Thursday, June 12, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์(ตอนอวสานปิดม่าน Happy ending)

...ตอนอวสานปิดม่าน Happy ending...

ต่อจาก แทจังโร จอมขมังเวทย์ของฮวาเซิน สูญสลาย ตายไปจากโลกนี้แล้ว

ทัมด๊ก ทรงหันมาทอดพระเนตร โซคีฮา ทรงดำรัสเรียก : คีฮา..
โซคีฮา หลับตาลง โซคีฮา ไม่ได้รับรู้ ในพระดำรัสเรียกนั้น

ทัมด๊ก ดำรัสซ้ำ : โปรดหยุดเถิดคีฮา … ถ้าเจ้าไม่หยุด...ข้าจำเป็นต้องทำ.....

โซคีฮา ยังคงไม่รับรู้ เปลวเพลิงพวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวโซคีฮา
ทัมด๊ก ทรงยกด้ามพระแสงดาบกษัตริย์จูมง ขึ้นอีกครั้ง ด้วยพระพักตร์ ที่เศร้าพระทัย
โซคีฮายังคงไร้สติ เช่นเดิม ปรากฏคันธนูวิเศษ อีกครั้งในพระหัตถ์ของ ทัมด๊ก พร้อมกับสายธนู เล็งไปที่ โซคีฮา ยังไม่มีลูกธนู ปรากฏ ทัมด๊ก ตัดพระทัยไม่ลง ที่จะใช้ธนูวิเศษแก้ปัญหา เฉพาะ หน้า เหมือนเมื่อ 2 พันปี ที่แล้ว ที่เทพ ฮวานอุง เคย ใช้กับแชโอ ครู่หนึ่งทรงลดคันธนูวิเศษลงและ กลายเป็นด้ามพระแสงดาบดุจเดิม

ซูจีนี อุ้มอาจิ๊ก มาที่ เบื้องพระปฤษฎางค์ ของทัมด๊ก กราบทูล ว่า : ได้โปรดหยุดนางเถิดเพคะ ก่อนที่ ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ( โซคีฮา ยังไม่กลายเป็น ฟินิกซ์ และบิน โฉบไปที่โน่น ที่นี่ เหมือน เมื่อ 2พันปีที่แล้ว ที่แชโอ เคยเป็น)
ทัมด๊ก ทรงหันพระพักตร์ มาที่ซูจีนี

ทัมด๊ก : เช่นนั้นหรือ ? แม้นเมื่อเวลาผันผ่านไปกว่าสองพันปี ข้าได้พบเทพทั้งสี่ ข้าได้รับการยอมรับใน
ฐานะกษัตริย์จูชิน ผู้คนมากมายต้องสังเวยไปกับการณ์นี้ นี่หรือคือสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ ? ทำได้เพียงแค่เข่นฆ่าสตรีผู้ให้กำเนิดบุตรชายแห่งข้าเท่านั้นหรือ ?
ซูจีนี : โลกนี้จะถูกเพลิงกาฬ เผาผลาญ ได้โปรดหยุดนาง.. ก่อนที่นางจะก่อบาปไปมากกว่านี้นะ
เพคะ.. ได้โปรดเถิดเพคะ
ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ให้ ซูจีนี แล้วทรงหันกลับไปทาง โซคีฮา
ทัมด๊ก : บาป.. ข้าเองก็เป็นผู้ก่อบาปนี้ด้วยเช่นกัน บาปของข้าคือการไม่เชื่อมั่นในตัวเจ้า ข้าจะ บอกกับสวรรค์ว่า.. ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน แล้วทรงมีพระดำรัส ต่อว่า : นี่คือธรรมชาติ ของมนุษย์โลก มนุษย์รู้สึกเสียใจเมื่อได้ทำสิ่งผิดพลาด และมนุษย์เรียนรู้จากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้มาก่อน และ หาทางแก้ไขไม่ให้ความผิดพลาดนั้น เกิดซ้ำอีก บัดนี้ ข้าตระหนักได้แล้วว่าควรทำเช่นไร

ทัมด๊ก ทรงใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้าง หักด้ามพระแสงดาบ ด้ามพระแสงดาบหักออกจากกันอย่างง่ายดาย
แล้วทรงโยนทิ้งไป
ทัมด๊ก ทรง หันไปทางโซคีฮา : โซคีฮา.. เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ? สวรรค์กำลังถามเรา.. เรา จะดำรง อยู่ได้ด้วยตนเองหรือไม่ ? หรือเราปรารถนาให้สวรรค์ลิขิตความเป็นไปของเรา

ด้ามพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์ลุกไหม้แล้วจางสลายหายไป

โซคีฮา ลืมตาขึ้นมอง ทัมด๊ก

ทัมด๊ก : หาใช่สวรรค์ไม่ ที่จะเป็นผู้เลือก.. มนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้เลือกเอง

สัญลักษณ์แห่งเสือขาวสลายหายไป
ทัมด๊ก ทรงรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง พระองค์ทรงพระดำเนินโซเซ ไปมา

ณ ทางเข้าอาบูลันซา
จูมูชิ ระอักโลหิตไหลโทรมปากแล้วเกือบล้มลง
ชอโร เหลียวกลับมาเห็น จูมิชิ ทรงกายเกือบไม่อยู่จวนจะล้มลง จึงเข้ามาประคอง จูมูชิ ได้ทันก่อนที่ จะล้มลงได้อย่างหวุดหวิด

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน
ทัมด๊ก ทรงมีพระดำรัส: ภารกิจแห่งกษัตริย์จูชินคือการหาคำตอบนี้ให้สวรรค์.. นี่.. คือภารกิจของ กษัตริย์จูชิน ต่อสวรรค์

สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรน้ำเงิน สลาย และมลายหายไป เป็นชิ้นที่สอง

ทัมด๊ก แทบทรงพระวรกาย อยู่ไม่ไหวแล้ว ซูจีนี มองไปที่ ทัมด๊ก แล้วมองที่สัญลักษณ์ ที่เหลืออยู่ ซูจินี รู้ได้แล้วว่าเมื่อสัญลักษณ์สลายลง ทัมด๊ก จะทรงได้รับความบอบช้ำภายในเพียงไร

มีพระโลหิต ของ ทัมด๊ก ไหลจากช่องพระกรรณ

ณ ทางเข้า อาบูลันซา

ชอโร ชะงักกาย ความเจ็บปวดทบทวีขึ้น สาวกฮวาเชิน เข้า มาจู่โจม แล้ว ชอโร ก็ได้รับบาดเจ็บที่แขน ทวนนั้นหลุดร่วงหล่นไป

ณ เบื้องหน้า แท่งหิน

ซูจีนี ร้องไห้ อย่างสิ้นหวังที่จะหาทางช่วย ทัมด๊ก โซคีฮา และคนอื่นๆ ซูจินี เดินไป หยุด ที่ ที่โซคีฮา ลอยตัวอยู่ อ้อนวอน โซคีฮา ด้วยน้ำตานองใบหน้า
ซูจีนี : ท่านพี่.. โปรดหยุดเถิด ไม่เช่นนั้นแล้ว.. หากสัญลักษณ์ทั้งหมดสลายไป ฝ่าบาทจะต้องถึงสิ้นพระ ชนม์แน่นอน…. พี่....โปรดหยุดเถิด..

มีพระโลหิตของทัมด๊กไหลจากช่องพระโอษฐ์

ทัมด๊ก ดำรัส อย่างยากลำบากว่า : นี่คือคำตอบจากข้า.. ข้าจะคืนพลังแห่งสรวงสวรรค์กลับไปยัง เบื้องบน พร้อมทั้งพลังแห่งฟินิกซ์นั้นด้วย ทรงหันไปทางโซคีฮา : เช่นนั้นแล้ว.. เจ้าจะปลอดภัย.. ข้าได้ตอบคำถามให้สวรรค์แล้ว

สัญลักษณ์แห่งเต่างู ดำ ระเบิดออก ทัมด๊ก ทรุดพระองค์ลง คุกพระชานุ อยู่ที่พื้น

ฮยอนโก ที่กำลังอยู่แนวหน้าในสนามรบล้มลงหมดสติ

ณ เบื้องหน้าแท่งหิน

โซคีฮา รับรู้ กับสิ่งที่เกิดกับ ทัมด๊ก รวมทั้งถ้อยรับสั่งทั้งหมด สายตามองไปยัง ซูจีนี อย่างสิ้นหวัง มีเพียง ซูจีนี เท่านั้นที่ได้ยินเสียงของ โซคีฮา

โซคีฮา : ซูจินี น้องพี่.. โปรดดับไฟนี้ด้วยเถิด.. นี่คือสิ่งที่พี่ปรารถนา.. โปรดช่วยพี่ด้วย..

สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟินิกซ์เริ่มส่องประกายคล้ายกับได้ตื่นขึ้นใหม่แล้ว และลอยตัวขึ้นไปสู่มือของซูจีนี
กระแสลมร้อนพวยพุ่งจากสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ กับซูจินี ซูจินี รู้แล้ว ว่าต้องทำอย่างไร ซูจีนี จึงถือสัญลักษณ์ ฟินิกซ์นั้นไว้ในมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งวางประทับตรงดวงใจ ดังเช่นที่ เทพฮวานอุงได้ เคยสอนให้แชโอในปางก่อน เมื่อ 2 พันปี ที่แล้ว
แล้วก็ปรากฏมีลำแสงเปล่งประกายจากร่าง ซูจีนี
เปลวเพลิงที่โหมไหม้ อยู่ในบริเวณนั้นเริ่มสลายคลายความร้อนแรงลง
แล้วก็มีลำแสงอย่างหนึ่งเปล่งประกายห่อหุ้มล้อมพระวรกายของ ทัมด๊ก ไว้
ทัมด๊ก ที่ใกล้จะถึงกาล เสด็จสู่สวรรคาลัย ก็กลับฟื้นคืนพระชนม์ได้อีกครั้ง

โซคีฮา เหลียวมองลูกน้อย อาจิ๊ก ซึ่งยังหลับใหลสลบอยู่บนตักของท่านน้า ซูจีนี
ทัมด๊ก ส่งสายพระเนตร ให้ โซคีฮา ที่ส่งยิ้มให้ ( อย่างผู้ที่หมดห่วงใยและไม่มีสิ่งใด เคลือบแคลงค้างคา
ในหัวใจดวงนี้อีกแล้ว ถึงเวลา ที่โซคีฮา ขอทูลลา พระองค์ ผู้สถิต แนบแน่นหนึ่งเดียวในใจ ไม่ว่า เป็น
กาลเวลา เมื่อ 2 พันปีที่แล้วมา หรือ ในชาติ นี้ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ทั้งคาจิน และโซคีฮา หม่อมฉันต้องไปแล้ว.......)
ทันใดนั้น เปลวเพลิงได้ระเบิด อีกครั้งรอบกายของโซคีฮา
แล้วร่างของ โซคีฮา ก็มลายหายสูญไป เหมือนสัญลักษณ์ อื่นๆ
(ขณะที่ร่างของโซคีฮา หายไป ก็ตัดเป็นภาพย้อนแสงที่พระวรกายของ ทัมด๊ก ที่ประทับยืนอยู่)

แสง ที่แท่งหิน ส่งประกายมาต้องร่างของ อาจิ๊ก

อาจิ๊ก ลืมตาขึ้นมอง ทัมด๊ก

ซูจีนี เหลียวมอง ทัมด๊ก ในมือของ ซูจินี นั้น มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ฟินิกซ์ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ดังเดิมทุก
ประการ

( เสียงบรรยายเป็นเสียงของฮยอนโกเช่นเดียวกับตอนที่เล่าเรื่องเทพฮวานอุงให้ซูจีนีฟังสมัยเด็ก)

ปฐมกษัตริย์จูมง ได้ทรงสถาปนาทรงอาณาจักโคคุเรียว
พระบิดาคือโอรสแห่งสวรรค์และพระมารดาคือธิดาแห่งสายน้ำ

ณ ทางเข้า ของอาบูลันซา

ชอโร จูมูชิ และทุกคนในที่นั้น คือ ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการต่อสู้ ต่างเพ่งมองไปยังลำแสงสว่างจ้านั้น ความมืดครึ้มนั้นลางเลือนไป ท้องฟ้าสดใสและดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างกระจ่างแจ้ง ในยามทิวาวาร อย่างที่เป็นเคยเป็นมาดุจเดิม

ณ สนามรบ
ฮยอนโก ก็จดจ้องมองแสงสว่างนั้นเช่นกัน รวมไปถึงเหล่าศิษย์แห่งโคมิลทุกคนด้วย

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

ปฐมกษัตริย์จูมง ได้ทรงสถาปนาทรงอาณาจักโคคุเรียว
พระบิดาคือโอรสแห่งสวรรค์และพระมารดาคือธิดาแห่งสายน้ำ

ที่ปราสาท โกกแน
เป็นภาพพระราชวัง ตำหนักต่างๆ ในปราสาทโกกแน

ภายในตลาดของปราสาท โกกแน

ผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ ชอโรเดินมุ่งหน้าตรงมา เขายิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงกายหลบไปข้างหนึ่ง
จูมูชิ กระโดดมายืนแทนที่ ที่ ชอโร ยืนอยู่เมื่อครู่
จูมูชิ จู่โจม ชอโร อีกครั้ง แต่ ชอโร ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจที่จะโต้ตอบ
ชอโร เหวี่ยง ตระกร้า ไปยัง จูมูชิ แต่ เมื่อ จูมูชิ หลียว มองหา เจ้าของตะกร้านี้ ชอโร ก็หายไป จากที่ตรงนั้นเสียแล้ว

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งอาณาจักรโคคุเรียวนั้น ได้รับขนานพระนามกันว่า ควางแกโทมหาราช อันหมายถึง
“มหาราชผู้ขยายราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ มหาราชผู้นำพาสันติภาพมาให้ และมหาราชผู้เป็นที่รักใคร่แห่ง
ปวงชน”

มุมหนึ่งในค่ายทหาร

พล ธนู ของโคคุเรียวทั้งหลายต่างมาชุมนุมกัน มีทั้ง เสียงอุทานและเสียงเชียร์ดั่งลั่นไปหมด
ตรงกลางวงนั้น ทหารสองนายกำลังประลองกันว่าผู้ใดคือเซียนสุราที่แท้จริง
พวกเขาดื่มสุรากันด้วยชามใบใหญ่ รอบๆ บริเวณนั้นมีชามที่ว่างเปล่าวางเต็มไปหมด

คนที่ดื่มหมดเป็นคนแรกและโชว์ชามเหล้าว่างเปล่าให้เหล่าพลทหารดูคือ ซูจีนี
บางคนยังคงดื่มต่อ บางคนก็ยอมแพ้แต่โดยดี
ซูจีนี ก็ยังเป็นผู้ชนะดังเดิม เหล่าพล ธนู ต่างตะโกนใส่กันอย่างสนุกสนาน
ซูจีนีหายใจเข้าอย่างลำพองใจในผลงานของตัวเอง

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)
ควางแกโทมหาราชนักปกครองผู้ปราดเปรื่อง ทรงปกบ้านครองเมืองได้ดียิ่งกว่าการนำทัพเสียอีก นี่คือสิ่งที่ถูกจารึกไว้บนศิลาศักดิ์สิทธิ์
พระเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
พระราชอำนาจของพระองค์แผ่ไปไกลถึงสี่โพ้นทะเล
ปวงประชาต่างดำรงอยู่ด้วยสันติ
สามารถทำมาหากินอยู่ได้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ราชอาณาจักรนั่นมั่งคั่ง ประชาชนนั้นเปี่ยมสุข พืชผลนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

ณ ลานฝึกซ้อมภายในพระราชวัง

โกยอนน้อย โอรสแห่งกษัตริย์ ทัมด๊ก กำลัง ฝึกฝน เพลงดาบกับใครคนหนึ่งอยู่ (ตัวแสดงอาจใช้ซองโฮที่รับบท ทัมด๊กวัยเด็กก็ได้ แต่ทรงผมให้ต่างออกไป แต่ให้คล้ายกับ ทัมด๊กวัยเด็ก)
( อาจิ๊ก ได้รับนามใหม่ ตามศักดิ์ คือ องค์ชาย โกยอน )
(หมายเหตุ ปฐมกษัตริย์ จูมง ทรง มาจาก สกุล โค หรือ โก คือ โคจูมง ( เป็นเหตุให้อาณาจักรนี้ชื่อ
โคคุเรียว-จาก หนังสือ about korea เล่ม 3 P 9)

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

สิ่งซึ่งผู้เป็นมหาราชทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง คือ สันติอันสงบสุข พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้สันติภาพ
นั้นดำรงคงอยู่นานนับศตวรรษ ซึ่งสันติภาพจักคงอยู่ได้ ย่อมขึ้นอยู่กับผู้คนแห่งยุคสมัยนั้นเป็นผู้ธำรงรักษา นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์

ผู้ที่ประดาบอยู่กับ โกยอนน้อย หาใช่ใครอื่น.. คือ ทัมด๊ก นั่นเอง พระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างภาค
ภูมิพระทัย เบื้องข้างพระวรกายมี ขุนพลโกอูชุงผู้ชรากำลังเฝ้ามอง ชื่นชม อยู่ เมื่อ โกยอนน้อย จู่โจม
ทัมด๊ก อีกครั้ง ทัมด๊ก ทรงคว้าแขนของเขาไว้แล้วสวมกอด โกยอนน้อย ด้วยความรัก (เราสามารถสัมผัสได้ว่าพระองค์ทรงรักพระโอรสมากเพียงไร)

(เสียงบรรยายเป็นเสียงฮยอนโก)

ทว่ากวางแกโทมหาราชทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 39 ชันษา
พระโอรสของพระองค์ กษัตริย์ จังซู ทรงปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป
ถูกแล้ว.. สันติภาพบังเกิดแก่ราชอาณาจักรนี้ไปกว่าร้อยปี

ที่หมู่บ้านโคมิล
ณ ห้องสมุดของหมู่บ้านโคมิล
เหล่าศิษย์แห่งโคมิลรีบร้อนซ่อนบันทึกและตำราทั้งหลาย

บทบรรยายตัวอักษรขึ้นว่า

ปี คริสตศักราช 668 อาณาจักรโคคุเรียวล่มสลายลงเมื่อพบศึกกับกองกำลังพันธมิตรร่วมของอาณา
จักรชิลลาและอาณาจักรถัง ของจีน

(เสียงบรรยายเป็นเสียง ฮยอนโก)
สันติสุขในครานั้นดำรงคงอยู่ได้ราว 2 ศตวรรษ

ณ หมู่บ้านโคมิล

เหล่าศิษย์แห่งโคมิลกำลังหอบบันทึกต่างๆ หนีไป ทว่ากองทหารข้าศึกขวางทางไว้
พวกเขาถูกฆ่าตาย บันทึกทั้งหลายถูกข้าศึกเผาทำลายจนหมดสิ้น

บทบรรยายตัวอักษรขึ้นว่า
บันทึกพงศาวดารอาณาจักรโคคุเรียวได้ถูกเผาทำลายโดยกองทัพของอาณาจักรถัง

จนกระทั่ง
ศตวรรษที่ 21
ณ สนามบินอินชอน
ท่ามกลางผู้คนและรถราขวักไขว่
ฮยอนโกและซูจีนีน้อยต่างหิ้วกระเป๋า
ซูจีนี : อาจารย์หมายความว่า มีเพียงอนุสาวรีย์นี้เท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอย่าง
นั้นหรือ ?
ฮยอนโก : ก็ตอนที่พวกถังมันบุกเข้ามา พงศาวดารอาณาจักรโคคุเรียวทั้งหมดก็ถูกเผาทิ้ง ประวัติศาสตร์
นับร้อยๆ ปีก็เลยไม่เหลือหลอ
ซูจีนี : โอ๊ะ ! นั่นไง!
ผู้คนทั้งหลายกำลังฟังเสียงผู้นำเที่ยวสาธยายอยู่
ผู้นำเที่ยว : พวกเราจะไปเยี่ยมชมเมืองจิบันกันในวันที่ 3 ของรายการเที่ยวนี้นะครับ
เมืองจิบันเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 3 ของอาณาจักรโคคุเเรียว
ณ ที่นั้นมีอนุสาวรีย์ของกษัตริย์กวางแกโทมหาราชอยู่ พวกเราจะไปเที่ยวชมอนุสาวรีย์แห่งนี้กันครับ

ซูจีนี : (กระซิบกระซาบกับฮยอนโก) เขาบอกว่า”อนุสาวรีย์ของกษัตริย์กวางแกโทมหาราช” นั่นมันที่
เดียวกับที่อาจารย์เล่าให้หนูฟังใช่ไหมคะ?
ฮยอนโก : ชู่วววววว...!
ผู้นำเที่ยว : พวกคุณห้ามแตะต้องหลักศิลานะครับ แล้วก็ห้ามถ่ายภาพด้วย
ซูจีนี : อ้าว! ทำไมไม่ได้ล่ะ?
ฮยอนโก : โอ๊ะ! เงียบๆ สิ! ชู่ววว..!

ผู้คนต่างเดินผ่านมาผ่านไป
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เทพทั้งสี่ต่างเดินปะปนไปกับผู้คนเหล่านั้นด้วย
และนี่.. อาจจะเป็นบันทึกแห่งมหาราชองค์ใหม่
จบตาม สคริปต์ 1/3 ของคุณ ซงจินา


หมายเหตุ ของ amornbyj
แต่คนเล่าอยาก เล่าแบบนี้ (ที่วงเล็บตั้งแต่บรรทัดนี้ เป็นรายการคุณขอมา จากคุณ Aone_byj ตอบสนองโดย amornbyj ได้เลยค่ะ
แต่การสงครามหลังจาก กลับจากอาบูลันซา ยังไม่จบสิ้น
ขุนพลโก นอกจาก คุมทหารกององครักษ์แล้ว ยัง ควบตำแหน่งเสนาธิการทหาร.ที่ทัมด๊ก แต่งตั้งใหม่
ฮยอนคง ดำรง ตำแหน่ง เจ้ากรมอลักษณ์ รวมถึงยังคงติดตามจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ของทัมด๊ก ด้วยตนเองตลอดมา
ฮยอนโก ได้รับแต่งตั้ง เป็น ท่านที่ปรึกษา คณะเสนาบดี และฝ่ายเสนาธิการทหาร
จูมูชิ และชอโร เป็นขุนพล ด้วยกันทั้งคู่ ควบคุมกรมทหาร คนละกรม (นึกไม่ออกว่ากรมอะไร ใช้ว่า
กรมที่ 1 และกรมที่ 2 ก็แล้วกันนะคะ)
รวมทั้ง ซูจินี ก็ ดำรงตำแหน่ง ขุนพลหญิง คุม กองพลธนู
แม้ ต่อมา จะอภิเษก เป็นราชินี ซูจินี ก็ยังรั้งตำแหน่งนี้ เข้าตำรา หญิงไทย ดาบก็แกว่ง เปลก็ไกว เวลาออกศึก อดีต ผู้พิทักษ์สัญลักษณ์ทั้ง สี่ ก็ เข้าสู่สนามรบ เคียงบ่าเคียงไหล่ ทัมด๊ก ทุกครั้ง

อีกสามปีต่อมา ( มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะทัมด๊ก อยู่ได้ อีกแค่ 11 ปีค่ะ)เมื่อทัมด๊ก และซูจินี คลายความเศร้า เสียใจ กับการจากไปของโซคีฮา ทัมด๊ก โปรดให้ ดัลโก ผู้นำแคว้นคนใหม่ของจุนโน ทำพิธี รับ ซูจินี เป็นน้องบุญธรรม เพื่อสืบสาน ปณิธาน ของแม่ทัพฮีกแก ที่รับสนองพระบัญชาของ กษัตริย์หยาง มอบราชินี จากจุนโน ถวายกษัตริย์ ทัมด๊ก จากฐานะ ท่านน้าขององค์ชาย โกยอน เป็นเสด็จแม่ แทน และมีพระอนุชา ตัวน้อย เป็นเพื่อนเล่นต่างวัยให้องค์ชายโกยอน องค์ชาย โกยอน มีทั้งพระอนุชา และพระขนิษฐา ทั่วปราสาทโกกแน มีแต่ความสดชื่นรื่นเริง บ่อยครั้ง ที่ จูมูชิ และดัลบี พา บุตรแฝด เข้ามา เป็นเพื่อนเล่นกับ บรรดา องค์ชาย องค์หญิง ภายในพระราชวัง
แต่ในส่วน ของ ทัมด๊ก และซูจินี ทั้งสอง ไม่เคยลืมเลือน โซคีฮา เลย ( ผู้ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ มิหนำ
ยัง บาปซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น)…

... ถูกใจคุณ Aone_byj เป็นระดับพอใช้ได้ไปก่อนนะคะ ต้องหมดชาตินี้ก่อนนะคะ ทัมด๊ก ซูจินี
ถึงจะลืม โซคีฮาได้ น่ะค่ะ คุณซงจีนา มาอ่านเจอเข้า คงลมใส่ไปหลายพัก ว่าใครบังอาจมาต่อเติมบทละครของฉัน แต่เอ ก็บอก ข้างบนแล้วนี่นา ว่า Amornbyj เอง และ ก็ แค่ ตามใจ คุณ Aone_Byj คนเดียวนี่น่ะ ท่านผู้อ่านคงไม่งงนะคะ)

ศตวรรษ ที่ 21
ที่สนามบินนานาชาติอินชอน
ผู้คนต่างเดินผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เทพทั้งสี่ต่างเดินปะปนไปกับผู้คนเหล่านั้นด้วย
นั่นตรงนั้นไง ชอโร ก็เดินหิ้วกระเป๋าอยู่ (น่าจะ กำลังเตรียมตัวไปงาน TWSSG Premium Event ในระหว่าง วันที่ 1-4 มิถุนายน 2551 ที่ ประเทศญี่ปุ่น คงต้องมีผู้ร่วมเดินทางคนอื่นอีก แน่ๆ) ชอโร ที่ตัดผมสั้นลงเหลือแค่ประบ่า หล่อจนสาวๆ ที่สนามบิน และสาวๆที่เปิดจอคอมพิวเตอร์ เห็นภาพ แล้วต้องร้องกรี๊ด แต่ยังไงเสียงสาว ๆ ก็กรี๊ดไม่ดังเท่าบรรดา อาจุมม่า ที่เห็น รูป ท่านยอนซามะ แล้วกรี๊ดไปด้วย น้ำหมากหก น้ำลายกระเด็น เปรอะจอคอมพิวเตอร์ไปหมด
เอ๊ะ แล้วก็ด้านโน้น มีผู้ชายคนหนึ่ง กำลังลงจากรถ Taxi ดูแล้ว ช่างละม้ายคล้าย ยอนโฮแก เสียจริง ๆ เพียงแต่ไม่ได้สวมชุดเกราะ งามสง่า แต่ เป็น ชุด สูท ดู เป็น ทางการ เชียว ยอน โฮแก ในศตวรรษ ที่21 กำลัง จะเดินทางไป รัฐ อิลลิลนอย สหรัฐอเมริกา เพื่อกลับไปศึกษา ปริญญา โท ต่อหลังจากการ กรำศึกสุดท้าย ที่ทุ่งราบ อาบูลันซา เมื่อ ธันวาคม 2007
เฮ้อ ...ช่างต่างผ่านมา แล้วก็ ผ่านไปเสียจริงๆ
แต่ ไม่รู้ว่า จูมูชิ ไปอยู่ส่วนไหน ของ บริเวณสนามบินนานาชาตินี้ จูมูชิ ใน ศตวรรษ ที่ 21 นี้ ยังคง ตามหาดัลบี ไม่พบมากกว่า บางที่ จูมูชิ ก็ คงอยู่ในพื้นที่ นี้ แต่มัวแต่ ไปก้ม ๆเงย หาดัลบี อยู่ตรง ไหน ก็ไม่รู้
ส่วน ทัมด๊ก และขุนพลโก คงอยู่ในห้องรับรองของสนามบิน เพราะ กำลังจะไปประเทศญี่ปุ่น งานเดียว
กับ ชอโร นั่นแหละ ( ทัมด๊ก ก็คือ ท่าน ยอนซามะ เบ ยองจุน ไง ขุนพลโก ศตวรรษ ที่21 หน้าตาเปลี่ยนไปเยอะ เกือบจำไม่ได้ว่าเป็นขุนพลโก เพราะ หน้าตา กลับละม้าย คล้าย ผู้กำกับละครคนดังจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ คิมจองฮัก (เพราะขุนพลโก ตัวจริง ไม่ได้ไปด้วยน่ะค่ะ)
และนี่.. อาจจะเป็นบันทึกแห่งมหาราชองค์ใหม่ …..ในวงการโลกมายา ไง ท่านผู้อ่าน
Amornbyj ขอรูดม่านปิดฉาก ละคร บนเวที นี้ก่อนนะคะ และขอ ไปปลีกวิเวก 7 วัน ก่อนนะค้า..............

Copyright @ Amornbyj & Kelly