมไม่ได้ล่ะ?
ฮยอนโก : โอ๊ะ! เงียบๆ สิ! ชู่ววว..!

ผู้คนต่างเดินผ่านมาผ่านไป
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เทพทั้งสี่ต่างเดินปะปนไปกับผู้คนเหล่านั้นด้วย
และนี่.. อาจจะเป็นบันทึกแห่งมหาราชองค์ใหม่
จบตาม สคริปต์ 1/3 ของคุณ ซงจินา


หมายเหตุ ของ amornbyj
แต่คนเล่าอยาก เล่าแบบนี้ (ที่วงเล็บตั้งแต่บรรทัดนี้ เป็นรายการคุณขอมา จากคุณ Aone_byj ตอบสนองโดย amornbyj ได้เลยค่ะ
แต่การสงครามหลังจาก กลับจากอาบูลันซา ยังไม่จบสิ้น
ขุนพลโก นอกจาก คุมทหารกององครักษ์แล้ว ยัง ควบตำแหน่งเสนาธิการทหาร.ที่ทัมด๊ก แต่งตั้งใหม่
ฮยอนคง ดำรง ตำแหน่ง เจ้ากรมอลักษณ์ รวมถึงยังคงติดตามจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ของทัมด๊ก ด้วยตนเองตลอดมา
ฮยอนโก ได้รับแต่งตั้ง เป็น ท่านที่ปรึกษา คณะเสนาบดี และฝ่ายเสนาธิการทหาร
จูมูชิ และชอโร เป็นขุนพล ด้วยกันทั้งคู่ ควบคุมกรมทหาร คนละกรม (นึกไม่ออกว่ากรมอะไร ใช้ว่า
กรมที่ 1 และกรมที่ 2 ก็แล้วกันนะคะ)
รวมทั้ง ซูจินี ก็ ดำรงตำแหน่ง ขุนพลหญิง คุม กองพลธนู
แม้ ต่อมา จะอภิเษก เป็นราชินี ซูจินี ก็ยังรั้งตำแหน่งนี้ เข้าตำรา หญิงไทย ดาบก็แกว่ง เปลก็ไกว เวลาออกศึก อดีต ผู้พิทักษ์สัญลักษณ์ทั้ง สี่ ก็ เข้าสู่สนามรบ เคียงบ่าเคียงไหล่ ทัมด๊ก ทุกครั้ง

อีกสามปีต่อมา ( มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะทัมด๊ก อยู่ได้ อีกแค่ 11 ปีค่ะ)เมื่อทัมด๊ก และซูจินี คลายความเศร้า เสียใจ กับการจากไปของโซคีฮา ทัมด๊ก โปรดให้ ดัลโก ผู้นำแคว้นคนใหม่ของจุนโน ทำพิธี รับ ซูจินี เป็นน้องบุญธรรม เพื่อสืบสาน ปณิธาน ของแม่ทัพฮีกแก ที่รับสนองพระบัญชาของ กษัตริย์หยาง มอบราชินี จากจุนโน ถวายกษัตริย์ ทัมด๊ก จากฐานะ ท่านน้าขององค์ชาย โกยอน เป็นเสด็จแม่ แทน และมีพระอนุชา ตัวน้อย เป็นเพื่อนเล่นต่างวัยให้องค์ชายโกยอน องค์ชาย โกยอน มีทั้งพระอนุชา และพระขนิษฐา ทั่วปราสาทโกกแน มีแต่ความสดชื่นรื่นเริง บ่อยครั้ง ที่ จูมูชิ และดัลบี พา บุตรแฝด เข้ามา เป็นเพื่อนเล่นกับ บรรดา องค์ชาย องค์หญิง ภายในพระราชวัง
แต่ในส่วน ของ ทัมด๊ก และซูจินี ทั้งสอง ไม่เคยลืมเลือน โซคีฮา เลย ( ผู้ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ มิหนำ
ยัง บาปซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น)…

... ถูกใจคุณ Aone_byj เป็นระดับพอใช้ได้ไปก่อนนะคะ ต้องหมดชาตินี้ก่อนนะคะ ทัมด๊ก ซูจินี
ถึงจะลืม โซคีฮาได้ น่ะค่ะ คุณซงจีนา มาอ่านเจอเข้า คงลมใส่ไปหลายพัก ว่าใครบังอาจมาต่อเติมบทละครของฉัน แต่เอ ก็บอก ข้างบนแล้วนี่นา ว่า Amornbyj เอง และ ก็ แค่ ตามใจ คุณ Aone_Byj คนเดียวนี่น่ะ ท่านผู้อ่านคงไม่งงนะคะ)

ศตวรรษ ที่ 21
ที่สนามบินนานาชาติอินชอน
ผู้คนต่างเดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เทพทั้งสี่ต่างเดินปะปนไปกับผู้คนเหล่านั้นด้วย
นั่นตรงนั้นไง ชอโร ก็เดินหิ้วกระเป๋าอยู่ (น่าจะ กำลังเตรียมตัวไปงาน TWSSG Premium Event ในระหว่าง วันที่ 1-4 มิถุนายน 2551 ที่ ประเทศญี่ปุ่น คงต้องมีผู้ร่วมเดินทางคนอื่นอีก แน่ๆ) ชอโร ที่ตัดผมสั้นลงเหลือแค่ประบ่า หล่อจนสาวๆ ที่สนามบิน และสาวๆที่เปิดจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพ แล้วต้องร้องกรี๊ด แต่ยังไงเสียงสาว ๆ ก็กรี๊ดไม่ดังเท่าบรรดา อาจุมม่า ที่เห็น รูป ท่านยอนซามะ แล้วกรี๊ดไปด้วย น้ำหมากหก น้ำลายกระเด็น เปรอะจอคอมพิวเตอร์ไปหมด
เอ๊ะ แล้วก็ด้านโน้น มีผู้ชายคนหนึ่ง กำลังลงจากรถ Taxi ดูแล้ว ช่างละม้ายคล้าย ยอนโฮแก เสียจริง ๆ เพียงแต่ไม่ได้สวมชุดเกราะ งามสง่า แต่ เป็น ชุด สูท ดู เป็น ทางการ เชียว ยอน โฮแก ในศตวรรษ ที่21 กำลัง จะเดินทางไป รัฐ อิลลิลนอย สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับไปศึกษา ปริญญา โท ต่อหลังจากการ กรำศึกสุดท้าย ที่ทุ่งราบ อาบูลันซา เมื่อ ธันวาคม 2007
เฮ้อ ...ช่างต่างผ่านมา แล้วก็ ผ่านไปเสียจริงๆ
แต่ ไม่รู้ว่า จูมูชิ ไปอยู่ส่วนไหน ของ บริเวณสนามบินนานาชาตินี้ จูมูชิ ใน ศตวรรษ ที่ 21 นี้ ยังคง ตามหาดัลบี ไม่พบมากกว่า บางที่ จูมูชิ ก็ คงอยู่ในพื้นที่ นี้ แต่มัวแต่ ไปก้ม ๆเงย หาดัลบี อยู่ตรง ไหน ก็ไม่รู้
ส่วน ทัมด๊ก และขุนพลโก คงอยู่ในห้องรับรองของสนามบิน เพราะ กำลังจะไปประเทศญี่ปุ่น งานเดียว
กับ ชอโร นั่นแหละ ( ทัมด๊ก ก็คือ ท่าน ยอนซามะ เบ ยองจุน ไง ขุนพลโก ศตวรรษ ที่21 หน้าตาเปลี่ยนไปเยอะ เกือบจำไม่ได้ว่าเป็นขุนพลโก เพราะ หน้าตา กลับละม้าย คล้าย ผู้กำกับละครคนดังจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ คิมจองฮัก (เพราะขุนพลโก ตัวจริง ไม่ได้ไปด้วยน่ะค่ะ)
และนี่.. อาจจะเป็นบันทึกแห่งมหาราชองค์ใหม่ …..ในวงการโลกมายา ไง ท่านผู้อ่าน
Amornbyj ขอรูดม่านปิดฉาก ละคร บนเวที นี้ก่อนนะคะ และขอ ไปปลีกวิเวก 7 วัน ก่อนนะค้า..............

Copyright @ Amornbyj & Kelly

Tuesday, June 10, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนอวสาน Happy ending ต่อ 2 )

...ตอนอวสาน Happy ending ต่อจากครั้งที่แล้ว (2)...

แทจังโรขว้างดาบสั้นเล็งไปที่ อาจิ๊ก โซคีฮาพยายามปกป้องอาจิ๊กไว้ แต่แล้ว ดาบสั้นของ แทจังโรกลับกระเด็นออกไปด้วยพลังบุญญาธิการของอาจิ๊ก เอง

แทจังโร : เห็นไหม ? ข้าไม่อาจฆ่าเด็กนั่นได้ เขามีสายโลหิตแห่งสวรรค์จากบิดา และสายเลือดแห่งพื้นพิภพจากมารดา ดังนั้นเจ้าจะต้องเป็นผู้ลงมือเอง
โซคีฮา : เด็กคนนี้.. คือ..

แทจังโรเดินเข้าไปหา โซคีฮา ทันใดนั้นเอง มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งใส่ แทจังโร แล้วซูจินี ก็ระดมยิงธนูอย่างต่อเนื่องตามมา ลูกเธนูปักเข้าที่คอและหน้าอกของ แทจังโร แต่ว่า แทจังโรยังยืนอยู่ได้ แทจังโรดึงลูกธนูพวกนั้นออกแล้วขว้างทิ้งไป ซูจีนี เล็งธนูและยิงใส่ แทจังโร อีก

ซูจีนี ตะโกนบอกกับโซคีฮา ว่า : อย่าฆ่าเขานะ!

โซคีฮาหันไปมองซูจีนี

ซูจีนี : เด็กคนนั้น.. คือ.. ลูกชายของ พี่เองนะ
โซคีฮาทวนคำ : พี่..
ซูจีนี : ได้โปรด.. อย่าทำร้ายเขา

ที่ด้านนอก อาบูลันซา

ทัมด๊ก ทรง เสด็จ เข้าสู่อาบูลันซา ทว่าเหล่าสาวกฮวาเซินก็ดาหน้าเข้ามาขัดขวางการเสด็จไว้

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน
ลูกธนูของ ซูจีนี ยิงไปที่ แทจังโร อีก แต่คราวนี้ แทจังโร ใช้มือคว้าเอาไว้

แทจังโร : อันชีวิตมนุษย์นั้น.. มิช้านานก็จักผ่านพ้นไป.. ชีวิตมนุษย์ช่างสั้นนัก

แทจังโร ขว้างลูกธนูเข้าใส่ ซูจีนี ด้วยพลังแรง ของ แทจังโร ทำให้ลูกธนูนั้นปักลงบนหัวไหล่ของ ซูจินี และทำให้ ซูจินี หงายหลังล้มฟาดไป
โซคีฮา พยายามจะเข้าไปหาซูจีนี แต่ว่า แทจังโร เข้ามาขวางไว้

แทจังโร : เด็กนั่นจะดีใจสักเพียงใด หากเขาได้รู้ว่าโลหิตของเขานั้นสามารถแลกเปลี่ยนกับอำนาจแห่งสรวงสวรรค์ได้ ได้เวลาแล้ว แล้วทำเสียงเข้ม บีบบังคับโซคีฮา ..คีฮา รีบควักหัวใจของเขาออกมาสิ !!
โซคีฮา น้ำตาร่วงพรู ส่ายหน้าเสียงสั่นเครือ : ท่านกำลังสั่งให้ข้าควักหัวใจลูกชายของตัวเองเช่นนั้นหรือ? ท่านยังมีความเป็นคนอยู่อีกหรือไม่ ?
แทจังโร : ถ้าหากข้าเป็นเขา ข้าจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง.. ที่ได้สละชีวิตของตนเอง..

แทจังโร เริ่มร้อนใจ หมุนตัว ทำท่าครุ่นคิด ทันใดนั้น แทจังโร ก็กลายร่างเป็นกลุ่มควันสีดำเข้าสิงสู่ร่างของโซคีฮา
ซูจีนี ฟื้นคืนสติและมองดูอย่างตกใจ
โซคีฮา พยายามจะหนี แล้วก็หยุดชะงัก ไม่สามารถขยับตัวเองไปไหนได้ เมื่อ โซคีฮา ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาของ โซคีฮา ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ณ ทางเข้าสู่วัดอาบูลันซา

ทัมด๊ก ทรงต่อสู้กับเหล่าสาวกแห่งฮวาเชิน จูมูชิ และ ชอโร ตามมาช่วย ระหว่างที่พวกเขาสู้ต้านทาน ฮวาเซินไว้ ทัมด๊ก ก็ เสด็จเข้าไปเข้าไปด้านในของ อาบูลันซา

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน
โซคีฮา วางร่างน้อยของอาจิ๊กไว้บนแท่นบูชาก่อน หันมาหยิบดาบสั้นขึ้นมา มีเป้าหมาย คือ หัวใจของอาจิ๊ก
ซูจีนี ตะโกนอย่างตกใจ : นั่นท่านจะทำอะไร?
ซูจีนี เข้ามาขัดขวาง โซคีฮา ด้วยดาบสั้นของ ซูจินี เอง โซคีฮา ใช้มือจับดาบสั้นนั้นไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วหักทิ้ง (อย่างที่ แทจังโร เคยทำมาก่อน) ซูจีนี ถูกเหวี่ยงออกไป

จิตใจของ โซคีฮา และ แทจังโร ต่างใช้พลังจิตต่อสู้กันอยู่ ภายในร่างกายของ โซคีฮา ที่เบื้องหน้าร่าง ของอาจิ๊ก
เมื่อพลังของ แทจังโร เข้มแข็งกว่า ร่างของ โซคีฮา ก็จะเข้าหาอาจิ๊ก พยายามจะใช้ดาบสั้น แทงลงที่หัวใจของอาจิ๊ก แล้ว จิตใจ ของความเป็นแม่ ที่รักลูก ปกป้องลูก ของโซคีฮา ก็จะมีพลัง ทำให้ ดาบสั้นนั้น เบนออกห่าง และร่างของโซคีฮา ก็จะถอยออกมา เป็นอยู่เช่นนี้ หลายครั้งหลายครา
ซูจีนี ลุกขึ้นได้แล้ววิ่งไปหา โซคีฮา ดึงร่างโ ซคีฮา ให้ออกห่างจากอาจิ๊ก
โซคีฮา หันกลับมา พลังจิตของ แทจังโร ทำให้ โซคีฮา จัดการกับ ซูจีนี บีบคอ ซูจินี ไว้และใช้ดาบสั้นจะฆ่า ซูจินี
ชั่วขณะนั้น โซคีฮา พลันได้ยินเสียงสั่งเสียของท่านแม่

ท่านแม่ : คีฮา..

โซคีฮาชะงัก
มีเสียงท่านแม่พูดต่อว่า : เด็กคนนี้คือน้องสาวของเจ้า...และเจ้าก็เป็นพี่สาว
ซูจีนี ดิ้นหลุดจากมือของโซคีฮา ซูจินี วิ่งไปหาอาจิ๊ก
โซคีฮา พยายามจะตามจับ ซูจีนี แล้วก็ ได้ยินเสียงท่านแม่อีก
ท่านแม่ : ในฐานะพี่สาว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องปกป้องนาง เจ้า ทำได้ใช่ไหม โซคีฮา ในวัย 5 ขวบ พยักหน้ารับคำท่านแม่
โซคีฮา ชะงักอีกครั้ง

ทัมด๊ก ทรงเข้ามาภาย ใน ของ อาบูลันซา

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน
ซูจีนี เอื้อมมือไปหา อาจิ๊ก แทจังโร ในร่างของ โซคีฮา จับ ซูจีนี ไว้และเหวี่ยง ซูจินี ออกไปด้วยพลังที่มหาศาล
โซคีฮา และ แทจังโร ยังคงต่อสู้กันอย่างรุนแรง ภายในร่างของ โซคีฮา พลังของ แทจังโร พยามยามกดดาบลงที่หัวใจของอาจิ๊ก โซคีฮา พยายามเต็มที่ที่จะเบี่ยงดาบออก

โซคีฮา พยามขอร้อง อ้อนวอนต่อ แทจังโร : อย่า .... ได้โปรด.. อย่าทำเช่นนี้..
แต่ แทจังโร ไม่สนใจ ในเมื่อ สิ่งที่ตนเองเฝ้ารอคอย มาเนิ่นนาน ถึง สองพันปี นั้น บัดนี้ ความสำเร็จกำลังรออยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ในที่สุด ดาบของ แทจังโร ที่ถูก แรงพลังของโซคีฮา เบนออกจากหัวใจของ อาจิ๊ก ก็เปลี่ยนทิศทางกรีดลงบนนิ้วมือของ อาจิ๊ก ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว มีเลือด ค่อยๆซึม เป็นหยด ๆ ออกมา โซคีฮา ตกใจ ตะโกน ว่า ไม่ ...
ที่ปลายดาบ มีเลือดของ อาจิ๊ก ติดอยู่ เลือดจากรอยกรีดของดาบ บนนิ้วของ อาจิ๊ก บีบคั้นจิตใจ ของโซคีฮา จากความตกใจ กลายเป็นความโกรธ ที่รุนแรง โซคีฮา กรีดร้องอีกครั้ง สลัดพลังของ แทจังโร ที่อยู่ในร่าง กระเด็นออกไปไกลที่บันไดขั้นบนของ อาบูลันซา โซคีฮา ร้องไห้ สายตาแดงก่ำ เหมือนจะมีไฟลุกได้ ในดวงตานั้น และเริ่ม แข็งทื่อ เมฆ บนท้องฟ้า เคลื่อนตัวมารวมกันอย่างรวดเร็วจนมืดคลึ้ม ฉับพลันทันใดนั้น ร่างของ โซคีฮา ก็มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัว และร่างลอยขึ้นสู่เบื้องบน เหนือแท่งหินของลานนั้น

ซูจีนี อุทานอย่างปวดร้าว

ซูจีนี : พี่~! ไม่นะ~!

แทจังโร ที่ถูกสลัด กระเด็น ไปกองที่พื้น ยังจุกอยู่เพ่งสายตา มองโซคีฮา อย่างตกใจเช่นกัน

ณ ทางเข้าอาบูลันซา

จูมูชิ และ ชอโร ต่างชะงักจากการสู้รบ เมื่อความมืด โรยตัว ลงรอบด้าน อย่างฉับพลัน เช่นนั้น


ณ เบื้องหน้าแท่งหิน

ซูจีนี ลุกขึ้นได้ โผเข้าไปอุ้ม อาจิ๊ก ออกจากแท่นหินบูชา หลบออกมาด้านข้างของลานตั้งใจมุ่งไปยังประตูออกของ อาบูลันซา โลหิตของอาจิ๊กหยดลงบนแท่นบูชา

ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงก็ระเบิดโหมกระจายออกจากร่างของโซคีฮา ลุกไหม้ไปทั่วบริเวณ ลานหินแห่ง อาบูลันซา
ทัมด๊ก เสด็จเข้ามาถึงพอดี ทรงโอบ ซูจีนี และ อาจิ๊ก ไว้ ใช้พระปฤษฎางค์ ปกป้องเปลวของเพลิงกาฬให้คนทั้งสองได้ทันการ
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรไปยัง โซคีฮา อย่างตกพระทัย
แต่ใน ขณะนั้น โซคีฮา ไม่รับรู้ ในสิ่งใดเสียแล้ว
ทัมด๊ก ทรงผละจาก ซูจีนี และ อาจิ๊ก ทรงหันพระองค์ไปทางด้านที่ แทจังโร ยืนอยู่

ทัมด๊ก ทรงเข้าไปต่อสู้กับ แทจังโร ด้วยพระแสงดาบ ทว่า แทจังโร ก็หลบหลีกมาปัดป้องไว้ได้ด้วยมือเปล่า
พระแสงดาบนั้นหักลงและส่วนที่หักฟันถูก พระอุระของทัมด๊ก

โลหิตของ อาจิ๊ก ค่อยๆ ไหลไปสัมผัสกับสัญลักษณ์เสือขาว
สัญลักษณ์ของเสือขาวค่อย ๆเปล่งแสงออกมา

ณ ทางเข้าอาบูลันซา

จูมูชิ ชะงักการต่อสู้โดยกะทันหัน และไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วขณะ
สาวกฮวาเชินผู้หนึ่งถือโอกาสโจมตี จูมูชิ ด้วยดาบ ทว่าดาบนั้นก็หักลง
จูมูชิเ หลียวไปมองและก็จับ ฮวาเซินผู้นั้นเหวี่ยงออกไปด้วยพลังอันมหาศาล

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน

โลหิตของ อาจิ๊ก ค่อยๆไหลไปสัมผัสถูก สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำเงิน
สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรน้ำเงินจึงเริ่มเปล่งแสง

ขณะที่ชอโร กำลังกวัดแกว่งทวน ต่อสู้ สาวกแห่งฮวาเชิน ที่พากันปลิวกระเด็นไปราวใบไม้ร่วง ชอโร รู้สึก สะดุ้งแปลบ ปลาบในหัวใจ

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน

โลหิตของ อาจิ๊ก ไหล ไปสัมผัสสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเต่างูดำ
สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเต่างูดำ มีปฎิกิริยาเปล่งแสงออกมาเช่นกัน

และแล้วโลหิตนั้นก็ไหลไปที่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ฟินิกซ์

ทัมด๊ก ทรงรับรู้ว่า ด้ามพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ จูมง กำลังมีแสงรัศมีแผ่ออกมา

แล้วโลหิตก็สัมผัสถูกสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ฟินิกซ์
แต่ทว่าสัญลักษณ์ ฟินิกซ์ กลับไม่เปล่งแสง เหมือนสัญลักษณ์ ทั้งสาม

ทัมด๊ก ทรงยกด้ามพระแสงดาบจูมงขึ้นมา กลายเป็น ธนูวิเศษ เปล่งรัศมี จิดจ้าบาดตาบาดใจผู้พบเห็นเหมือนทุกครั้งที่ คันธนูนี้ปรากฏขึ้นมา แทจังโร เหลียวกลับมา
แล้วลูกธนูวิเศษ ก็ปรากฏ ตามมา ทัมด๊ก ทรงง้าง สายธนู แล้ว ลูก ธนู วิเศษ ก็ โลดลิ่ว จากคันธนู พุ่งตรงไปที่แทจังโร

แทจังโร พยายามปัดป้อง ทว่าลูกธนูนั้นแทงทะลุอกของ แทจังโรไป
แทจังโร ก้มมองอกของตนอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
มีควันดำมากมาย พุ่งเป็นสายออกมาจากบาดแผล
ทัมด๊ก ทรง ปล่อย ลูกธนูวิเศษ อีกครั้งไปที่ แทจังโร คราวนี้อานุภาพของลูกธนูทำให้ร่างของ แทจังโร แตกกระจาย กลายเป็นสายควันดำ แล้วก็เปลี่ยน เป็นจุดเล็กๆ สลายหายเข้าไปที่ด้ามพระแสงดาบ กษัตริย์ จูมง ในพระหัตถ์ของทัมด๊ก เหลือเพียงชุดนักพรตที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้น ของ อาบูลันซา

ผู้เฒ่าเผ่าเสือ ที่อยู่เหนือกาลเวลา จนไม่มีผู้ใด รู้ว่า เนิ่นนาน เป็นจำนวนปีเท่าใดแล้ว ผู้ ที่ไม่เคยรู้จักความตาย ผู้ที่มุ่งหวังจะครอบครองสวรรค์ และโลกมนุษย์ ก็ได้กลับคืนสู่ วัฏสงสารของสรรพสิ่งในโลกนี้ คือ การเกิดแก่ เจ็บ และตาย ได้พบสัจธรรมของศาสนาพุทธ ว่า สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ตั้งอยู่ ในพระไตรลักษณ์ ในข้อ อนิจจัง-ความไม่เที่ยงคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นของธรรมดา ทั้งนี้ก็สุดแท้ แต่ ผลของบุญและกรรม ที่สั่งสมไว้ แต่อดีต และชาตินี้ จะส่งผลกับชาติภพต่อไป ให้ เสวยทุกข์และสุขอย่างไร แต่ แทจังโร ผู้นี้ ย่อมต้องไปเสวย ทุกขเวทนา ในปรโลก อย่างไม่รู้จบสิ้น ว่าเมื่อใด แน่นอน (คุณชอย มินซู ผู้รับบทบาท ต้องรีบไปทำบุญ ส่งผลบุญ ให้ แทจังโร แล้วละนะ)

Copyright @ Amornbyj & Kelly

โซคีฮา และซูจินี...

...เมื่อ 2 พันปี มาแล้ว...

คาจิน สืบทอดการเป็นทายาท รับตำแหน่งนักพรตหญิงสูงสุดแห่งไฟ ของเผ่าเสือ มีพลังไฟธรรมชาติ เป็นอำนาจ ต่อมา ถูก เทพฮวานอุง ใช้ลูกแก้วสีแดง มาเก็บกักเอาพลังไฟของคาจินไปใส่ไว้ เทพฮวานอุง ทรงประทานต่อให้ แชโอ ธิดาแห่งเผ่าหมี เพื่อใช้พลังไฟนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อชาวโลกต่อไป และทรงสอนวิธี ใช้ ให้ แชโอมีพระโอรส กับ เทพฮวานอุง ( นี่ก็เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ที่เทพฮวานอุง ทรงรักกับมนุษย์และ ได้ มนุษย์ เป็นมเหสี ในขณะที่ทรงดำรงความเป็นเทพบนสวรรค์ ขอเสริม ว่า ในเรื่องราว ทางวรรณคดี ต่างๆ เทพ ที่จะลงมาอยู่ แบบมีความรัก ในโลกมนุษย์ จะต้อง เสด็จลงมา เป็น ภาค อวตาร เช่น พระนารายณ์ อวตาร ลงเป็นพระราม และพระลักษมี ต้องอวตาร ลงมา เป็น นางสีดา รวมทั้ง มีการ อวตารลงมาของพระอิศวร เป็นบางครั้ง พระอุมา ก็ต้อง อวตารลงมาเหมือนกัน เทพจะไม่มีมเหสีเป็นมนุษย์ธรรมดา แม้แต่ประวัติชนชาติเกาหลีเอง เทพฮวานอุง ต้องแปลงกาย ลงมา เป็นชายหนุ่ม เพื่อแต่งงาน กับอุงนิยอ หมีสาว ที่อยากเป็นมนุษย์ วิงวอนขอพรกับเทพฮวานอุง ได้เข้าไปภาวนาจำศิลในถ้ำ จนกลายเป็นหญิงสาว ต่อ มา อยาก มีลูก ก็ ไปอ้อนวอนที่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขอมีลูกอีก เทพฮวานอุง ทรงลงมาเพื่อประทานพระโอรสให้ และ ทำให้ กำเนิด ทันกุนวันคอม ปฐมกษัตริย์ของเกาหลี ซึ่งเทพฮวานอุงแปลงกายลงมาเป็นชายหนุ่มแล้วก็คืนสู่สวรรค์ ( อ้อ เท่าที่อ่านมา ทันกุน เป็นคำเรียก ตำแหน่ง หรือราชวงศ์ มีการใช้ว่า มีทันกุน ทั้ง สิ้น 47 พระองค์ เห็นบางที่ใช้เรียก ปฐมกษัตริย์พระองค์นี้ว่า กษัตริย์ ทันกุน น่า จะเป็นการเรียกตำแหน่งซ้อน กัน คำว่า ทันกุน ไม่น่าจะเป็น พระนาม ผิดถูกอย่างไร ผู้รู้ ทักท้วงได้นะคะ)

ดังนั้นมันก็เลยต้องเกิด เป็น โศกนาฎกรรม อำลา ของ เทพฮวานอุง และ แซโอ

แชโอ ไม่ได้ มีโอกาส แม้แต่จะให้น้ำนมกับพระโอรส
แต่อย่างไรก็ตาม แชโอ ถือเป็น มารดาแห่งบรรพชน เพราะพระโอรส คือ ทันกุนวันคอม (เหมือนอุง-นิยอ)

ละครไม่สื่อ ว่า แชโอ รู้สึกอย่าง ในขณะใกล้ตาย คงเศร้าสร้อยแต่ไม่ได้โกรธเทพฮวานอุง ยอมรับชะตากรรมเสียมากกว่า

ส่วนคาจิน ได้ ตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ในชาตินี้ นางไม่ได้ ฮวานอุง นางขอติดตามไปชาติหน้าในขณะที่ตัดสินใจ ไปโจมตีหมู่บ้านของแชโอ และชิงโอรสมา หวังในใจว่าจะขโมยของรักของเทพฮวานอุง เพื่อแลกเปลี่ยน พลังไฟคืน แต่เหตุการณ์พลิกผันให้ คาจิน โยนโอรสทิ้งลงเหว ทั้งเคียดแค้น แสลงหู กับประโยคว่า โปรดคืนลูกของเรามา คาจิน ยิ่งแค้นจัด แถม พูดความในใจออกไปว่า เขาควรเป็นลูกของข้า...ก่อนโยนลงเหว ก็พูดว่า เด็กคนนี้ เป็นของข้าเช่นกัน เมื่อแซโอตาย คาจิน ผู้ใจเด็ด และทระนง บอก เทพฮวานอุง ว่า ข้าไม่คิดเป็นพสกนิกรของพระองค์ ข้าเป็นราชินีด้วยตัวข้าเอง แล้วก็ หงายหลังลงหน้าผาตายตามแชโอไป ฮวานอุงกลับคืนสวรรค์
กงกรรมกงเกวียน เวียนมาบรรจบกัน อีก 2 พันปี ต่อมา

ในยุคสมัยนี้ การเป็นกรรมสิทธ์ สิ่งของบางอย่าง ต้องมีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ จะจดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา หากเป็น วิชา ความรู้ ผลิตภัณฑ์จากสติปัญญาของเจ้าของ หากเป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน ก็ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อ 2 พันปี คาจิน เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ พลังไฟ ส่วน แชโอ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ลูกแก้วสีแดง ที่บรรจุพลังไฟ แล้ว ในชาติใหม่ จะขึ้นทะเบียนความเป็นเจ้าของกันอย่างไรดี ที่จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ร่วมกัน ไม่มีทางอื่น นอกจากต้องมาเป็นพี่น้องกัน
แต่ หลักศาสนา พุทธ มีเรื่องกฎแห่งกรรม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
ในชาติภพใหม่ โซคีฮา จึงเป็นผู้ครอบครอง ลูกแก้ว จี้ ฟินิกซ์ เป็นมรดกที่ท่านแม่มอบให้ครอบครอง ส่วน ซูจินี กลับมีพลังไปในตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้วิธีใช้ โซคีฮา ต้องรับชะตากรรม เป็นฟินิกซ์ดำ เป็นคนอุ้มท้อง โอรส ของทัมด๊ก และไม่มีโอกาส เป็นมารดาที่ได้เลี้ยงพระโอรสเอง
ทั้งคาจิน และแชโอ มีกรรมเป็นเครื่องนำชี้ คาจิน ที่มุ่งมั่นด้วยดวงจิตสุดท้ายจิตที่แรงกล้าของคาจิน ทำให้ โซคีฮา ได้รับความรักจาก ทัมด๊ก ในชาตินี้ พร้อมอาถรรพ์ ว่า ผู้เป็นที่รักของฮวานอุง ต้องเป็นฟินิกซ์ดำ และจะถูก ฮวานอุงประหารอีก แต่ ในชาติภพใหม่ ทัมด๊ก เป็นมนุษย์ ที่ต้องการตัดขาดอำนาจสวรรค์ ที่ครอบคลุมบงการโลกมนุษย์ โซคีฮา เลยไม่ถูก ทัมด๊ก ประหารด้วยธนูวิเศษ

อย่างไรก็ตาม โซคีฮา มีพื้นเพของเผ่าเสือ ที่อารมณ์รุนแรง ดุร้าย และฆ่าไม่เลือก มีคำโบราณ ที่กล่าวว่า แม้แต่เสือมันยังไม่กัดลูกตัวเอง จึงไม่แปลก ที่ โซคีฮา ฆ่า ทัมด๊ก ได้ ทั้ง ๆ รักแสนรัก ยกเว้น ก็เพียงลูก นั่นเป็นสัญชาตญาณของเสือ ไม่ว่า โลกจะผันแปรไปอย่างไร นั่นเอง

ขอเล่าชาดก 2 เรื่อง เรื่องแรกว่าจิต ดวงสุดท้าย สำคัญอย่างไร
ในพุทธกาล มีพระมเหสี ของพระเจ้า ประเสนทิโกสน ( ไม่มั่นใจในนามพระมเหสี เลยขอไม่เอ่ยถึง) หลังจาก พระพุทธเจ้า เสด็จมาเมืองโกศล พระสวามีทรงเคารพนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงเป็นพุทธมามก พระนางก็นับถือตาม พระนาง ใจบุญ ทำบุญ ทำกุศล ยิ่งใหญ่มหาศาล ถือว่า พระนางทำบุญมาก อย่างยิ่งไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบ ต่อมาพระนางประชวร และสิ้นพระชนม์ ก่อนสิ้นพระทัย พระนาง หวนระลึกถึง และทรงมีความเศร้าหมองที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของพระนาง พระนางเคยกล่าวดูถูก ดูหมิ่นพระสวามี ว่า พระสวามี โง่ จริงๆ เป็นถึงกษัตริย์ แต่ไม่มีสติปัญญา สู้กับประชาชนธรรมดาก็ไม่ได้( พระเจ้าประเสนทิโกศล ท้าแข่ง กับประชาชน ในการจัดตกแต่ง ข้าวของที่ถวายพระพุทธเจ้า มีประชาชน ทำได้สวยงามกว่าพระองค์ จึงถูกพระมเหสี กล่าววาจาดูหมิ่น) ขณะ จิตดวงสุดท้าย จะดับลับลา ทรงมีแต่กระวนกระวาย เสียพระทัย ไม่ได้ มีจิตปลื้มปิติกับผลบุญที่ทรงทำมาเลย เมื่อสิ้นพระชนม์ ดวงจิต ที่คิดแต่เรื่องไม่ดี ทำให้พระนางตกไปอยู่ ในนรก เมื่อ พระพุทธเจ้ารับนิมนต์เข้ามาในพระราชวัง ต้องคอยดลพระทัย ให้ พระเจ้าประเสนทิโกศล ที่ตั้งพระทัยจะทูลถามถึงพระมเหสี ว่าสิ้นพระชนม์แล้วไปอยู่ที่ใด ลืมทูลถามเรื่องนี้ทุกครั้งที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จนผ่านไปเจ็ดวัน พระมเหสี หมดกรรม จึงได้ขึ้นไปเสวยบุญ เป็นเทพธิดา มีปราสาทสวยงามเสวยสุขในสวรรค์ แล้ว ทรงเลิกดลพระทัย เมื่อ ทรงตอบคำถามที่พระเจ้าประเสนทิโกสนทูลถาม พระพุทธเจ้า ทรงตอบความจริงที่ทำให้พระเจ้าประเสนทิโกสนสบายพระทัย ชาดก นี้เป็นคำสอนว่า แม้จะทำบุญมหากุศลเพียงใด หากตอนดวงจิตจะดับนั้น ถ้าจิตไม่รับรู้ เรื่องคุณงามความดี ไปหลงเศร้าหมองกับเรื่องกรรม จิตดวงนั้น จะไปสู่ อบาย ก่อนทันที เมื่อหลุดพ้นจึงจะได้เสวย ผลบุญ (ดังนั้น ผู้ อ่านทุกท่าน ก่อนตาย ต้องระลึก ถึงแต่ ความดีงามทั้งหลายที่เรา บำเพ็ญเพียร สร้างกุศลไว้นะคะ)

อีกตัวอย่าง เรื่องของการตั้งจิตอธิษฐาน
พระกุมาร ชาลี พระกุมารี กัณหา พระโอรส ธิดา ของพระเวสสันดร เมื่อพระบิดา ทรงประทานให้เป็นทาสของพราหมณ์ ชูชก เป็นการให้ทานที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสองกุมาร กุมารี โดนชูชกดุด่าเฆี่ยนตี ไปตลอดทางในป่า เป็นการขู่ขวัญ กำราบ ไว้ก่อน ทั้งที่ไม่ได้ทรงดื้อดึงแต่อย่างใดเลย ตอนกลางคืน ก็เอาเชือก มัด มือ สองกุมารผูกโยงไว้ที่โคนต้นไม้ ตัวชูชก ปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ เพื่อ ป้องกัน อันตรายจากสัตว์ร้าย พระชาลี ไม่ได้ น้อยพระทัย พระบิดา แต่อย่างใด ก้มหน้า รับกรรม แต่ พระกุมารี กัณหา ทรงน้อยพระทัย ตรัสว่า ไม่ขอเกิด มาเป็นลูก พระเวสสันดร อีกแล้ว เมื่อมาถึงสมัย เจ้าชายสิตธัตถะ จึงมีเพียงพระกุมารชาลี พระองค์เดียว มาเป็นพระโอรส ราหุล ของเจ้าชาย สิตธัตถะ
เพื่อนๆ อ่านแล้ว ก็พึงจำไว้เป็นตัวอย่างนะคะ มันเหมือนเป็นการตั้งสัตย์อธิษฐาน ฉะนั้น หากคิดจะตั้ง ก็ตั้งจิตแต่ในสิ่งดี ๆนะคะ

แชโอ มีชีวิต ในชาติภพใหม่ 2 พันปี ถัดมา เป็น อย่างที่เห็น เหมือน แอบรักเขาข้างเดียว เป็นเกลียวเชือก กว่าจะได้รับพระเมตตา ก็ ท้ายเรื่องแล้วโน่นแน่ะ ก็ เป็นกรรมที่ผูกกันมาจาก 2 พันปีก่อนนั่นเอง

จะว่าไปเรื่อง ตำนานจอมกษัตริย์ เทพสวรรค์ ก็ มีที่มาที่ไป ตามหลักศาสนาพุทธ ที่สามารถอธิบายได้ รวมถึงที่ละคร สื่อ ทัมด๊ก ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระเมตตาต่อพสกนิกร นั่น เป็นเพราะพระองค์จริงก็ถูกบันทึกไว้เช่นนั้น เพราะ ศาสนา พุทธ ได้เข้ามาสู่ โคคุเรียว ในสมัยของกษัตริย์ โซซูริม พระปิตุลา และทรงรับไว้ ในโคคุเรียว จึงไม่แปลกที่เชื้อพระวงศ์ จะพากันรับ ศาสนาพุทธ เข้ามาเป็นศาสนาประจำใจ

ในชาติที่แล้ว แชโอเป็นพระมารดาของทันกุนวันคอม ปฐมกษัตริย์ของคาบสมุทรเกาหลี
2 พันปีต่อมา โซคีฮา ก็ได้เป็นพระมารดา กษัตริย์ องค์ที่ 20 ที่มีพระชนม์ยืนยาว เป็นกษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้พระบิดา กษัตริย์ จังซู โอรส กษัตริย์ กวางแกโท มหาราช

ขอเชิญเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน กันได้นะคะ ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ว่ากันค่ะ

หวังว่า คงไม่ทำให้สับสน ระหว่าง เรื่องของละคร และเรื่องตามประวัติศาสตร์นะคะ

Amornbyj : Writer

ความคิดเห็นกับตอนจบของละคร

แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากละคร

คงไม่อาจหาญ บอกว่า นี่เป็นคำตอบ ที่มีแฟนละครสงสัยกับตอนจบของ the legend หรอกนะคะ คนเขียน ก็เป็นแค่แฟนละคร the legend คนหนึ่ง ที่ไม่รู้ภาษาเกาหลี และไม่แข็งแรงกับภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับอ่อนแอ
แท่งหินที่จารึกข้อความในตอนจบของละคร นั้น มีการกล่าวกันว่า พระเจ้า JangSu พระโอรส องค์โตของ กษัตริย์กวางแกโท มหาราช ทรงโปรดให้มีการจารึก คำสรรเสริญ พระบิดา ในปี ค.ศ . 414 หลังจากที่ขึ้นครองราชย์ในปี 413 อันเป็นปีที่พระบิดาสวรรคต ได้ถูกค้นพบในดินแดนแมนจูเรีย ในปีค.ศ. 1875 ดังนั้นในละคร ที่กล่าวว่ามีคำจารึกด้วยอักษรโบราณ ก็เป็นเรื่องจริงที่แผ่นจารึก

ก็มีผู้อ่าน ผู้ชม วิจารณ์กันว่าตอนจบ คือ ทุกคนตายหมดหรือทั้ง ทัมด๊ก ผู้พิทักษ์ ทั้งหลาย ผู้เล่าขอวิเคราะห์คำตอบดังนี้ ว่า แท่งหินที่เกิดคำจารึกข้อความเหตุการณ์ในรัชสมัยต่างๆ นั้น จนถึง รัชสมัยที่ 23 ที่กษัตริย์ กวางแกโท มหาราช สวรรคตนั้น คือ การเล่าเรื่องย่อที่ละครไม่อาจสื่อออกมาแบบให้ตัวละครโลดแล่นที่หน้าจอให้พวกเราชมได้ เพราะเหตุผลหลายอย่าง จึงต้องสรุป พระราชประวัติของกษัตริย์พระองค์นี้ ด้วยการโยงละครมาสู่ประวัติศาสตร์จริง

บางแห่งว่า ทรงครองราชย์เมื่อพระชนม์ 17 พรรษา และทรงครองราชย์นาน 23 ปี (บางแห่งว่าทรงครองราชย์ ตอนพระชนม์ 16 พรรษา การอ้างปี จะเหลื่อมกัน 1 ปี แต่ในละครจะสื่อว่า ทรงประสูติ ปี ค.ศ. 374 ทรงครองราชย์ ปี ค.ศ 391 ก็ถือตามละครว่าครองราชย์ตอนพระชนม์ 17 พรรษา)

รัชสมัย ยองนัก ที่ 23 อันเป็นปีที่สวรรคต หักลบพระชนมายุ จริง 39 พรรษา ของกษัตริย์กวางแกโท ถือว่าปีที่ขึ้นครองราชย์ นั้นทรงมีพระชนม์ 17 พรรษา และทรงยกทัพไปตีป้อมปราการต่างๆ เมื่อพระชนม์ 19 พรรษา ตรงกับในละครว่า
ปียองนักที่ 3 โจมตี แพคเจ และยึดป้อมควานมี แพคเจ ถอยกลับ เมื่อจะยกกองกำลัง มาต่อสู้
ปียองนักที่ 4 แพคเจโจมตีป้อมซุกุ๊ก
ปียองนักที่ 5 ก็ยังต่อสู้กับแพคเจ จนถึงปี..
ปียองนักที่ 6 กษัตริย์ อาชิน ยอมแพ้ราบคาบ
ส่วนใน วิกิพีเดีย กล่าวว่า
ปี ค.ศ 392 โคคุเรียว ไปตีแพคเจ taking 10 walled cities along the two country และเป็นปีที่ Asin ขึ้นครองราชย์ที่แพคเจ
ปี ค.ศ.393 Asin of Backje subsequently planned a counter-offenive against Gwangaeto,a plan he was forced to abandon when his iavasion force was defateed by Goguryeo
ปี ค.ศ 394 King Asin agsain attacked Goguryeo
ปี ค.ศ 395 ( บางที่ก็ใช้ปี 396 ) Asin lost to Goguryeo again
เอ๊ะนี่คุณซงจีนา เขียนบทละคร ตาม วิกิพีเดีย น่ะซี

ต่อเรื่องกับละครว่า ทัมด๊ก ไปยึด 10 ป้อมปราการของแพคเจ ต้องมีพระชนม์ในราว 19 พรรษา เป็นปีที่โซคีฮา อุ้มท้องและคงคลอดในระหว่างที่ ทัมด๊ก มีพระชนม์ปลาย 19 ต้น 20 พรรษา เมื่อ ทัมด๊ก พระชนม์ 39 พรรษา เสด็จสวรรคต พระโอรสที่ขึ้นครองราชย์ต่อ ในขณะมีพระชนม์ 20 พรรษา ในปี 413-490 (รับรองเขียนไม่ผิด กษัตริย์จังซู ครองราชย์ นาน 77 ปี มีพระชนม์ ยืนนาน 97 พรรษา)
เมื่อ อาจิ๊ก มาพบ ทัมด๊ก เป็นเวลาที่ ซูจินี หายไปนาน 8 ปี ดังนั้น ตอนนั้น ทัมด๊ก มีพระชนม์ไม่เกิน 28 พรรษาเอง ขณะที่เกิดสงครามกับ อาลูลันซา ดังนั้น ทรงครองราชย์ต่อ อีก 11 ปี ทำคุณประโยชน์ ใหญ่หลวงให้ โคคุเรียว ตามที่ แท่งศิลาจารึก บอกกล่าวเล่าเรื่อง แต่ ช่อง สาม ตัดทิ้งเพราะเวลาหมด ต้องถ่ายทอดข่าวในพระราชสำนัก 2 ทุ่ม late เกือบ5 -6 นาที งง ค่ะ ว่า ทำไมเอาละครเขามาฉายแล้ว ไม่สื่อใจความสำคัญ ของกษัตริย์พระองค์ นี้ ว่าจะไม่บ่นแล้วเชียว อดทนมาได้ตั้งนาน แต่ขอ บ่น เรื่องข้อความจารึกนี้ที่ควรสื่อนี้ เพราะเห็น มีการตัดเนื้อเรื่องออกไปเหมือนกัน ทำไมน่าจะเลือกที่สำคัญ เล่าให้คนไทยรู้จักเกียรติประวัติของพระองค์ เฮ้อ.... ปูพื้นมายาวเชียว เข้าประเด็นดีกว่านะคะ

ข้างบนนั้น ประเมินตาม ความน่าจะเป็นที่มีข้อมูลจากเอกสารอื่นให้อ้างอิง

ถ้าอ่านตอนจบของสคริปต์ 1/3 ตัวละคร สำคัญ ที่ตายในบทที่ 24 คือ แทจังโร ฮีกแก ยอนโฮแก ส่วน โซคีฮา มลายหายไปกลางอากาศ ค่ะ

ทีนี้ก็วิเคราะห์ ความน่าจะเป็นจากความรู้สึกส่วนตัวละค่ะ

ในตอน ที่ 23 กล่าวว่าถ้าดาบจูมง ถูกทำลาย กษัตริย์จูชิน และ ผู้พิทักษ์ ก็จะตายด้วย แต่ตามบท ที่ Happy ending ทั้งกษัตริย์จูชิน และผู้พิทักษ์ ก็เกือบตายเหมือนกัน อาการโคม่าแล้ว เมื่อสัญลักษณ์ เสือขาว มังกรน้ำเงินและเต่าดำ อันตรธานหายไป (ค่อยๆ หายไปทีละอย่าง ส่วนของเต่าดำระเบิดเลย) เหลือ ฟินิกซ์อีกอย่างเดียวเท่านั้นแต่ โซคีฮา ขอร้องให้ ซูจินี ช่วยดับไฟให้
ย้อนความว่าในตอนก่อนที่ซูจินี จะหนีไปจากทุกคน ฮยอนโก เล่าว่า ซูจินี บังคับไฟได้และถูกห้ามเล่นกับไฟ มาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่ โซคีฮา ทำได้เพียง การจุดไฟ แต่ดับไฟไม่ได้ และซูจินี นึกย้อนอดีต เมื่อ 2 พันปี ได้ ซูจินี ฉลาดมากมาตั้งแต่เด็ก จึงคิดวิธีที่จะดับไฟ ที่โซคีฮา ทำให้เกิดขึ้น การดับไฟบัลลัยกัลป์ โดย ใช้ ลูกแก้ว หัวใจฟินิกซ์ช่วย ทำให้ ทัมด๊ก และผู้พิทักษ์ ไม่ตาย และสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ฟินิกซ์ ไม่ถูกทำลาย แม้ ดาบจูมง ถูก ทัมด๊ก หักทิ้งไปแล้ว แต่เนื่องจากละครสื่อไม่ได้ เพราะหลายสาเหตุ คุณ ซงจีนา ต้องย่นย่อเรื่อง และเปลี่ยนบทไปเล็กน้อย ในสนามรบ หลังด้ามดาบถูกทำลาย ผู้พิทักษ์รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แต่ไม่ได้สื่อ เลย ว่า ทั้ง 3 ผู้พิทักษ์ หายสูญไปกลางอากาศ สิ่งที่หายวับไปกับตาคนดู มีเพียง สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธ์ ทั้ง 4 อย่าง เท่านั้น และทัมด๊ก เดินหายไปในแสงสว่างของแท่งหิน เท่านั้น
ขอคิดเอาเองว่า ทัมด๊ก ตัดขาดกับสวรรค์ ไม่มีสภาวะ เทพฮวานอุง เป็น ทัมด๊ก มนุษย์ธรรมดา พร้อมกับผู้พิทักษ์ ทั้งสาม ที่ไม่มีสภาวะ เป็น จตุรเทพ (ซูจินี เป็น จตุรเทพ ที่ 4 ) และ ซูจินี ทหารหญิง ข้างพระองค์
ทัมด๊ก จะต้องทำสงคราม อีกยาวนาน ถ้าไม่มีระดับขุนศึกคู่พระทัย จะลุยรบ เข้าไปในฮั่น และ แมนจูเรีย ได้อย่างไร ซึ่งระดับของฝีมือที่ปูพื้นรอไว้ก่อนว่า แม้จูมูชิ และชอโร ไม่ต้องอาศัยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถเคียงข้างเป็นขุนศึกที่เก่งกาจเชี่ยวชาญ หาญกล้า เป็นขุนศึก ซ้าย และขวา ให้ ทัมด๊ก ได้

(ตามตำราพิชัยยุทธ์ ของ หวูจื่อ กล่าวว่า การเคลื่อนทัพนั้น ซ้ายเป็นมังกรเขียว (จีนเรียกมังกรเขียว เกาหลี ใช้ Blue Dragon) ขวาเสือขาว ทัพหน้าคือ หงส์แดง (ไม่ใช่ ทีมลิเวอร์พูลแน่นอน เพราะนั่นน่ะ อยู่ที่ประเทศอังกฤษ) เกาหลี ใช้ ฟินิกซ์ และเต่าดำ คุมหลัง (เกาหลีใช้ ฮยอนมู หรือ อูซา (ญี่ปุ่น) ) บัญชาการรบจากเบื้องบน นำปฏิบัติสู่เบื้องล่าง)

เห็นการจัดทัพของจีนโบราณแล้ว งง ทึ่ง อึ้งกิมกี่ อีกครั้ง ที่ ช่างเหมือน กองทัพนักฟุตบอล ที่ มี กองหน้าบุกทะลวงทำประตู มี ปีกซ้าย ปีกขวา พาลูกบอลเคลื่อนไปดินแดนตรงข้าม ประสานกับ กองกลาง ห้องเครื่องสำคัญ ในการทำเกม มีราชันย์ บัญชาการของทีม มีกองหลังคอยเสริม สอดแทรก ในการทำเกม และ คอยป้องกันการสวนกลับ คิดอีกที ฟุตบอล เกิดที่อังกฤษ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กองทหารในค่าย ใช้การเล่นนี้คลายเครียด (ถ้าไม่ถูกแฟนบอลช่วยแก้ไขให้ด้วยนะคะ) แสดงว่า รูปแบบการจัดกองทัพอย่างนี้ ก็ใช้กันแพร่หลาย แม้แต่ที่ยุโรป ไม่รู้ว่า คิดกันมาเองคือ ต่างคนต่างคิด หรือ กองทัพตะวันตก เลียนแบบไปจาก จีน และเกาหลี คนเขียน ชัก งง งง กับตัวเองแล้ว ว่า แหม in trend พอดี อะไรอย่างนี้ กับฟุตบอล ยูโร 2008 ว้าว !!! ขณะนี้ ฮอลแลนด์ นำอิตาลี อยู่ 3-0 ค่ะ(เพราะคานนาโวโล บาดเจ็บ ลงแข่งไม่ได้หรือเปล่า อิตาลี เลยเป็นแบบนี้) แต่ คนเขียน เชียร์ เยอรมันนะคะ ชนะ โปแลนด์ไปเมื่อวาน 2-0 ฮูเร ฮูเร ดีจังเลย

รวมทั้งมีการกล่าวถึงในที่อื่นว่า พระโอรส จังซู เป็นพระโอรสองค์โต แปลว่า มีพระโอรส เกิน 1 นะซีคะ ทัมด๊ก มนุษย์โลกเต็มขั้น ทรงพาขุนศึกทำศึกอีกยาวนาน รวม แพคเจ ชิลลา โคคุเรียว เป็นหนึ่งเดียว และบุก ไปฮั่น แมนจูเรีย สร้างอาณาจักร จูชิน กว้างใหญ่ไพศาล จนได้รับการขนานพระนามหลังสวรรคต ว่า กวางแกโท
พระโอรส จังซู ทรงสืบสาน พระราชดำริของพระบิดา เป็น The great King ของเกาหลี อีกพระองค์ โคคุเรียวพัฒนา เจริญรุ่งเรือง สงบสุข อีกเป็น ร้อยปี แต่การถวายพระนามมหาราช นั้น ถวายแด่ กวางแกโท

คุณ ซงจีนา เลย ทำให้ สอดคล้องกับละคร ว่า พระองค์ (กษัตริย์จังซู ) เป็นสายเลือดจากสวรรค์ ของ ฮวานอุง ด้วยการสื่อความมีบุญญาธิการหลายครั้ง
จากการที่ กษัตริย์ จัง ซู มีพระชนม์ ยืนยาว 97 พรรษา ทรงอยู่บน พระราชบัลลังก์ 77 ปี ทำให้ เมื่อสิ้นพระชนม์ พระนัดดา องค์โต สืบราชสมบัติต่อ เป็นกษัตริย์ องค์ ที่ 21
ดังนั้น ถ้าหากแม้ละคร จะผูกต่อเรื่อง ว่า พระมารดา ของพระโอรสองค์อื่น อาจจะเป็น ซูจินี คือซูจินี เป็น ราชินี หรือพระสนม ก็คงไม่มีพระชนม์ยืนยาว จะสืบต่อราชสมบัติได้ ขนาดพระโอรสของกษัตริย์ จังซู เอง ยังรอคอยสืบราชสมบัติต่อ ไม่ไหว เสด็จไปเฝ้าเสด็จปู่ คือ พระเจ้ากวางแกโท เสียก่อนกระมัง

ที่สำคัญ คุณซงจีนา คงไม่ตัด หนทาง ที่จะทำให้มีละครเรื่องนี้ ในภาคที่สอง หากเขียนเรื่องให้ ทัมด๊ก สวรรคต และผู้พิทักษ์ ตายหมด ( ทัมด๊ก และผู้พิทักษ์ ถ้าอยู่ ก็อยู่ด้วยกัน หากกลับสวรรค์ ก็ต้องกลับด้วยกัน เลือดสุพรรณโคคุเรียว ทำนองนั้นค่ะ) แต่ การสื่อ มันสื่อชัดๆ ไม่ได้ ว่า อยู่ต่ออย่างไร เพราะถ่ายทำไม่ได้ด้วยเหตุหลายอย่าง ก็เลยให้จบ แบบ เป็นไปได้หลายทาง แล้วแต่คนดูจะตีความ มันดู เท่ห์ ด้วย ที่จบแบบไม่ แจ่มแจ้ง ชัดเจน ให้ อยู่ในดุลยพินิจ และวิจารณญาณ ของผู้ชมเองก็เลยถกเถียงกันมา ตั้งแต่ ธันวาคม 2007 แล้ว ว่า จบแบบนี้แปลว่าอะไร คุณ ซงจีนา ก็เลยเอาการจบแบบสคริปต์ 1/3 มา เผยแพร่
ให้ แฟนละครอ่าน เป็นมัคคุเทศก์นำทาง ไปหาตอนจบกันเอาเอง

ไม่ทราบว่า จะทำให้ คุณ pakung หาย งง ไหม หรือ งง หนัก เข้าไปอีก ว่า นี่ Amornbyj ตอบคำถามผมยังไงกัน นี่ !!!!!!!!! ก็.....บอกแล้ว ว่า แลกเปลี่ยนความคิดกันไงเล่า

อ้อ เคยมีคุณ บี สงสัย ความเป็น ฟินิกซ์ของ โซคีฮา และซูจินี เคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ รู้สึกข้อความจะลบทิ้งไปแล้ว ขอยกมาแลกเปลี่ยนกันอีกทีต่อจากตรงนี้เลย แต่ขอแยกเป็นอีกตอนนะคะ

Monday, June 9, 2008

Who...?


The Actor who have grave injury in the end episode of TWSSG

นักแสดงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในฉากการสู้รบ...
ถึงขั้นที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบทละครในตอนสุดท้าย




He is the actor who stand in BYJ.
When BYJ have to shoot to ride a horse.
In the end episode of TWSSG ...
BYJ don't ride a horse because he have grave injury.

นักแสดงที่เป็นตัวแทน เบยองจุน ในฉากที่ต้องมีการขี่ม้า
เนื่องจากเบยองจุนไม่สามารถขี่ม้าได้เอง...เพราะบาดเจ็บที่หัวเข่า (ขาข้างซ้าย)
โปรดสังเกตขาซ้ายของเบยองจุน...ต้องนั้งเก้าอี้แล้วยืดขาออกมาตลอดเวลา


Roytavan : Writer

Sunday, June 8, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ( ตอนอวสาน Happy Ending )


Song Ji Na : Script Writer
Gualsan : Translated from Korean to English
Kelly : Translated from English to Thai
Amornbyj & Kelly : Thai Story from English Script

...ตอน ที่ 24 สคริปต์ 1/3...

Hi sisters,
The writer Song Jina has shared the script of the episode 24 on her blog. Here is the last 1/3 of the script that is different from the broadcasted drama. As the early 2/3 is identical to the drama that we've already seen, my translation starts from the part after Ajik has been kidnapped.

I wish if the last episode was finished like this, but I think it was physically impossible to do so. There is a news that the producing team will modify CG and give some more touch to the story before it is aired in other countries.

After reading this script, the Korean viewers are pleading to reproduce the last episode.... after the actor and the director recover. They say that they can wait. I don't think it will be possible, though.

The script is much better than the actual drama, but I don't think it is wise of the writer to post it on her blog. The production of the drama was delayed mainly because of her, and now she shows that her writing was not bad. I don't think she could be excused from the blame.


ต้นฉบับตามสคริปต์ 1/3 ของ คุณ ซงจีนา ส่วนที่ปรากฏในละคร จริง ๆ ถือว่า เป็น สคริปต์ ที่ 2/3 แปลจาก ภาษาเกาหลี เป็น ภาษาอังกฤษ โดย คุณ GAULSAN แปล อังกฤษ เป็นไทย และเล่า โดย คุณ KELLY J. SIRIPOONYA. แห่ง TWSSG TEAM
ด้วย ความจำเป็น หลายประการ จึง ต้องมีบทจบ ตามสคริปต์ ที่ 2/3 และยกเลิก สคริปต์ที่ 1/3
Amornbyj ขอสร้างจินตนาการใส่ภาพ ประกอบตามคำเล่าของ คุณ KELLY เพื่อไม่ให้ เรื่อง ห้วนสั้นเกินไป
* Abullansa

Hogae is about to leave for the battle.
Kiha: It's time to end everything. Go and bring him here.
Hogae: I should bring him alive.
Kiha: ... I have something to tell him. After I tell my words and after he listens to my words, take his heart.
Hogae: We take the heart of the King of Jyooshin, release the power of the heaven, and then...
Kiha: It is the power to control rain, winds, and clouds. Now it will belong to the people of the earth. We won't have to rely on the heaven from then on.
Hogae: May I ask you? What are you going to tell him?
Kiha: Well.... what am I going to tell him? Maybe I will realize when I meet him.
Hogae: Are you going to kill him with your hands?
Kiha: I've already stabbed his heart before.
Hogae: You told me last time that you were going to die with him.
Kiha: (smiles) Come back soon. I will wait you here.
Hogae walks a couple of steps, looks back at Kiha as if it is the last moment he sees her, and then walks out.

------ abridged

* Megalith

Kiha puts the symbols on the altar.
As she puts each symbols one by one on the alter, red light start to emit from the megalith and it grows stronger.

------ abridged

* battle field

Damdeok raises his head and looks at Abullansa.
That gaze leeds to the Priest who is standing at the top of the stairs of Abullansa, as if they are looking at each other.
Damdeok on his horse starts to run toward Abullansa, and fights with the enemy that are on his way.
Hogae saw Damdeok, and runs on his horse towards Damdeok.
As Hogae comes forth, Taewang soldiers try to attack him.
However, Hogae is too strong, and only Damdeok comes into his sight.
Damdeok is heading to Abullansa.


* another pIace of the battle field

Cheoro saw damdeok running towards the temple. Cheoro starts to run after Damdeok. Joomoochi also starts to run after Damdeok.
Damdeok looks at one side. Hogae is coming.
Damdeok looks at the other side. Suzini is running near by.
Damdeok shouts to Suzini.
Damdeok: Go ahead. Go and find the child.
Suzini runs ahead.
Damdeok turns his horse toward Hogae.


* Kiha is standing in front of the megalith, touches it. She is waiting.
The megalith is vigorously vibrating and emitting red light.


*Hogae + Damdeok

Damdeok and Hogae are running towards each other.
They start a severe fight.
Hogae hears Kiha's voice, 'Come back soon. I will wait you here.'
Hogae: (shouting) She wants to talk with you. Shall I let you go?
Damdeok barely blocks Hogae's mad sword.


* Abullansa

Suzini is running on her horse towards Abullansa, there are too many soldiers on her way. She keeps shooting arrows, but they are too many.
When Suzini was about to surrounded by the enemy, Heukgae and a dozen of his men appears to help her. The soldier who were attacking Suzini is slayed by Heukgae. Suzini looks back and finds Heukgae.
Suzini also finds an enemy who is about to attack Hekgae. Suzini prepares to shoot arrow.

Heukgae: (while fighting) Dont stand dallying. Go on!!

Suzini, in tears, keeps running. Heukgae is blocking the enemy.
Heukgae is stabbed. He still fights. He is stabbed again.
He grabs a soldier who is trying to run after Suzini.
He tries to keep fighting, but there are too many enemies around him.
Suzini runs towards Abullansa, she is crying.


*Damdeok +Hogae

Damdeok attacks Hogae. Both of them are on the ground now.
Damdeok anxiously looks at Abullansa, which is in the back of Hogae.
DD: Is it you? Did you kidnap my son? (while attacking Hogae)
Hogae steps back in surprise.
DD: Is that what you want? Are you going to stabb the heart of an innocent child, and steal the power of heaven?
Will she be there, too?
Damdeok attacks in anger.
Hogae: (while defending Damdeok's sword) Your son?
Damdeok: Yes, my son. My son who was born from the woman who killed my father.
Hogae giggles, and then attacks Damdeok.
The power was so strong that Damdeok steps back.
Hogae stops fighting and starts to talk.
Hogae: No, she didn't.

Damdeok: Shut up and get out of my way.
Damdeok attacks Hogae. Hogae doesn't move.
Damdeok's sword is deep in Hogae's shoulder.
Damdeok stops in surprise.

Hogae: Your father killed himself, just like my father.
He wanted you to become that fu-cking king.
They didn't ask us what we wanted, and died as they wanted.
Damdeok drops his sword and steps back.
He is so shocked that he cannot speak a word.
Hogae: She couldn't tell you the truth. Auugh!
Hogae pulls Damdeok's sword while screaming.
The sword drops on the ground. Hogae holds his sword with his left hand.
Hogae: You must understand her, that will leave me less regret.
She is such a woman, who has been so loyal to you, and that's why I couldn't win her love.
Hogae shouts to Damdeok, who was standing motionless in shock.
Hogae: Pick up your sword. Let's end this properly.
Damdeok looks at his sword on the ground, but doesn't move.
Hogae attacks with a shout.
Damdeok, as a reflex action, tumbles on the ground, holds his sword, and swings it.
The sword stabs Hogae, who had no will to defend.
Hogae falls on his knees.
Damdeok: (shouting) Why!!
Hogae pulls out the sword.
Damdeok: Why didn't anyone tell me, why!!!
Hogae: (on his knees, even smiling,) Becuase you are the king of Jyooshin.
Hogae is falling on the ground. Damdeok holds him.
Soldiers of Hooyeon is approaching Damdeok to attack, but General Kho and his soldiers come and stop them.
Not aware of the battle going around, Damdeok and Hogae continues to talk.
Damdeok: Coime on,
Hogae: Make her live. You can do it. I couldn't.
Damdeok: Hogae.
Hogae: Go, the king of Jyooshin... and my old.... friend.
Hogae dies.
Geneal Kho and his soldiers are fighting against soldiers of Hooyeon.
General Kho shouts to Damdeok.
Gen K: You must go, your majesty.

* Abullansa

The Priest is running in a hurry.
Priest: Don't let anybody come in here. Don't allow anyone to bother me.
The Hwacheons runs out.

* Other pIace inside Abullansa
Suzini managed to hide in the temple. She is looking for Ajik.

* Megalith

Kiha looks back. The priest brings the child. The child is scared.
Priest: We don't have time. Our last defence line is broken. They are coming.
Kiha: Who is he?
Priest releases the child. The child tries to run away.
The black smoke comes out from the priest's hand, and reaches the child.
The child faints. Kiha holds the fainting child.
As walking towards the altar,
Priest: (as walking towards the altar) Bring him here. We don't have much time.
Kiha: Tell me. Who is this child?
Priest: What are you waiting for?
This is the moment that we have waited for two thousand years.
Bring him here.
Kiha: (shouting) Answere me!
Priest: Be wide awake, the shaman of fire.
Yon Hogae cannot bring the heart of the king. That child has the heavenly blood.
Kiha: Heavenly... blood?
The Priest throws his dagger aiming at the child. Kiha tries to protect the child. That moment, the dagger is reflected by the child's power.

*****************************

เรื่องต่อไปนี้ เล่าต่อจาก การที่อาจิ๊ก ถูก องครักษ์กัมดง พามาที่วัดอาบูลันซา และทัมด๊ก ทรงยกกำลัง ทหาร 4 หมื่นนาย มายังสมรภูมิรบ มีทหารของยาน และ ฮวาเซิน 1 แสน นาย

ที่วัด อาบูลันซา

โซคีฮา เดินมากับ ยอนโฮแก ในชุดเกราะ ดูงามสง่ามีราศี สมเป็น ผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ มีกำลังทหาร 1 แสนนาย ( เพราะ พ่อ ยุนแทยอง ไว้ผมทรงใหม่ ด้วย แต่เป็นทรงเดียว กับในบท 2/3 )กำลังจะออกสู่สนามรบ โซคีฮา ในชุดอลังการ ของนักพรตหญิงสูงสุดแห่งไฟ (ชุดเดียวกับใน 2/3เหมือนกัน)

โซคีฮา : ถึงเวลาที่จะจบเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ท่านจงไปและนำ ชายผู้นั้นมาที่นี่เถิด
ยอนโฮแก : ข้า.. ควรนำ ชายผู้นั้น มาที่นี่ ทั้งที่ยังมีลมหายใจไหม ?
โซคีฮา : ข้ายังมีเรื่องบางอย่างจะบอกเขา หลังจากที่ข้าบอกสิ่งนั้น และ เขาได้รับรู้ข้อความนั้นแล้วข้าก็จะควักหัวใจของชายผู้นั้นออกมา
ยอนโฮแก : เมื่อเราควักหัวใจของกษัตริย์จูชิน และปลดปล่อยพลังแห่งสรวงสวรรค์ออกมาแล้ว หลังจากนั้น...
โซคีฮา : พลังนี้สามารถบัญชาหยาดพิรุณ พลวายุ และเมฆเมฆาได้ตามปรารถนา จากนั้นไป พลังแห่งสรวงสวรรค์จะถูกครอบครองโดยมนุษย์แห่งโลกพิภพ พวกเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสวรรค์อีกต่อไปแล้ว
ยอนโฮแก : ข้าขอถามท่านได้ไหม ว่าท่านมีเรื่องอะไรจะบอกกับชายผู้นั้น
โซคีฮา อึกอัก ไม่อยากบอก ยอนโฮแก : เอ่อ... เรื่องที่ข้าจะบอกกับเขาหรือ ? บางที ข้าอาจรู้เมื่อได้พบเขาแล้ว ( หรือว่า บางที โซคีฮา แค่ อยากพบ ทัมด๊ก ที่ยังมีลมหายใจอยู่ เท่านั้น)
ยอนโฮแก : ท่านจะฆ่า ชายผู้นั้น ด้วยมือ ของท่านเองอย่างนั้นหรือ ?
โซคีฮา : ข้าเคยใช้ดาบแทงที่หัวใจของเขามาก่อนแล้ว
ยอนโฮแก : แต่ครั้งนั้น ท่านบอกข้าว่าท่านจะตายพร้อมกับเขา
โซคีฮา (ยิ้มปลอบใจ และกล่าวตัดบท) : ขอให้ท่าน รีบกลับมา ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่
ยอนโฮแก เดินออกมา แต่เพียงไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมามอง โซคีฮา (ด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์)หรือว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ยอนโฮแก จะได้เห็น โซคีฮา เสียแล้ว
แล้ว ยอนโฮแก ก็ตัดใจ เดินจากไป

ที่ลานของอาบูลันซา หน้า แท่งหิน ที่ตั้งตระหง่าน

ผู้อาวุโส ของฮวาเซิน ถือกล่องใส่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ มาค้อมกายส่งให้ โซคีฮา โซคีฮา เปิด ฝากล่องออก หยิบสัญลักษณ์ แต่ละชิ้น ออกมาวางเรียงกัน ที่ แท่นบูชา แล้วก็ปรากฏ มีแสงแดงจ้าสว่างเรือง ออกมาจาก แท่งหิน นั้น และประกายแสง ยิ่งแดงจัดจ้าขึ้นทุกที

ในสนามรบที่ทุ่งราบ
(มีความรู้สึกว่า เป็นฉาก ที่มี ทหาร ยาน และฮวาเซิน เป็น แสน ตั้งกองทหารรับ กองทหารของโคคุเรียว และ มี วัดอาบูลันซา อยู่ด้านหลังของทุ่งราบอันป็นสมรภูมิรบในครั้งนี้)

กองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน ในระยะห่าง
ทัมด๊กเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรไปยังอาบูลันซา สายพระเนตรจดจ้องไป ที่ แทจังโร ที่ยืน อยุ่ที่บันไดขั้นสุดท้ายของวัดอาบูลันซา ในขณะที่เหล่าฮวาเซินต่างหันมาสบตากัน(ด้วยระยะห่าง และทหารที่ขวางหน้ามีเป็นแสน ประโยคนี้น่าจะสื่อว่า ทัมด๊ก ทรงทอดพระเนตรเลยไกลจากกองทหารของยานและฮวาเซิน และเห็น อาบูลันซา อยู่ลิบๆไม่ได้สนพระทัย ทหารที่ขวางหน้าอยู่ใน ส่วนใน อาบูลันซานั้น มีแทจังโรยืนอยู่บันไดขั้นบนสุด เป็นการตัดภาพ 2 ภาพ มาต่อกัน )
ทัมด๊ก ทรงม้ามุ่งหน้าไปยังอาบูลันซา โดยต้องปะทะกับทหารยาน และฮวาเซินไปตลอดทาง ทัมด๊ก ทรง ฆ่า และฆ่า ทหารยานและฮวาเซินที่ขวางทาง
ยอนโฮแกเห็น ทัมด๊ก มุ่งหน้าไป อาบูลันซา จึงเร่งควบม้าติดตาม ทัมด๊ก ไป ทหารโคคุเรียว เข้ามาขัดขวาง แต่ ยอนโฮแกนั้น ฝีมือเลิศล้ำเชี่ยวชาญชำนาญศึก จึงฆ่า ทหารโดคุเรียวไปมากเช่นกัน และขี่ม้าตามติด ทัมด๊ก ไปอย่างไม่ลดละ


อีกฟากหนึ่งของสนามรบ
ชอโรเห็น ทัมด๊ก ทรงม้ามุ่งหน้าสู่ อาบูลันซา จึงชักม้าออกติดตาม ทัมด๊กไป จูมูชิก็เช่นกัน ( เพื่อมาทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์ กษัตริย์จูชินไง)
ทัมด๊ก ทรงเหลียวพระพักตร์มา ด้านที่ ยอนโฮแกกำลัง ติดตามพระองค์ และใกล้เข้ามา และอีกด้านหนึ่งนั้น ก็ทรงทอดพระเนตรเห็น ซูจินี อยู่ไม่ไกลพระองค์นักเช่นกัน ทรง ร้องเรียก ซูจินี และมีพระบัญชาว่า : เจ้าล่วงหน้าไปก่อน ไปตามหาอาจิ๊ก ไปเร็วเข้า

ซูจีนี รับสนองพระบัญชา เร่งกระตุกบังเหียนม้า ให้ โจนทะยาน เร็วขึ้นอีก มุ่งหน้าสู่อาบูลันซา ทัมด๊ก ทรงชักม้าหันกลับ บ่ายหน้าไปสู่ยอนโฮแก แทน

ในลาน แท่งหิน ที่วัดอาบูลันซา
โซคีฮายืนอยู่เบื้องหน้าแท่งหิน เอื้อมมือไปสัมผัส แท่งหินที่ตั้งตระหง่าน มาเนิ่นนาน เคียงคู่ ฮวาเซิน รอคอยด้วยใจจดจ่อ แท่งหินยิ่งมีการสั่นสะเทือนรุนแรง และเรืองแสงแดงจ้ายิ่งขึ้น

ที่สมรภูมิรบ
ในที่สุด ทัมด๊ก และยอนโฮแก ก็มาประจันหน้า ซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องกล่าวถ้อยคำอารัมภบท ใด ใด ทัมด๊ก ชักพระแสงดาบ ออกมา ยอนโฮแก ก็ชักดาบเช่นกัน ดาบกระทบกัน ครั้งแล้วครั้งเล่า ( เพราะทัมด๊ก ทรงปรารถนา จะบุกเข้าไป วัด อาบูลันซา ให้เร็วที่สุด )
ยอนโฮแก แว่วได้ยินเสียงของโซคีฮาที่บอกประโยคสุดท้ายว่า..... ขอให้ท่านรีบกลับมา ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่....

ยอนโฮแก ตระโกน ทูลว่า: นางมีเรื่องจะบอกกับพระองค์ ข้าควรปล่อยท่านไปหรือไม่ ? แล้วก็ใช้ดาบฟาดฟัน ทัมด๊ก อย่างบ้าคลั่ง ทัมด๊ก รับดาบที่ รุนแรงตามอารมณ์ของยอนโฮแกทรงหลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด

ณ อาบูลันซา

ซูจีนี ควบม้าบุกตะลุยฝ่า ทหารของยานและฮวาเซิน เพื่อ จะเข้าสู่ อาบูลันซา แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ซูจินี ยิงธนู เพื่อเบิกทางเข้าไปแต่ว่าทหารยานและฮวาเซินนั้นมีจำนวนมากมาย และ หนุนเนื่องกันเข้ามา ขัดขวางไม่ขาดสายจน ซูจีนี อยู่ท่ามกลางทหารฝ่ายตรงข้าม ฮึกแกและทหารฝ่ายโคคุเรียว ตามเข้ามาช่วย ซูจินี เข่นฆ่าทหารของข้าศึกที่จู่โจม ซูจีนี อยู่ จนซูจินี สามารถ รุกคืบไปข้างหน้า ได้ แต่เมื่อ ซูจินี เหลียวหันหลังกลับมาดู ฮีกแก ก็พบว่า ฮีกแก เอง กลับอยู่ในวงล้อมของข้าศึกแทน กำลังต่อสู้ อย่างดุเดือด ซูจินี ยกธนูขึ้นเล็งเตรียมปล่อยลูกธนู แต่ ฮีกแก กลับ บอกว่า : เจ้าอย่ามัวเสียเวลาชักช้า รีบไปเร็ว เร็วเข้าซี

ซูจีนี น้ำตากลบดวงตา ฮึกแกยังคงต้านข้าศึกไว้เต็มความสามารถ แม้จะถูกดาบศัตรูจ้วงแทง ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังคงสู้ไม่ถอย ฮึกแกโดนแทงอีกครั้ง เมื่อเข้าขวางข้าศึกที่จะตามซูจีนีไป แต่ ฮีกแกยังคงสู้และสู้ต่อไป ( คุณปู่ แม่ทัพ ของจูมูชิ สู้ แบบ ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ฮีกแก ต้องไว้ชื่อ ให้โลกลือ เผ่าจุนโน )หากแต่เหล่าอริร้ายมากมายนั้นล้อมไว้หมดทุกด้าน ซูจีนียังคงขี่ม้าวิ่ง ฝ่าเข้าไปอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อจะไปให้ถึง อาบูลันซา ทั้งน้ำตา ห่วง ก็ แสนห่วง ฮีกแก ผู้ ที่ ยังไม่เป็นแต่ก็เหมือน พ่อบุญธรรม ของซูจินี เอง แต่ข้างหน้า นั้นเล่า มี อาจิ๊ก หลานชาย ที่ได้ ฟูมฟัก เลี้ยงดู มาด้วยความรักเอ็นดู ถึง 8 ปี ไม่ใช่ลูก ก็เหมือนลูก เช่นกัน

ใน สนามรบ

ทัมด๊ก และ ยอนโฮแก ต่างลงจากหลังม้าต่อสู้กันบนพื้นราบของสมรภูมิ
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรไปยังอาบูลันซาที่ตั้งอยู่ทางเบื้องหลังของ ยอนโฮแกอย่างร้อนพระทัย ทรงปรารถนา จะไปให้ถึง อย่างเร็วที่สุด แต่เพราะยอนโฮแก เข้ามา นัวเนีย ประชิด ติดพระองค์ พัลวันพัลเก ด้วยเพลงดาบที่รุนแรง ทำให้ ยังเข้าไปไม่ถึง อาบูลันซา

ทัมด๊ก ทรงถามยอนโอแก ในระหว่างที่ต่อสู้กันอยู่นั้นว่า : เป็นเจ้าหรือ ? เจ้าใช่ไหมที่ลักพาลูกชายของข้าไป ?

ยอนโฮแกถอยหลังอย่างตกใจ

ทัมด๊ก : นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าต้องการ? เจ้าจะแทงดาบลงบนหัวใจของเด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งเพียงเพื่อขโมยพลังแห่งสรวงสวรรค์เช่นนั้นหรือ ? แล้วนางล่ะ นางอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม ?

ทัมด๊ก ฟันพระแสงดาบเข้าใส่อีกครั้งอย่างกริ้วจัด

ยอนโฮแก ยกดาบขึ้นรับพระแสงดาบดาบของทัมด๊ก ย้อนทูลถามว่า : ลูกชายของพระองค์อย่างนั้นรึ ?
ทัมด๊ก : ใช่! ลูกชายของข้า.. ลูกชายที่เกิดจากหญิงที่ฆ่าเสด็จพ่อของข้า

ยอนโฮแกหัวเราะหยัน แล้วฟันดาบไปที่ ทัมด๊ก ตอบโต้กลับไปอีกครั้ง แรงที่ฟันลงไปครั้งนี้ ทำให้ทัมด๊ก ทรงเซไปด้านหลัง
แล้วยอนโฮแก ก็หยุด การใช้ดาบฟาดฟัน และ ทูล ว่า : ไม่ใช่หรอก นางไม่ได้ทำ
ทัมด๊ก : เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว หลีกทางให้ข้า

ทัมด๊ก ใช้พระแสงดาบฟาดฟัน ยอนโฮแกอีกครั้ง แต่คราวนี้ ยอนโฮแก ไม่ได้หลบหลีก ทำให้พระแสงดาบของ ทัมด๊ก ฟันลงบนไหล่ของยอนโฮแกเต็มแรง
ทัมด๊ก ทรงตกพระทัย
ยอนโฮแก : พระบิดาของพระองค์ ทรง อัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) พระองค์เอง เช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า กษัตริย์พระองค์ก่อนทรงปรารถนาให้ท่านขึ้นเป็นกษัตริย์งี่เง่าที่พวกเขาโง่งมหลงรอคอย กันมาแสนนาน พวกเขาทั้งสองเหมือนกัน ต่างไม่เคยถามว่าเราปรารถนาสิ่งใด แล้วก็พากันตายแบบที่พวกเขาอยากทำกัน

ทัมด๊ก ทรงปล่อยพระหัตถ์จากพระแสงดาบ พระบาทก้าวถอยหลัง ทรงสะเทือนพระทัย ในสิ่งที่ทรงได้ยิน อยู่ในขณะนั้นจนมิอาจดำรัสประโยคใดได้

ยอนโฮแก : นางไม่ได้บอกความจริงแก่พระองค์ ไม่ อ๊ากกกก..!

ยอนโฮแกดึงพระแสงดาบของทัมด๊กออกจากไหล่พร้อมอุทานอย่างเจ็บปวด
พระแสงดาบนั้นตกลงบนพื้นดิน โฮแกประคองถือดาบของตนไว้ด้วยมือซ้าย

ยอนโฮแก : พระองค์ไม่ควรเข้าใจนางผิด.. มันคงทำให้ข้าเสียใจน้อยลง นางเป็นเพียงอิสตรีที่ภักดียิ่งต่อพระองค์
และนั่นเป็นเหตุให้ข้าไม่อาจเอาชนะใจนางได้ จนแม้บัดนี้

ยอนโฮแกตะโกนใส่ทัมด๊กที่ยังคงทรงนิ่งอยู่เพราะสะเทือนพระทัย กับสิ่ง ที่ยอนโฮแก พูดออกมา
ยอนโฮแก : หยิบดาบของพระองค์ขึ้นมา แล้วจบเรื่องนี้เสีย

ทัมด๊ก ทรงทอดพระเนตรพระแสงดาบของพระองค์ที่หล่นอยู่บนพื้น ทว่ามิได้ขยับพระองค์แต่อย่างใด
ยอนโฮแกเข้าจู่โจมพร้อมตวาดเสียงดัง
ทัมด๊ก ทรงกลิ้งพระองค์หลบไปบนพื้นโดยสัญชาติญาณ พลันทรงคว้าพระแสงดาบและเหวี่ยงออกไป
พระแสงดาบดาบนั้นพุ่งเสียบ ยอนโฮแกผู้มิเหลือกำลังใจจะปัดป้อง ยอนโฮแกทรุดตัวลงบนพื้นดิน

ทัมด๊ก ทรงตะโกน : เพราะเหตุใด ! ทำไม

ยอนโฮแกดึงพระแสงดาบออก

ทัมด๊ก : เพราะเหตุใดจึงไม่มีใครบอกข้า! ทำไม !
ยอนโฮแก แม้ทรุดกายคุกเข่าแต่ยังยิ้มทูลว่า : ก็ เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งจูชิน

ยอนโฮแกล้มลงบนพื้น ทัมด๊ก ทรงประคองร่างของยอนโฮแกไว้ ทหารยาน-ฮวาเซินกำลังจะกรูเข้ามาจะรุม ทัมด๊ก แต่ ขุนพลโกและเหล่าทหารฝ่ายโคคุเรียวมาทันเหตุการณ์ และหยุดทหารยาน-ฮวาเซินไว้ได้

โดยมิได้สนใจความเป็นไปในสนามรบรอบด้านเลย ทัมด๊ก และ ยอนโฮแกยังคงพูดจากันต่อ

ทัมด๊ก : เร็วๆ เข้า..
ยอนโฮแก : โปรดทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป พระองค์ทรงทำได้ แต่ข้านั้นไม่อาจ...
ทัมด๊ก ทรงเสียพระทัย ที่มิได้ทรงมีเจตนา จะฆ่า ยอนโฮแก เลยแม้แต่น้อย ได้แต่ตรัสเรียก อย่างเศร้าพระทัย : โฮแก...
ยอนโฮแก : ไปสิ ! กษัตริย์จูชิน.. และ.. เพื่อนเก่าของข้า..
ยอนโฮแกสิ้นใจแล้ว แม่ทัพโกและเหล่าทหารหาญยังคงต่อสู้ต่อต้านทหารฝ่ายยานและฮวาเซินอย่างเต็มกำลัง แม่ทัพโก ตะโกนกราบทูล เตือน ทัมด๊ก ที่ยังทรงเสียพระทัย กับการจากไปของยอนโฮแก : ฝ่าบาทเสด็จพระราชดำเนินเถิดพะย่ะค่ะ

วัด อาบูลันซา

แทจังโรเดินมาอย่างรีบเร่ง หันไปสั่งทหาร ฮวาเซิน
แทจังโร : อย่าให้ผู้ใดเข้ามาได้! อย่าให้ ผู้บุกรุกเข้ามารบกวนข้า!
เหล่าสาวกแห่งฮวาเชินต่างพากันรีบออกไป
อีกด้านหนึ่ง ภายใน อาบูลันซา
ซูจีนี แอบเข้ามาใน อาบูลันซาได้ พยายามตามหาอาจิ๊ก

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน
โซคีฮาเหลียวมาเห็น แทจังโรนำเด็กชายผู้หนึ่ง ที่ชั้นบนสุดของบันได ใช้มือวางกลางกระหม่อมเด็กน้อยกำลังตื่นกลัว ค่อยๆพาเดินลงบันไดมา
แทจังโร : เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว แนวหลังของเรากำลังจะพ่ายแพ้ พวกนั้นกำลังมา
โซคีฮา : เด็กคนนี้เป็นใคร?
เมื่อลงมาถึงลาน ชั้นล่าง แทจังโรก็ ปล่อยตัวอาจิ๊ก อาจิ๊กพยายามจะวิ่งหนี ทว่ากลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากมือของแทจังโรและคว้าเอาตัวอาจิ๊กไว้ได้ อาจิ๊กหมดสติไป
โซคีฮา เข้ามา อุ้มอาจิ๊กไว้ ด้วยสัญชาตญาณ

แทจังโร ที่อยู่ข้างแท่นบูชา : นำเด็กนั่นมานี่ พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว
โซคีฮาอุ้มร่างอาจิ๊กที่ไร้สตินั้นขึ้น เดินไปยังแท่นบูชา
โซคีฮา : บอกข้าสิ! เด็กคนนี้เป็นใคร ?
แทจังโร : เจ้ายังรอหาสิ่งใดอีก ?
โซคีฮา ตะโกน : ตอบข้ามา !
แทจังโร : ตั้งสติให้ดีสิ นักพรตหญิงแห่งไฟ.. ยอนโฮแกไม่อาจนำหัวใจกษัตริย์จูชินมาให้เราได้แล้ว แต่ทว่าเด็กนั่นมีสายโลหิตแห่งสวรรค์
โซคีฮา : สายโลหิต.. แห่งสวรรค์.. เช่นนั้นหรือ ?

แทจังโรขว้างดาบสั้นเล็งไปที่ อาจิ๊ก โซคีฮาพยายามปกป้องอาจิ๊กไว้ แต่แล้ว ดาบสั้นของ แทจังโรกลับกระเด็นออกไปด้วยพลังบุญญาธิการของอาจิ๊ก เอง




Copyright @ Amornbyj & Kelly

TWSSG Episode 24 (V.Happy Ending) From Song Ji Na Script Writer..

31 August 2003

Dear all,
there were many comments on the ending of TWSSG, with many finding it a little puzzling. The writer, who has rewrite the script many times,actually has another ending on mind. But by then, I think the filming has been on going for too long and BYJ too badly injured to do it. Anyway, Gaulsan has very kindly helped to translate the 'what-might-have-been' ending on Quilt.

Thanks Gaulsan!

Hi sisters,
The writer Song Jina has shared the script of the episode 24 on her blog. Here is the last 1/3 of the script that is different from the broadcasted drama. As the early 2/3 is identical to the drama that we've already seen, my translation starts from the part after Ajik has been kidnapped.

I wish if the last episode was finished like this, but I think it was physically impossible to do so. There is a news that the producing team will modify CG and give some more touch to the story before it is aired in other countries.

After reading this script, the Korean viewers are pleading to reproduce the last episode.... after the actor and the director recover. They say that they can wait. I don't think it will be possible, though.

The script is much better than the actual drama, but I don't think it is wise of the writer to post it on her blog. The production of the drama was delayed mainly because of her, and now she shows that her writing was not bad. I don't think she could be excused from the blame.

Thanks for Song Ji Na ,Gaulsan & Suehan

Best Regards,

TWSSG TEAM ( Thailand Website)

From : Oversea BYJ ‘Family
Myoce (Indonesia), Concy (China), Enchanted Tears (Puerto Rico),
Sophie (Korea), sasso (Egypt), xiaoyi (Malaysia),
Lin Chen (Vietnam),beautiful CO (USA),Janet (Singaphore),

From : Thailand BYJ’Family
Aone_BYJ , Amorn BYJ, Roytavan, Snowbyj, Kelly
Winterstory, Tungmay,Group2000x, Kornbyj, BoEun, zerbirus
Jo, lover twssg, pp, maya_hata ,wi-witty,oldfriend ,Cable, NuAnn
kayaa, เมืองหนาว ,ครึ่งใต้ ,vaew ,Natee,WIND ,mam ,
sujitra ,VaRa , Sandybeach , Mc.nana , Poo, pom ,