Friday, April 18, 2008

Sashin ซาชิน หรือสี่จตุรเทพ ใน "ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์"

Sashin ซาชิน หรือสี่จตุรเทพ

... ละครเรื่อง Taewang Sashingi นอกจาก TV 3 ของประเทศไทยแล้ว ก็เพิ่งจะ On Air ที่ NHK ประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามหากดูจากชื่อเรื่องแล้วก็ยังนำเอาภาษาญี่ปุ่น LEGEND- Taiou Shishinki มาใช้ด้วยโดยหากแปลเป็นภาษาไทยแล้วก็จะมีความหมายว่า.."ตำนานสี่จตุรเทพพิทักษ์ราชันย์"....ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยใช้ชื่อเรื่องว่า "ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์"
... พระองค์เป็นพระราชาที่สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้อย่างกว้างไกล..ว่ากันว่า อาณาจักรของพระองค์กินอาณาบริเวณไปจนถึงมณฑล จื๋อหลินในประเทศจีนในปัจจุบันเลยทีเดียว จนได้รับพระสมัญญานามว่า"กวางแกโตแดวัง-ราชาแห่งแผ่นดินอันไพศาล" และกลายมาเป็นวีรบุรุษ ตำนานพิ้นบ้านที่เล่าขานสืบต่อกันมา คำว่า "ซาชิน หรือสี่จตุรเทพ" ในเรื่องนั้นหมายถึง เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ตามความเชื่อพื้นบ้านเอเชียตะวันออก(จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) อันได้แก่

Hyunmoo(Tortoise and Snake),one of the four gods,in a Kangso Tumulus
ทิศเหนือ-เทพฮยอนนู (ภาษาญี่ปุ่นคือ เก็มบุ)

มีสัญญลักษณ์เป็นเต่าที่มีงูพันกระดอง และมีสีดำ มีความเกี่ยวพันกับฤดูหนาว

Blue Dragon, one of the four gods, in a Kangso Tumulus
ทิศตะวันออก-เทพชงเรียว (ภาษาญี่ปุ่นคือ เชริว)

มีสัญญลักษณ์เป็นมังกร และมีสีน้ำเงิน มีความเกี่ยวพันกับฤดูใบไม้ผลิ

White Tiger, one of the four gods, in a Kangso Tumulus
ทิศตะวันตก-เทพแปกโฮ (ภาษาญี่ปุ่นคือ เปียกโกะ)

มีสัญญลักษณ์เป็นเสือ (บางตำนานเป็นกิเลน) และมีสีขาว มีความเกี่ยวพันกับฤดูใบไม้ร่วง

Phoenix, one of the four gods, in a Kangso Tumulus
ทิศใต้-เทพจูจัก (ภาษาญี่ปุ่นคือสึกากุ)

มีสัญญลักษณ์เป็นหงส์ และมีสีแดง มีความเกี่ยวพันกับฤดูร้อน

ตามตำนานที่เล่าขานกันนั้น เชื่อว่าจตุรเทพทั้งสี่ เป็นผู้ช่วยเหลือพระเจ้าจูมง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โคคุเรียว จนสามารถรวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่นและสถาปนาราชวงศ์ขึ้นมาได้ และจตุรเทพทั้งสี่ได้ปรากฎกายออกมาอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือพระเจ้าดัมด็อก ผู้สืบเชื้อสายจากพระเจ้าจูมงให้เอาชนะอิทธิพลของอาณาจักรแพคเจ ที่กำลังเรืองอำนาจในขณะนั้น..

In East Asia (Korea , Japan' Chaina),... four gods represent the four directions of north, south east and west. Blue dragon guards the east, while white tiger defends the west, phoenix, the south, and hyunmoo (tortoise and snake) the north. (But I have to admit that the white tiger looked like a cat, the dragon looked like a lizard in the drama.) Next are the four gods from an old Korean tumulus mural about 1,500 years ago.

Tan-Gun หรือ "ฮวันอุง" ต้นกำเนิดชนชาติเกาหลี


...เทพเจ้าทันกุนหรือ"ฮวันอุง" ต้นกำเนิดชนชาติเกาหลี...


...ประเทศเกาหลีมีประวัติศาสตร์มายาวนานและมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานอันเลื่องลือและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เกี่ยวกับการสร้างชาติ นั่นคือตำนานเทพ “ทันกุน” ผู้เป็นต้นกำเนิดบรรพบุรุษของชนชาติเกาหลี
“ในอดีตกาล มีเทพองค์หนึ่งชื่อว่า ฮวันอิน เป็นผู้ปกครองสรวงสวรรค์ เทพฮวันอินมีลูกชายหนึ่งคน ชื่อว่าฮวันอุงทุกๆวัน ฮวันอุงได้เฝ้ามองแต่โลกมนุษย์ ฮวันอินผู้เป็นพ่อ รู้และเข้าใจความต้องการของฮวันอุงลูกชาย จึงอนุญาตให้ฮวันอุง พร้อมไพร่พลกว่า 3 พันคน คือ บรรดาเหล่าเทพแห่งลม เทพแห่งเมฆ และเทพแห่งฝน ลงมาปกครองโลกมนุษย์ ที่เทือกเขาแทแบ็กซาน(ปัจจุบันคือภูเขา โมยฮยังซาน อยู่ในประเทศเกาหลีเหนือ)
ในสมัยนั้น มีหมีกับเสือคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในป่า เสือกับหมีคู่นี้มีความปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะได้กลายเป็นมนุษย์ จึงเที่ยวสวดอ้อนวอนขอให้ตนกลายเป็นคนต่อทุกๆเทพเรื่อยไป จนกระทั่งวันหนึ่ง หมีและเสือได้มาขอและสวดภาวนาต่อเทพฮวันอุง เทพฮวันอุงจึงกล่าวแก่สัตว์ทั้งสองว่า“เจ้าทั้งสอง รับนี่ไปกิน แล้วรักษาศีลอยู่ในถ้ำ ไม่เห็นแสงเดือน แสงตะวันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน แล้วเจ้าทั้งสองก็จะสมความปรารถนา”

ทั้งหมีและเสือต่างดีใจ รับคำเทพฮวันอุง เข้าไปในถ้ำ และกินผักขมเกาหลีกับกระเทียมที่เทพฮวันอุงให้มา เวลาผ่านไปได้สามวัน และด้วยโดยธรรมชาติ เสือนั้นทนอยู่ในถ้ำที่อึดอัด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันต่อไปไม่ไหว จึงผิดศีลออกมานอกถ้ำไม่สามารถกลายเป็นคนได้สมความปรารถนา ส่วนหมีนั้น มีความอดทนอดกลั้นสูง รักษาศีลอยู่ในถ้ำ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้ 21วัน ก็กลายร่างเป็นหญิงงาม ได้ชื่อว่า อุงนยอ

สาวอุงนยอ อยู่มาได้ไม่นาน เกิดอยากมีลูก จึงไปสวดอ้อนวอนต่อเทพฮวันอุงอีก เทพฮวันอุงจึงแปลงกายเป็นมนุษย์ สมสู่กับสาวอุงนยอ จนอุงนยอได้ให้กำเนิดบุตรชาย มีชื่อว่า “ทันกุน” ทันกุนได้สถาปนาอาณาจักรโคโชซอน อาณาจักรแรกแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อ 2,333 ปีก่อนคริสตกาล ทันกุนปกครองประเืทศเป็นเวลา 1,500 ปี เมื่อตายแล้วก็กลายเป็นเทพแห่งภูเขา อาซาดัล”

ปัจจุบัน ก็ยังมีกลุ่มคนเกาหลีบางส่วนที่นับถือศาสนาแทจงโคย โดยมีเทพ “ทันกุน” เป็นที่เคารพนับถือของศาสนานี้ และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา รัฐบาลเกาหลี ก็ได้กำหนดให้ทุกๆวันที่ 3 ของเดือน 10 ตามปฎิทินจันทรคติ ของทุกปี เป็นวันสถาปนาประเทศเกาหลี และถือเป็นวันหยุดประจำปีของประเทศเกาหลีอีกด้วย


The Legend of Tan-Gun (Hwan-ung / Hwan- in)

Legend has it that Hwan-ung, the son of Hwan-in (who was the God of All and the ruler of Heaven), yearned to live on Earth among the valleys and the mountains. His father sent him and 3,000 helpers to rule Earth and provide humans with great happiness.

Hwan-ung descended to Mount T'aebaeksan on the border between Manchuria and what is now North Korea. He named the place Shinshi, City of God. Along with his ministers of clouds, rain, and wind, he instituted laws and moral codes and taught the humans various arts, medicine, and agriculture.

A tiger and a bear living in a cave together prayed to become human. Upon hearing their prayers, Hwan-ung called them to him and gave them 20 cloves of garlic and a bunch of mugwort. He then ordered them to only eat this sacred food and remain out of the sunlight for 100 days. The tiger shortly gave up and left the cave. However, the bear remained true and after 21 days was transformed into a woman.

The bear-woman was very grateful and made offerings to Hwan-ung. However, lacking a companion she soon became sad and praved beneath a sandalwood tree to be blessed with a child. Hwan-ung, moved by her prayers, took her for his wife and soon she gave birth to a handsome son. They named him Tan-gun, meaning "Altar Prince" or sandalwood.

Tan-gun developed into a wise and powerful leader and in 2333 BC moved to P'yongyang and established the Choson ("Land of the Morning Calm") Kingdom. Finally, at the age of 1,908, he returned to T'aebaeksan where he became a mountain god.

กาญจน์มุนี ศรีวิศาลภพ (ร้อยตะวัน)

Thanks for data from http://www.lifeinkorea.com/information/tangun.cfm

Kanmunee Srivisarnprob (Roytavan) : Translator to

Tuesday, April 15, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 2)

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 2)

เมื่อ เทพฮวานอุง เสด็จกลับสวรรค์ ดินแดน จูชิน ได้ กระจัดกระจายออกไป ทายาทของเผ่าเสือได้สร้างอารามหลวงชื่อ อาบูลลันซา ที่ เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และคือเผ่า ฮวาเซิน ที่รอคอยกษัตริย์ แห่งจูชิน เพื่อที่จะแย่งชิงอำนาจแห่งสวรรค์ เนื่องจาก เทพ ฮวานอุง เคยตรัสไว้ว่า เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา สัญลักษณ์ ทั้งสี่ จะฟื้นขึ้นมา และเมื่อกษัตริย์พระองค์นั้นหาสัญลักษณ์พบแล้วและหักด้วยตราประทับแท่นบูชา ก็จะทรงได้รับอำนาจจากสวรรค์ เผ่าฮวาเซิน ก็ต้องการหาสัญลักษณ์ทั้งสี่ เพื่ออ้างสิทธิ์ของสวรรค์สำหรับตัวเอง เมื่อได้ครอบครองสัญลักษณ์เหล่านั้น แต่ สำหรับชนเผ่า โคมิล ซึ่งสืบทายาท มาจากเต่าดำ ก็เพื่อต้องการหากษัตริย์แห่งจูชิน และช่วยพระองค์หาสัญลักษณ์ที่เหลือ ส่วนสัญลักษณ์ เต่าดำอันศักดิ์สิทธิ์ เผ่าโคมิล เฝ้าปกป้องสัญลักษณ์ และรอคอย กษัตริย์แห่งจูชินเช่นกัน

โอรสของเทพฮวานอุง เมื่อ เติบโตขึ้น ก็กลายเป็น ทันกุนวันคอม ปฐมกษัตริย์พระองค์แรกของชนชาติเกาหลี ได้ก่อตั้งเมืองหลวง ชื่อ อาซาดัล อันเป็นสมัยที่ยิ่งใหญ่ ของ โคโซซอน มี ทันกุน ถึง 47พระองค์ โดยเริ่ม ใน ปี 2333 ก่อนคริสต์ศักราช อันเป็น ยุค Pre-gojoseon ยุค Gija-gojoseon มีกษัตริย์อีก 41 พระองค์ และ Wiman- gojoseon มีกษัตริย์อีก 3 พระองค์แล้วก็ล่มสลาย เพราะชนชาติฮั่น ต่อด้วย พูยอ ที่ก่อตั้งโดยแฮมูซู มีกษัตริย์ 4 พระองค์แล้วแยกออกเป็น บุกพูยอ มีกษัตริย์ 2 พระองค์
ดงบูยอ มีกษัตริย์ 3 พระองค์ คือกษัตริย์ แฮ บูรุ กษัตริย์กึมวา กษัตริย์แทโช ซึ่ง อยู่ในละครเรื่องของกษัตริย์ จูมง แล้วเกิด อาณาจักรโคคุเรียว มี จูมง เป็นปฐม กษัตริย์ ใน ปี ก่อนคริสตศักราช 37 ถึงก่อนคริสตศักราชที่ 19 กษัตริย์องค์ ที่2 ยูริ (องค์ชาย กับพระชายาแรก เยโซยา ของกษัตริย์จูมง)ใน ปี ก่อนคริสตศักราช19 จนถึงปี ค.ศ. 18

ราชินี ซอซอนโน ราชินี ที่ช่วยกษัตริย์จูมงก่อตั้งโคคุเรียว ได้พาองค์ชาย พีรู ไปตั้งเมืองใหม่ ที่ Michuhol ปัจจุบันคือ Incheon และ องค์ชาย ออนโจ ไปตั้งเมืองใหม่ที่ Wiryseong ซึ่งในปัจจุบัน ใกล้กับ กรุง โซลเมื่อองค์ชายพีรูองค์พี่ สิ้นพระชนม์ องค์ชาย ออนโจ ได้รวมเมืองใหม่ 2 เมือง ตั้งเป็น แพคเจ ใน ปี ก่อน คริสตศักราช 18 – ค.ศ.29 ดินแดน จูชิน ที่ว่ากระจัดกระจาย เป็นอาณาจักร ใหญ่ ๆ คือ โคคุเรียว แพคเจ ชิลลา มัลกัล เป็นต้น

2 พันกว่าปีผ่านไป ตรงกับ ปี ค.ศ. 384 เป็นปีที่ 14 ของรัชสมัย กษัตริย์ โซชูริม กษัตริย์ องค์ที่ 17 แห่งอาณาจักร โคคุเรียว ซึ่งเป็นพระปิตุลา ของ กษัตริย์ กวางแกโต มหาราช ฮยอนโก นั่งมองศิษย์รักที่นอนหลับอยู่ หวนนึกถึง เหตุการณ์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในขณะที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่น ดวงดาวแห่งกษัตริย์จูชิน ได้ ปรากฏบนฟากฟ้า ณ ราตรีกาลหนึ่ง ในปี ค.ศ. 375 อันเป็นรัชสมัยที่ 5 ของกษัตริย์ โซซูริมได้บังเกิดความวุ่นวายและโศกนาฏกรรมมากมายบนแผ่นดินเกาหลีโบราณ

...ตอนที่ 2 ....

ที่อารามหลวงอาบูลลันซา ของเผ่าฮวาเซิน นักบวชเฒ่าชรา แทจังโร สั่งการให้ทหาร ออกค้นหาสัญลักษณ์ผู้พิทักษ์ ทั้ง 4 ตามจุดต่าง ๆ ที่จะมีแสงสว่างบ่งบอกว่าที่นั้น มีสัญลักษณ์ผู้พิทักษ์อยู่ทั้งโคคุเรียว แพคเจ ชิลลา และมัลกัล เพื่อจะครอบครองสัญลักษณ์ทั้ง 4 เพื่อให้โลกนี้อยู่ในกำมือของ แทจังโร แต่ผู้เดียว ที่หมู่บ้าน โคมิล ฮยอนซูหัวหน้าเผ่าคนที่ 71 ก็สั่งให้ ทหารแยกย้าย กัน โดยให้ ฮยอนโก ไปทางใต้กับตนเนื่องจาก มีแสงสว่าง ปรากฏใน เมือง แพคเจ ถึง 2 แห่ง หมู่บ้าน มัลกัล 1 แห่ง ใน เมืองโคคุเรียว ที่ปราสาท โกกแน ท่านหญิงยอน พระขนิษฐา ของกษัตริย์ เป็นท่านหญิง ของเสนาบดี ยอนการยอ เจ็บท้อง ใกล้คลอด ได้เตรียมตัวคลอด ในอ่างน้ำใบใหญ่ แต่ เทวีพยากรณ์ ได้รับบัญชาจากสวรรค์จึงให้นักพรตหญิงกลุ่มหนึ่ง ขี่ม้าออกไปนอกปราสาท มุ่งตรงไปบ้านนอกเมือง ขององค์ชาย ออ จิจิ พระอนุชาของกษัตริย์ พระชายาขององค์ชาย ออจิจิ หลบหนีออกจาก ห้องในบ้านพัก ที่เตรียมการคลอดไว้เช่นกัน ม้าของกลุ่มนักพรต บ่ายหน้าไปสู่ยอดเขา แล้วก็ไปถึงที่หมาย ในเวลาที่ ดวงดาวของกษัตริย์จูชิน เปล่งประกาย วาบวับเป็นวงแหวนบนท้องฟ้า แล้ว พระชายา ก็ ประสูติโอรส ในบัดดลนั้น ท่ามกลางทุ่งหญ้าของคืนที่หนาวเหน็บ และ ภายใต้ ประกายสุกสว่างโรจน์เรือง ของดวงดาว กษัตริย์ จูชิน และนี่คือ องค์ชายทัมด๊ก ส่วนพระมารดา สิ้นพระชนม์หลังประสูติพระโอรส เพียง3 วัน

ขณะ เดียวกับที่ เกิด แสงสว่าง ที่ หมู่บ้านช่างตีเหล็ก ฮักซู มัลกัล ปราการจินแห่งแพคเจ และปราสาทซามิ ในแพคเจ ประกายวงแหวนที่วาววาบของดวงดาวกษัตริย์จูชินวูบหายไป เหลือค้างไว้ แต่ แสงสว่างปกติ แห่งดวงดาวนี้ ที่ปราสาท โกกแน ท่านหญิงยอน ก็ ให้กำเนิดบุตรชาย สมใจใฝ่ฝัน ของ ท่านเสนาบดี และท่านหญิง ว่าบุตรชายตน เกิด ในวันที่ ปรากฏดวงดาวแห่งกษัตริย์ จูชิน โดยเฉพาะท่านหญิง มั่นใจเต็มที่ ว่า นี่คือการกำเนิด ของกษัตริย์ จูชิน และนี่คือ ยอน โฮแก ที่ปราการจิน แห่งเมืองแพคเจ พวกของฮวาเซิน บุกเข้าไปในปราการ หัวหน้าจิน ได้เอาสัญลักษณ์ มังกรน้ำเงิน ที่ส่องส่ว่าง ประทับลงที่หัวใจของบุตรชาย ซอโร ตัวเองถูกฟันตาย สัญลักษณ์ ได้ให้ความคุ้มครอง ซอโร ในขณะที่เด็กชาย ซอโร สลบไป และ ซารยาง(มีผ้าปิดหน้าข้างหนึ่ง) คนของฮวาเซินไม่สามารถ แย่งสัญลักษณ์ หรือจับตัว ซอโร ไปด้วยได้ และ ซอโร ก็จะเป็นผู้พิทักษ์สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่เหมือนใคร

ที่หมู่บ้านช่างตีเหล็ก สัญลักษณ์ ของเสือขาวส่องประกาย พ่อ ลูกสาวและลูกชาย ถูก พวกของฮวาเซินตามล่า พ่อมอบหมายสัญลักษณ์ให้ลูกชายคนโต บุลโดล หนีไปให้ไกลที่สุด แล้ววันหนึ่ง ก็จะพบเจ้าของที่แท้จริง พ่อสั่งว่าเจ้าของจะมาตามเอง ทหารของโคมิล มาช่วยในการซ่อนตัว จากการตามล่าของพวกฮวาเซิน พ่อซี่งถูกอาวุธลับของฮวาเซินตาย และทหารของโคมิล พบว่าในกล่องเก็บสัญลักษณ์ มีแต่ความว่างเปล่า ที่ปราสาท ซามิ ในเพคเจ สัญลักษณ์ฟินิกซ์ ได้ ฟื้นขึ้นมา คนในปราสาท ถูกฆ่าตายหมด ก่อนแม่ตายได้ถอดสายสร้อยสวมใส่ให้โซคีฮา และมอบหมายให้ดูแลน้องน้อย และพาโซคีฮาและน้องไปซ่อนส่วนแม่ถูกฟันตายต่อหน้าโซคีฮา ปราสาทถูกเผา โซคีฮา สำลักควัน โซคีฮา นำน้องน้อยแบเบาะซ่อนในถังถั่วและปิดฝาไว้ แล้วตัวเองก็สลบไป จี้ที่ห้อยคออยู่ ก็ส่งประกายสว่าง แดงวาบ พวกฮวาเซินจึงหาโซคีฮาพบ และจับตัวเธอ กลับอารามหลวงของ ฮวาเซิน แทจังโร หัวหน้าเผ่าฮวาเซินได้ดูดพลังจากจี้หัวใจนกฟินิกซ์ จน เป็นชายวัยกลางคน แทน ผู้เฒ่าชรา และ ได้ฝังสัญลักษณ์ ฮวาเซิน ไว้ที่ไหล่ขวาของโซคีฮา นับแต่นั้นมา โซคีฮา เป็นสาวกที่ แทจังโรสามารถควบคุมได้

ฮยอนซู และฮยอนโก มาถึงปราสาท ที่ไหม้ไฟเหลือแต่ ซากที่ถูกไฟไหม้ และได้ยินเสียงเด็กร้อง เมื่อเปิดฝาถังถั่วจึงพบเด็กน้อยร้องไห้ มีรอยแดงที่หน้าผาก แล้ว ก็ วูบหายไป ฮยอนซู มองเห็นเป็นสีดำ แต่ฮยอนโก มองเห็นเป็นสีแดง เด็กน้อยถูกพากลับมาหมู่บ้านโคมิล ฮยอนซู หัวหน้าคนที่71 จะกำจัด เด็กน้อยทิ้ง เพราะเกรงว่า เด็กนี้ คือ ฟินิกซ์ดำ ที่จะนำเภทภัย มาสู่มนุษย์ แต่ ฮยอนโก คัดค้านว่าหากเด็กน้อยนี้เป็นเป็นฟินิกซ์ ที่จะช่วยกษัตริย์จริง หากฆ่านางเสียแล้วอะไรจะเกิดขึ้นและขอเป็นคนเลี้ยงดูเด็กน้อย คอยจับตาเฝ้ามอง หากเด็กน้อยกลายเป็นฟินิกซ์ดำ ฮยอนโก จะสังหารด้วยมือตนเอง และเด็กน้อยคนนี้คือ ซูจินี หัวหน้าฮยอนซู ยินยอม เพราะเชื่อว่า อำนาจของเต่าดำคือน้ำ อำนาจของฟินิกซ์คือไฟ มีแต่น้ำ ที่จะควบคุมไฟได้ และ อีก 10 ปีต่อมา ฮยอนโก ได้เป็นหัวหน้าคนที่ 72 แทน ฮยอนซู ที่สิ้นอายุขัย โดยการคัดเลือกจาก สัญลักษณ์เทพ เต่าตำ ฮวันมู คือไม้เท้า รับมอบหมาย 2 หน้าที่ คือ ติดตามหากษัตริย์จูชินที่แท้จริงคอยช่วยเหลือพระองค์ และเป็นผู้กำจัดซูจินี หากซูจินี คือฟินิกซ์ดำ

ฮยอนโก เดินทางออกจากหมู่บ้านพร้อม ซูจินี มุ่งหน้าสู่ปราสาทโกกแน (ใครๆ ในโคคุเรียวพากันเชื่อว่า ยอน โฮแก ต่อไปคือกษัตริย์ จูชิน) ยึดอาชีพหมอดูในตลาด โดยมีซูจินี หลอกล่อหาลูกค้ามาให้ และวันหนึ่ง ซูจินี ได้พบโซคีฮา ระหว่างที่ ซา รยางพาโซคีฮา ไปสู่อารามหลวง เพื่อเป็นไส้ศึก ซูจินี เป็นฝ่ายมองเห็นโซคีฮาก่อน สัญชาตญาณ กระตุ้นให้เธอสนใจ โซคีฮา ด้วยความฉับไวแห่งปัญญา เธอ วิ่งไปทางลัดไปดักรอ เพื่อ จะเดินตัดหน้าโซคีฮา แบบ ขอมองให้ ได้ใกล้ ชิด แล้วต่างฝ่ายต่างเหลียวมองกันโดยไม่รู้สาเหตุ มันคงคล้าย ๆกับว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกันมา โซคีฮา เธอสูญเสียความจำ ตอนที่ แม่ฝากน้องสาวให้เธอดูแลปกป้อง เธอ ก็หลายขวบอย่างน้อยก็ 5 ขวบแล้ว ทั้งคู่สบตากันด้วยสัญชาติญาณลึกลับ ตำหนักพยากรณ์ รับโซคีฮา ไว้ เป็นนักพรตฝึกหัด

ที่ปราสาทโกกแน กษัตริย์ โซซูริม มีพระ บัญชาให้มีการเรียกประชุม เสนาบดี เพื่อสั่งเสียพระราชกิจสำคัญ ก่อนสู่กาล สวรรคต
ส่วนขุนพล โกอูซุง ก็ไปรับพระอนุชา และองค์ชายทัมด๊ก มาเข้าเฝ้า เสนาบดียอน การยอ ก็ไปพบเทวีพยากรณ์ อ้างว่า ยอนโฮแก เป็นสายเลือดของราชวงศ์ จากมารดา ที่เป็นขนิษฐา กษัตริย์ เป็น พระธิดา กษัตริย์พระองค์ก่อน เทวีพยากรณ์ รู้ดีว่า ความยุ่งยาก กำลังจะมาเยือน ปราสาทโกกแน ท่านหญิงยอน ได้มาเข้าเฝ้า ที่พระแท่นบรรทม พยายามโน้มน้าว กราบทูลกษัตริย์ ว่า ยอนโฮแก ถือเป็นพระนัดดา เกิด ภายใต้ ดวงดาวแห่งกษัตริย์จูชิน และสืบสายราชวงศ์ ควรได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท กษัตริย์ โซซูริม หลับพระเนตร เฉย

ที่ท้องพระโรง องค์ชาย ออจิจิ และองค์ชายทัมด๊ก เข้าเฝ้ากษัตริย์โซซูริม กษัตริย์ทรงประกาศยกราชบัลลังก์ ให้พระอนุชา ท่านหญิงยอนเข้ามาอาละวาด กล่าวหา องค์ชายจิจิ ว่า เลือดไม่บริสุทธิ์ หลังจากแอบฟังการเรียกประชุมในครั้งนี้และถูกพาตัวออกไป กษัตริย์ โซซูริมทรงเรียกหาองค์ชายทัมด๊ก ให้ขึ้นมาบนที่ประทับในท้องพระโรง ตรัสสั่งเสียให้องค์ชายทัมด๊ก ต่อไปต้องเป็นกษัตริย์จูชิน และรวบรวมดินแดนแห่งจูชินเข้าด้วยกัน และให้ไปค้นหาสัญลักษณ์ ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ซึ่งนั่น คือสิ่งที่จะปกป้องกษัตริย์จูชิน และนำพาความสำเร็จทั้งหลายมาสู่บ้านเมือง แล้วก็สิ้นพระชนม์ บนพระราชบัลลังก์นั่นเอง หลังจากองค์ชายทัมด๊ก รับสนองพระบัญชา องค์ชายทัมด๊ก ได้พบโซคีฮา ครั้งแรก ที่ท้องพระโรงในวันรับมงกุฎกษัตริย์ของพระบิดา พระนามกษัตริย์ หยาง

ท่านหญิงยอน พยามกระตุ้นเร้าเสนาบดียอน ให้ จัดการให้ ยอนโฮแก ได้เป็นกษัตริย์ แต่เสนาบดียอน ไม่อยากเห็นการนองเลือดที่จะเกิดขึ้น ท่านหญิงยอนกล่าวว่า จะจัดการเรื่องนี้เอง เธออ้างว่าเพื่อ สนองโองการแห่งสวรรค์ กษัตริย์ หยาง สอนให้องค์ชาย ทัมด๊ก อยู่รอดในพระราชวังให้ได้โดยไม่ให้ทำพระองค์เด่น เฉลียวฉลาด มีเมตตา แคล่วคล่อง กล้าหาญให้ใครเห็น ให้ทำพระองค์ให้เหมือนข่าวที่ออกมาว่า ทรงไม่ฉลาดเป็นคนโง่ อ่อนแอ ขี้โรค ไม่เรียนหนังสือ ไม่ฝึกอาวุธ และไม่ให้ออกไปนอกวังหลวง (เพื่อความปลอดภัยขององค์ชายเอง) ไม่ให้คบเพื่อน เพื่อไม่ให้ องค์ชายเป็นที่สนใจของใคร ๆ จนกว่า ทัมด๊กจะได้เป็นกษัตริย์ ถึงจะเปิดเผยพระองค์ที่แท้จริงได้ องค์ชายทัมด๊ก ไม่ปรารถนา ความเป็นกษัตริย์ เพราะคิดว่า การเป็นกษัตริย์ คือพระบิดา สวรรคตแล้วนั่นเอง

ยอนโฮแก ปรากฏตัวให้ ผู้คนในโคคุเรียว รู้จัก ว่า องอาจ กล้าหาญ ชำนาญศึก รอบรู้ในการเรียน ใช้อาวุธสู้รบ ทั้งทวน กระบี่และธนู และเพียบพร้อมทุกด้าน องค์ชายทัมด๊ก และยอนโฮแก มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ยอนโฮแก ยังสอนองค์ชาย ในเรื่องการใช้อาวุธทวน
แทจังโร มองเห็นความเป็นคาจิน ในตัวโซคีฮา และเชื่อว่า ยอนโฮแก คือกษัตริย์จูชิน สั่งให้โซคีฮาทำให้ยอนโฮแก สนใจ โซคีฮา และให้ควบคุม ยอนโฮแก เหมือน ในอดีตที่ คาจิน เคยสยบผู้ชายทั้งหลาย (ขอวงเล็บเอง ว่ายกเว้นเทพฮวานอุง)

โซคีฮา ได้พบองค์ชายทัมด๊กครั้งที่ 2 ในหอสมุดหลวง เพราะ แทจังโร สั่งให้เธอไปค้นหา บันทึกเกี่ยวกับสัญลักษณ์ผู้พิทักษ์ ยังหาไม่พบ องค์ชายทัมด๊ก ก็เข้ามา เป็นเวลากลางคืน โซคีฮา ไปแอบหลบหลังชั้นหนังสือ องค์ชายรู้แต่แรกว่า มีคนแอบอยู่ เพราะพอเข้ามาในห้อง องค์ชาย ก็รับสัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ในห้องหนังสือด้วย องค์ชายหยิบหนังสือมาอ่าน ครู่หนึ่ง ก็บอกว่า จะอ่านหนังสืออีกจนเช้า เจ้าจะไม่เมื่อยเกินไปหรือ เมื่อข้าเข้ามาข้าสัมผัสกลิ่นดับควันไฟแต่ตอนนี้ข้าได้กลิ่นหอม เป็นกลิ่นเครื่องหอมจากอารามหลวง เจ้ามาจากอารามหรือ ถ้าเจ้าจะเข้ามาแอบอ่านหนังสือเหมือนข้า ก็อย่าซ่อนตัวเลย มาอ่านด้วยกันเถอะนะ แต่โซคีฮาก็เฉย องค์ชายหยิบหนังสือมานั่งเปิดอ่านไม่สนใจเพื่อนร่วมห้อง โซคีฮาชักเมื่อยเต็มที ก็ลุกขึ้น กะว่าจะออกไปจากห้องสมุด องค์ชาย ก็ลุกขึ้นกะทันหัน ฝึกวิชา เคลื่อนไหวตัวตามหลักวิทยายุทธ์ แต่ติดขัด แล้วองค์ชายก็บ่นข้องใจกับองค์เองโซ คีฮา หันหน้าเข้าหาชั้นหนังสือ แล้วพูดว่า เด็กฝึกหัดจากอารามหลวงไม่ได้ รับอนุญาตให้พูดกับใคร ขอพูดกับเจ้าชั้นหนังสือนี่แล้วกัน แล้วโซคีฮา ก็บอกวิธี ฝึกที่ถูกต้องให้ แล้วก็ออกจากห้องสมุดหลวงไป

Copyright @Amornbyj & SUE 2008

Sunday, April 13, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 1)



เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์
..เรื่องย่อของ "ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์" ที่ต้องขอเรียนชี้แจงก่อนว่า การเล่าละครเรื่องนี้ ได้รับความอนุเคราะห์ มาจาก คุณ SUE คือคุณสุนี ลิมป์ธีระกุล แปล ซับไทเทิล เป็นตอนๆ ให้สมาชิกกลุ่มเพื่อนสนิท ตั้งแต่เดือน กันยายน 2550 สดๆร้อนๆไล่หลังการ On air ที่เกาหลี เพื่อความบันเทิงส่วนตัว มิได้ มีเจตนาให้แพร่หลายในทางการค้า จึงขอให้เครดิต กับผู้แปล และขอเรียกชื่อตัวละคร ต่างๆ ในเรื่อง ตามต้นฉบับของผู้แปล อาจจะแตกต่าง กับการเรียก ของ http://twssg.blogspot.com/ ที่ได้เริ่มต้นเล่าความเป็นมา ไว้แล้ว ต้องขออภัย ท่านผู้อ่านทุกท่าน ที่เข้ามาอ่านแล้วสงสัยว่า เวปเดียวกัน ทำไมเรียกชื่อต่างกัน และในตอนต้นเรื่องก็จะเล่าเรื่องอย่างค่อนข้างละเอียด เพราะ อีก 2 พันปี ต่อมา ตัวละครหลักของเรื่องตอนที่ 1 จะมาเกิดใหม่ในชาติภพใหม่



...ตอนที่ 1...

ซูจินี คำแรกของบทละคร เรื่อง TWSSG
เมื่อละครเรื่อง TWSSG เปิดม่านออก
เสียงนี้เป็นเสียงแรกที่จะได้ยิน ฮยอนโก หัวหน้าเผ่าที่สืบเชื้อสายเต่าดำ ฮวานมู ของหมู่บ้านโคมิล คนที่ 72 ตะโกนเรียกหา ศิษย์รัก ที่เลี้ยงเองมากับมือตั้งแต่แบเบาะ ป้อนข้าวป้อนน้ำ อุ้มชูเลี้ยงดู นับแต่วัน ที่ไปพบเด็กน้อยในถังถั่ว ที่ซากปราสาท ซามิ ที่ไหม้ไฟ ในเมืองแพคเจ เมื่อวันที่ดวงดาวแห่งกษัตรย์ จูชิน ส่องสว่าง บนฟากฟ้าในคืนหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และนำกลับมาที่หมู่บ้าน ในตอนนั้น ฮยอนซู เป็นหัวหน้าเผ่าคนที่71 ฮยอนโก ยังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น
ซูจินีซุกซนและค่อนข้างดื้อสำหรับฮยอนโก ที่เดินออกมาจากถ้ำเที่ยวตามหาเมื่อพบเรียกเท่าไรก็ไม่ลงจากต้นไม้ แถมเมื่อวันก่อนยังทำไม้เท้าของฮยอนโกหัก เพราะความซุกซนของเธอ
คนในหมู่บ้านโคมิล จะชื่อ ฮยอน นำหน้า และที่หมู่บ้านนี้ มีแต่ซูจินี ที่เป็นเด็กหญิง นอกนั้นจะเป็นผู้ชายทั้งหมู่บ้าน ซูจินี อายุ 10 ขวบ เป็นเด็ก ช่างพูด ช่างซักช่างถาม เซ้าซี้ ขี้โม้ จอมโวยวาย แสนงอน ออดอ้อน ขี้บ่น ขี้โมโห ฉลาด ปราดเปรียว แคล่วคล่องว่องไว แก่แดด แก่ลม เจ้าเล่ห์ แสนกล ก๋ากั่น ไม่กลัวใคร แถมค่อนข้างหลงว่าตัวเองสวย มีนกสื่อสารเรียก คนในหมู่บ้านให้มาร่วมชุมนุมกัน แล้ว ฮยอนโก ก็ได้รับเลือกจาก สัญลักษณ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไม้เท้า ฮวานมู เป็น หัวหน้าคนที่72 แทนหัวหน้า ฮยอนซู คนที่ 71 ที่กำลังจะหมดอายุขัย ฮยอนซูได้สั่งเสีย มอบภาระให้ ฮยอนโก ทำ 2 เรื่อง คือการออกตามหากษัตริย์ จูชิน เพื่อรับใช้กษัตริย์และช่วยตามหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ อีก 3 อย่าง ที่สำคัญคือต้องกำจัด ซูจินี ด้วยมือของฮยอนโกเองหากซูจินี คือ นกพินิกซ์ดำ

เมื่อฮยอนโก จะต้อง เข้ามาที่ปราสาท โกกแน เพื่อตามหากษัตริย์ จูชิน ซูจินี กระโดดขึ้นรถม้าขอติดตามไปด้วย ก่อนออกเดินทาง ทหารของเผ่าโคมิล ได้บอกฮยอนโกว่า การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลาหลายวัน ข้าจะวางเวรยามรักษาความปลอดภัยให้ท่าน ซูจินี กล่าวเสริมว่า ไม่ต้องห่วงข้าจะปกป้อง ท่านหัวหน้าเอง เมื่อนั่งท้ายรถม้า ก็บ่นน้อยใจที่ ไม่มีใครยอมเล่าเรื่อง โอรสกษัตริย์แห่งสวรรค์ ฮวานอุงให้ฟัง ซึ่งเรื่องนี้ แม้แต่สุนัขในไร่ของหมู่บ้าน ยังรู้เรื่อง กว่าเธอ ไม่มีคนยอมบอกยอมเล่า (ก่อนหน้านั้น ฮยอนยองกำลังเล่าเรื่องเทพฮวานอุงให้เด็กกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านฟัง พอซูจินีข้าไปร่วมวง ฮยอนยอง ก็หยุดเล่าเรื่อง เกิดอาการวงแตก )
เธอบอกฮยอนโกว่า "ท่านก็รู้ว่าข้าโด่งดังแค่ไหน ข้าสวย ข้าใจดี แล้วก็ชาญฉลาด มีคนขอคำแนะนำจากข้าเสมอ ถ้าผู้ใหญ่ มีความขัดแย้งพวกเขาจะถามว่า ซูจินี เราจะทำยังไงกันดีถ้าเด็กๆทะเลาะกัน พวกเขาจะพูดว่า ซูจินี จงฟังนะ
การที่พวกเขาไม่บอกเรื่องกษัตริย์ฮวานอุงให้ข้าฟัง ทำให้ชีวิตข้าเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้แต่สุนัขในไร่ ก็ยังรู้เรื่องนี้ ท่านก็ด้วย ปีที่แล้วข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ปีนี้ข้าโตขึ้นอีกปีแล้วนะ มันทำให้ข้าโกรธ......"
ว่าแล้วก็ เอนหลังทำท่าจะนอน ปรือตาลง (หัวหน้าไม่เห็นหรอก เพราะถือบังเหียนรถม้าอยู่)
ฮยอนโก ชักใจอ่อนเรียกชื่อ "ซูจินี..."
ซูจินีส่งเสียง แว๊ดแหว ตอบมาว่า "ซูจินี หลับแล้ว..."
ฮยอนโกใจเย็น ก็แสนจะเอ็นดูเด็กที่ตัวเองเลี้ยงมา ไม่สนใจ พูดต่อว่า "2 พันปีที่แล้วมา…….."
เท่านั้นแหละ หนูน้อยซูจินี ก็ตาสว่างโพลงทำเสียงตื่นเต้น "ท่านกำลังจะเล่าเรื่องเหรอ" แล้วก็พรวดพราดมานั่งข้างๆ ฮยอนโก คอยซักถามคำถามจากคำเล่าของฮยอนโก


เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว ในดินแดนเกาหลีโบราณ มี ชนเผ่า เผ่าหนึ่งนับถือเสือ และบูชาไฟต่อมามี ธิดาแห่งเผ่าเสือ คาจิน ปกครอง เธอเป็นคนทะเยอทะยานโหดร้าย มีไฟเป็นพลังอำนาจ
มีคนตายไปเป็นจำนวนมากมายจากดาบและไฟของ คาจิน
โอรส ของกษัตริย์สวรรค์ เทพฮวานอิน คือเทพ ฮวานอุง ทรงทอดพระเนตรเห็นการทำลายล้างล้มตายเป็นจำนวนมากนี้ด้วยพลังไฟและคมดาบ บนโลกมนุษย์ทรงมีพระประสงค์ ยุติสงครามนี้ จึง เสด็จลงมาพร้อม ผู้พิทักษ์ ทั้งสามคือ
Woonsa -มังกรน้ำเงิน ดูแลท้องฟ้า –ทิศตะวันออก
Poong -beak เสือขาว ดูแล ลม-ทิศตะวันตก
และ Woosa- งูเต่าดำ ดูแลฝน-ทิศเหนือ


เทพฮวานอุง เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ และปรากฏพระองค์ เป็นครั้งแรกในโลกมนุษย์ ในท่ามกลางขุนเขา ทุ่งหญ้า และฟ้ากว้าง มีรัศมีสีขาวแผ่กระจาย ล้อมรอบพระองค์ เหมือนจะ ทรงนำพาแสงสว่าง ความอบอุ่น ความเมตตา ความเบิกบานมาสู่ โลกมนุษย์ เหนือขึ้นไปที่เงยพระพักตร์ขึ้นคือท้องฟ้ากระจ่างใส ปุยเมฆสีขาว ลอยฟูฟ่อง ระบายสีความสวยงามให้แก่ท้องฟ้าในยามนั้น ตัดกับสีทุ่งหญ้าที่เขียวชะอุ่ม ทรงเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ฝูงชน มีพระราชดำรัสกับมนุษยโลกเป็นครั้งแรก ด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยน ว่า
*“จงฟังเรา ณ สถานที่นี้ เราขอประกาศว่า เราจะนำพาชีวิตของการอยู่ร่วมกันในโลก อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ท่านทั้งหลาย จะอยู่ร่วมกันอย่าง สงบสันติสุข"
ยกสองพระหัตถ์ขึ้น เป็นทำนองว่า จะทรงโอบโลกนี้ และให้ความคุ้มครอง เมตตา มวลมนุษย์ทั้งหลายไว้ในอ้อมพระกร ของพระองค์ จะนำพาความอุดมสมบูรณ์ สงบร่มเย็น มาสู่โลกมนุษย์
*“ณ สถานที่นี้ พวกท่านทั้งหลายจะ มีลูกหลานสืบต่อเชื้อสายและเติบโต อยู่ในดินแดนที่ อุดมสมบูรณ์ และสงบร่มเย็นเป็นสุข ต่อไป *
เทพฮวานอุงทรงเลือกสถานที่ ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ของภูเขา แทเบ็ค และตั้งชื่อว่าชินจิ
มีผู้คนมากมาย มารวมกันในดินแดนใหม่นี้เป็นคนในในชนชาตินี้ เรียกว่าชนชาติ จูชิน เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล
ชินจิ เป็นเมืองหลวงของเผ่าจูชิน

ชนเผ่าเสือ ได้ก่อสงครามกับพลเมืองของเทพฮวานอุง เพราะรู้สึกว่าถูกแย่งและเสียดินแดนไปต้องการเอาดินแดนคืน
มีพลเมืองของเทพฮวานอุงล้มตายลงมาก จนในที่สุด มีการตอบโต้ จน คาจิน ได้รับบาดเจ็บ
เทพฮวานอุง ปรากฏพระองค์ ครั้งที่สอง เมื่อ คาจิน บาดเจ็บ มีลูกธนูปักอยู่ข้างหลัง หลบเข้ามาในถ้ำ ทิ้งดาบไว้กับพื้น
ทรงปรากฏ พระองค์ขึ้น พระราชดำเนินอย่างสง่างามสายพระเนตร ที่บอก ว่าพระองค์มาดี มีเมตตา และเป็นมิตร แต่ คาจินที่มีจิตใจโหดร้าย หวาดระแวง กลับก้มลงหยิบดาบ มาถือกระชับมั่น เตรียมพร้อมจะทำร้าย เทพฮวานอุง ๆ ทรง ทอดพระเนตรนิ่ง ไม่เปลี่ยนสายพระเนตร แล้วเบนสายพระเนตรไปที่ดาบในมือ คาจิน และสบตา คาจินจน มือที่ถือดาบของ คาจิน สั่นสะท้าน ต้องลดดาบลงและทรุดตัวลงนั่ง ฮวานอุงทรงพระราชดำเนินไปข้างหลัง คาจิน ทรงดึงลูกธนู ออกมาให้ แล้วใช้ฝ่าพระหัตถ์ ทาบลงไปที่แผลที่มีเลือดไหลริน แล้วแผลก็หายสนิท แล้วทรงพระราชดำเนินกลับมาประทับยืนข้างหน้า ส่งสายพระเนตร สบตา คาจิน ด้วยแรงพลังจากสายพระเนตรที่อบอุ่นเมตตาเป็นมิตร คาจิน มิอาจต้านทานกระแสแห่งดวงเนตรของพระองค์ได้รวมทั้งความอ่อนเพลียจากบาดแผล คาจินก็ เวียนหัวหน้ามืดตาลายเป็นลมอยู่ตรงนั้น เมื่อ ฟื้นขึ้นมาก็พบว่า มีภูษาทรงสีขาว ของเทพฮวานอุง คลุมให้ความอบอุ่นอยู่
คาจิน ตั้งแต่เป็นหัวหน้าเผ่ามาไม่เคยได้นอนหลับสนิท เลย สงครามก็เป็นความทุกข์ทรมานสำหรับ คาจินจากวันนั้น เธอไม่ไม่ฆ่าใครอีกเลย เธอ ฆ่าคน ของเทพฮวานอุง ไม่ได้อีกต่อไป แต่คนในชนเผ่าเสือไม่ยอม เพราะต้องการดินแดนคืนมา คาจินจึงไม่มีทางเลือกจึงต้องทำสงครามต่อไป
แชโอ ธิดาแห่งเผ่าหมี พยายามหยุดยั้งเผ่าเสือ
คาจิน ได้ พบและต่อสู้ กับ แชโอ มีตอนหนึ่งที่ แชโอ ยกธนูพาดสายพร้อมจะยิง คาจิน สบตากัน แล้ว แชโอ ก็เปลี่ยนใจไม่ปล่อยลูกธนู เทพฮวานอุงทอดพระเนตร แชโอ ที่ปฎิบัติต่อคนในเผ่าตัวเอง เหมือนแม่ดูแลบุตร แชโอ หลั่งน้ำตา เพราะความเศร้า เมื่อ ชนเผ่าของเธอ ตายและบาดเจ็บเพราะเธอ เทพฮวานอุง พลอยเจ็บปวดไปกับ แชโอ


คาจิน ได้พบเทพฮวานอุงอีกครั้ง ในป่า และใช้เปลวไฟ ทำร้ายพระองค์และท้าให้พระองค์ฆ่าเธอ พระองค์ ทรงตอบว่า "มิได้มาสู่โลกมนุษย์เพื่อฆ่าใคร แต่เพื่อจะทรงปกป้องคุ้มครองต่างหาก" และ เทพฮวานอุง เลยเก็บเปลวไฟ ไว้ในจี้ ทับทิม ทรงเรียกจี้นี้ว่า หัวใจของนกฟินิกซ์ ( The heart of jujak) คาจิน เมื่อสูญเสียพลังไฟไป ก็มิรู้ จะต่อสู้กับเทพฮวานอุง ต่อไปอีกทำไม คิดจะทิ้งทุกสิ่งในเผ่าตัวเอง แต่ สาม ผู้ใหญ่ในเผ่า จะไปทำร้ายเทพฮวานอุง เพื่อแย่งชิง ไฟแห่งอำนาจมาให้ คาจิน แต่เพื่อเทพฮวานอุงแล้ว คาจินลงมือ ฆ่า สามผู้ใหญ่ของเผ่าเสือ ที่เลี้ยงดูเธอมาและ วิ่ง ... วิ่ง... เข้าสู่ อาณาจักรแห่งเทพฮวานอุง เธอคิด จะเป็นพสกนิกรในอาณาจักรแห่งพระองค์ และเป้าหมาย คือ เป็น ผู้หญิงของเทพฮวานอุง

.......บางที คาจิน เองอาจเต็มใจ ปล่อย พลังไฟ นี้ ออกไป ....

แต่ว่า เทพฮวานอุงทรงพอพระทัยใน ตัวของ แชโอ
เทพฮวานอุง เสด็จไปที่เผ่าของ แชโอทรง แล้วทรงประทานจี้ หัวใจนกฟินิกซ์ ให้ ทรงหมายพระทัยจะให้ แชโอ เป็นผู้พิทักษ์ ทางใต้ ทรงตรัสกับ แชโอ ว่า
"พลังแห่งไฟนี้ ค้นพบโดยคนบนโลกนี้ เจ้าจงใช้พลังนี้ เพื่อประโยชน์ แก่คนของเจ้า"
ในราตรีนั้น ทรงอธิบาย ถึงวิธี ที่ แชโอ จะใช้พลังไฟจากจี้นี้ให้เกิดประโยชน์ต่อ เผ่าพันธุ์ อย่างไร
ถึงแม้ พลังนี้จะเป็นสิ่งที่เบาบาง แต่มีอานุภาพมากนัก
เช้าวันใหม่ แชโอ ยืนชื่นชมอรุณที่เรืองรองของดวงตะวันที่อาบไล้ขุนเขา แมกไม้ สายธาร เทพฮวานอุง เสด็จพระราชดำเนิน เข้ามาหา ทรงกราบทูลพระเทพบิดร ว่า "กำลังทรงทอดพระเนตรพระองค์และ แชโอ อยู่หรือไม่ หม่อมฉัน ได้มอบหัวใจของนกฟินิกซ์ ( เทพเจ้าของทิศใต้) ให้กับหญิงสาวผู้นี้ เธอ เป็นผู้ที่สมควร ด้วยจิตใจที่อบอุ่นนุ่มนวลของเธอ เธอจะดูแลผู้คนด้วยสิ่งที่เธอมีในจิตใจของเธอ เธอจะให้กำเนิดโอรสแก่หม่อมฉัน และ เธอจะเป็น มารดาบรรพชนของพสกนิกรของหม่อมฉัน โปรดทรงจดจำเธอผู้นี้ไว้" ทรงประทานจุมพิตที่หน้าผาก แชโอ อย่างอ่อนหวาน แต่ ที่เบื้องหลังของพระองค์ และ แชโอ นั้น คาจิน ยืนตะลึงงัน น้ำตาคลอเบ้า ทั้ง เคียดแค้น ริษยา และทั้งเกลียดชัง มือกำดาบเกร็งแน่น



ต่อมา เมื่อ คาจิน รู้ว่า แชโอ ท้องและใกล้คลอด ก็ ตัดสินใจ เด็ดขาด ยกพวกไปโจมตี เผ่าของ แชโอ คาจินระบายความโกรธ ไปที่หมู่บ้านของ แชโอ และตั้งสัตย์สาบานไว้ว่า ถ้าชาตินี้ไม่ได้ตัวของเทพฮวานอุง คาจิน จะขอติดตามต่อไปยังชาติหน้า
และเป็นวัน ที่ แชโอ คลอดโอรส พอดี แชโอ ส่งโอรส ให้ พี่เลี้ยง พาหลบไปนอกถ้ำ ขอให้พี่เลี้ยงปกป้องเด็กน้อยนี้ เพราะนี่คือ กษัตริย์ พระองค์ใหม่แล้วตัวเองออกมาลุยศึก คาจิน พบและฆ่าพี่เลี้ยงตาย 1 คน หนีมาหา แชโอ ได้ 1 คน และแย่งพระโอรส ไป หวังพบ เทพ ฮวานอุง แชโอ รีบออกตามหา คาจิน
เทพฮวานอุง เสด็จมาถึงเมื่อ มีซากศพทั้งสองฝ่ายมากมาย ทรงก้มลงหยิบคันธนูที่ แชโอ ทิ้งไว้ ที่พื้น พระพักตร์ บังเกิดความกังวลพระทัยขึ้นทันที ทรงพระราชดำเนินอย่างรวดเร็ว และเร่งร้อน

แชโอ ตามหา คาจิน พบที่หน้าผา สูงลิบลิ่ว เธอ ปีน ขึ้นด้วยความลำบาก เพราะอ่อนล้าจากการคลอด และสู้รบ คาจินไม่ได้ต้องการพบ แชโอ คาจิน ต้องการพบฮวานอุง และ ขอ จี้ ที่เก็บพลังไฟ ของเธอคืน
แชโอ ขอโอรสคืน คาจิน ขอแลกเปลี่ยนด้วยจี้ พลังไฟ แชโอ ทำท่า ปลดให้ แต่แล้ว เมื่อนึกถึง ผู้ ประทานสิ่งนี้ให้กับตน ( พร้อม ด้วยพระวาจา ที่แสนอ่อนหวาน ในเช้าวันนั้น) เธอ ก็ อ้ำอึ้ง ตัดใจให้ไม่ได้เอ่ยปากขอร้องแล้วขอร้องอีกเธอใช้คำว่า "ลูกของเรา" ที่ คาจินได้ยินแล้ว ยิ่งเคียดแค้น
แชโอ : นี่คือหัวใจนกฟินิกซ์ ที่ ท่านฮวานอุงทรงมอบให้ข้า เพื่อปกป้อง และทำประโยชน์ ให้แก่ประชาชน
คาจิน : พลังแห่งไฟนี้เดิมเป็นของข้า
แล้วก็ กระโจนเข้ายกดาบทำร้าย ปะทะดาบกัน แชโอ ล้มลง คาจิน ยกดาบพุ่งจะทำร้ายแต่ มีรัศมีเปลวเพลิง พุ่งออกมาล้อมรอบ แชโอ สกัดกั้น พลังเพลิงที่แผ่ออกจากจี้ นี้ กระทบ ถึงพระทัย เทพฮวานอุง ที่ทรงพระราชดำเนินอย่าเร่งร้อนที่หุบเขา เบื้องล่างทรงสดับและสำเหนียกสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ดี คาจินชะงัก แชโอลุกขึ้นและเดินหน้าเข้าหาคาจิน ปากก็พร่ำขอโอรสคืน คาจินถอยหลังไปจนชิดหน้าผาสูง คาจิน ยกโอรส ขู่
คาจิน : แชโอ ธิดาแห่งหมีผู้โง่เขลา เด็กคนนี้จะต้องเป็นของข้าเช่นกัน

แล้ว คาจินก็ ตัดสินใจโยนโอรสที่ร้องไห้จ้า ลงหน้าผา แชโอ ถลาไปที่ริมหน้าผา ทรุดตัวลงก้มดูพระโอรส และกรีดร้อง ก้องสะท้อนทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพระโอรสและเสียงของ แชโอ, คาจิน กระโดดเข้าหาหมายจะกระตุกดึงจี้จาก แชโอ แต่ถูกพลังเพลิงสกัด จนดึงออกไม่ได้ กระเด็นออกมา มีรัศมีสีขาวกระจายขึ้นมาจากหน้าผา เทพ ฮวานอุง ทรงอุ้มโอรส ลอยขึ้นมา เมื่อประทับยืน พระราชดำเนินดำเนินเข้าหา แชโอ ที่กำลังมีความเปลี่ยนแปลงนัยย์ตาแข็งทื่อไร้แวว ทรง เรียกชื่อ "แชโอ" ถึง 2 ครั้ง แต่แชโอไม่มีทีท่ารับรู้ด้วย ทรงร้อนพระทัยและก้าวพระบาททำท่ายื่นพระโอรสให้มีพระวาจาว่า "ลูกของเราอยู่นี่แล้วอย่างปลอดภัย อย่านะ แชโอ อย่า..." แต่ไม่ทันการณ์เสียแล้ว แชโอ ไม่รับรู้ในพระสุรเสียง จี้ ที่คอ ส่งประกายกว่าเดิม แชโอสะดุ้งสุดตัว แล้ว เปลวเพลิงก็ลุกระเบิด กระจาย ทรงตกพระทัยยิ่งขึ้น เมื่อ แชโอ กลายร่างเป็น นกฟินิกซ์ ไปเสียแล้ว และเป็น ฟินิกซ์ดำ ท่ามกลางเปลวเพลิงที่มีรัศมีรุนแรงจนพระองค์ ทรงโอบพระโอรสแบบปกป้องแนบอุระและถูกกระแทก ต้องถอยหลังออกมา คาจินถูกแรงกระแทกกระเด็นล้มลงกับพื้น ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ ยับยั้งเปลวเพลิง ที่โหมกระพือในบริเวณนั้น คาจินเอง ก็ตระหนก กับเหตุการณ์นี้




เทพฮวานอุง ทอดพระเนตร อย่าง อัดอั้นตันพระทัย กังวลและหม่นหมองยิ่งนัก ด้วยเหตุการณ์คับขันอย่างนี้.......มีเปลวเพลิงไปทั่วที่นกบินผ่าน.ทรง.เรียก เทพ เสือขาว มาหยุด ยั้ง แต่ไม่ได้ ผล ต้องเรียกมังกร น้ำเงิน มาช่วย ก็ยังหยุด นกไม่ได้ ผลสุดท้ายทรงหลับพระเนตรลงอย่างเศร้าพระทัยเรียกเทพที่สาม เต่าดำ ก็โลดละลิ่วขึ้นมาจากท้องน้ำ น้ำกระจายไปทั่ว สาม เทพ ก็ยังหยุด นกฟินิกซ์ ดำไม่ได้ สู้ กัน นัวเนีย พัลวันพัลเก จน สามเทพ แทบหมดแรง นกฟินิกซ์ดำ บินโฉบไปที่ไหน ก็ เกิด ไฟบัลลัยกัลป์ เผาผลาญ สรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง ไปถึง ที่ไหน ก็มีเสียงร้องกรีดระงม อย่างกับ ไฟบัลลัยกัลป์ ในนรก ตามที่คนโบราณ พูดถึงกัน สงสารเทพฮวานอุงยิ่งกว่าเก่า เมื่อ มีพระอาการตัดพระทัย หัก พระทัย หักความโทมนัส ( ตลอดเวลา ทรงประทับยืนนิ่ง มีพียงการเหลียวพระพักตร์ ก้มพระพักตร์ เรียก 3 เทพ เงยพระพักตร์ ดู การต่อ สู้ ทอดพระเนตรความหายนะ ที่กำลังเกิด )ระหว่างนั้นยังอุ้มโอรสอยู่ ทรงทอดพระเนตร นก ฟินิกซ์ และ ความหายนะที่กำลังเกิดขึ้นและสุดท้าย ทรงก้มมองพระโอรส ในอ้อมพระกรอย่างโทมนัสพระทัยสงสารพระโอรสที่กำลัง จะเสียแม่ จะต้องเป็นกำพร้า เงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรนกฟินิกซ์ อย่าง หักพระทัย



ทรงวางพระโอรสไว้บนพื้น ก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรทรงรันทดพระทัยในพระองค์เองเสียยิ่งนักแล้ว เมื่อเบือนพระพักตร์กลับมา สายพระเนตร ที่บอกอาการตัดสินพระทัยขั้นสุดท้ายที่จะทรงทำได้ แล้วธนูวิเศษ ก็ อยุ่ในพระหัตถ์ สายพระเนตรขณะเล็งธนู พระอัสสุชล ที่คลอในดวงเนตร ทอดพระเนตร อย่างอาลัยรัก อาลัยลา ขอโทษ เจ็บปวด โศกรันทด ร้าวรานในดวงพระหฤทัย เป็นอย่างยิ่ง
โอ้......แชโอ ของข้า....
แล้วลูกธนูก็แล่นโลดลิ่วออกจากคันธนู



แชโอ สะดุ้งและรู้สึกตัว แล้ว ก็ กลายเป็นเศร้าสร้อยกับชะตาของตัวเอง และยอมรับชะตากรรม หลับตาลง ร่วงหล่นลงมา
ทรงอ้าพระกรรับร่าง แชโอ ที่ตกลงมา จับมือ แชโอ ที่ลืมตายกมือขึ้นสัมผัส พระพักตร์ของพระองค์ใช้นิ้วมือปาดน้ำพระเนตรให้ในขณะที่ตัวเองก็มีน้ำตาไหลรินมีเสียงสะอื้นในลำคอขยับปากเหมือนจะทูลความและทูลลา แล้วก็พริ้มตาสิ้นใจตายในขณะน้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินร่วงหล่นกลิ้งลงมาตามร่องแก้มพร้อมกับอัสสุชลของเทพฮวานอุงเองเช่นกันด้วย เทพฮวานอุง ยกพระหัตถ์วางบนแก้ม แชโอนิ้วพระหัตถ์ค่อยๆปาดไล้น้ำตาให้ แชโอ พระองค์เองก็มีหยาดอสุชลเช่นกันทรงทอดพระเนตร แชโออย่างร้าวราน เจ็บลึก ปวดร้าวในดวงหทัย ประทานการจุมพิตอำลาที่หน้าผากหลับพระเนตร พระองค์เองลงนิ่งนาน ปลอบขวัญร่างไร้วิญญาณของ แชโอ เป็นครั้งสุดท้าย ชั่วนิรันดร



ทรงอุ้มพระโอรสที่วางอยู่บนพื้นหันมาทอดพระเนตร คาจิน อย่างสงบ แต่ เยียบเย็น
มีพระดำรัสว่า :ทำอย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อว่า เรามาเพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า
คาจิน ถามขึ้นว่า "พระองค์หมายความว่า จะไม่ฆ่าหม่อมฉันหรือ ทั้งที่ หม่อมฉันฆ่า ผู้หญิงของพระองค์"
เทพฮวานอุง ทรงตรัสตอบว่า "เจ้าเป็นประชาชนคนหนึ่งของเรา เหมือนคนอื่น ๆ เช่นกัน"
คาจิน หัวเราะอย่างเคียดแค้น ทูลว่า "หม่อมฉันไม่ปรารถนาเป็นประชาชนของพระองค์ หม่อมฉันต้องการเป็น ราชินี ด้วยตัวหม่อมฉันเอง"
เทพฮวันอุง ทอดพระเนตร คาจิน โดยไม่ตรัสอะไรอีกเลย คาจินค่อยค่อยเดินถอยหลังไปที่หน้าผา และตัดสินใจ หงายหลังตัวเอง ร่วงหล่น ไปสู่ ความเวิ้งว้างสูงลิบลิ่วของหน้าผา
และก็มีฝนตกลงมา 7 วัน 7 คืน ชะล้างไฟและความหายนะที่เกิดขึ้นหมดไป
แม้ไฟโทสะจะดับลง แต่โลกกลับจมอยู่ใต้น้ำ ดินแดนของจูชิน ก็กระจัดกระจาย เพราะเทพฮวานอุงเสด็จกลับสู่สวรรค์

*เราลงมาสู่โลกมนุษย์ ณ ดินแดนนี้ ตามบัญชาสวรรค์ เพื่อนำประโยชน์สุข ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่มวลมนุษย์ แต่ การมิได้เป็นเช่นที่ตั้งใจไว้ เราจึงต้องกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ เราจะทิ้งสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าทั้งสี่ นี้ ไว้ บนปฐพีแห่งนี้ แล้ววันหนึ่ง ในกาลข้าง หน้าสวรรค์ จะส่ง กษัตริย์ที่แท้จริง ลงมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้ง ณ เพลานั้น เทพเจ้าทั้งสี่ จะตื่นขึ้นจากการหลับใหล อันยาวนาน ในวันที่ โลกได้บังเกิด กษัตริย์พระองค์ใหม่ มวลมนุษย์ จะรู้ได้ จาก จุติของดวงดาวสำหรับการ อุบัติขึ้นของ พระชนม์แรกเกิดของกษัตริย์พระองค์นั้น *
และ ในขณะ ที่ สาม เทพ และนกฟินิกซ์ ต่อสู้กันนั้น
เทพเจ้า ทั้งสาม คือเสือขาว มังกรน้ำเงินและเต่าดำ มิอาจ ทำลายล้าง ฆ่า นกฟินิกซ์ เพราะเทพเจ้าทั้งสี่ อยู่ เพื่อ คาน อำนาจ ซึ่งกันและกัน และไม่อาจฆ่า ระหว่างกัน และกันได้ มีเพียงพระองค์เดียว ที่จะ ทำลายล้าง นกฟินิกซ์ได้ คือ เทพเจ้าฮวานอุง ผู้ซึ่งเป็นผู้ ประทาน พลังของนกฟินิกซ์นี้ ให้ กับเธอผู้นั้น เท่านั้น

ในขณะที่เล่าเรื่องนี้นั้น ซูจินี ก็จะซักถาม ข้อสงสัย จาก ฮยอนโก เป็นระยะ ๆ
ฟังเรื่องจบ ซูขินี ก็รำพึงว่า "โลกนี้ไม่ได้สร้างอย่างง่ายดาย"
ฮยอนโก ตอบว่า "ไม่มีอะไรที่สำเร็จโดยง่าย เจ้าก็เหมือนกัน โชคดี ที่มีอาจารย์ที่เก่งกาจเช่นข้า"
ซูจินีตอบว่า "ท่านอาจารย์ก็เหมือนกัน มีลูกศิษย์ที่ฉลาด ๆ แบบข้าไง"
เมื่อหยุดพักในถ้ำ ซูจินี ช่วย ฮยอนโก ก่อไฟ และสั่งให้ ฮยอนโก ช่วยบังลมให้หน่อย ฮยอนโกก็กุลีกุจอขนก้อนหินมาทำกำบังกั้นลม ทำไปคุยไป ก้อนหิน เลื่อนไหลหล่นลงมา
ซูจินี ส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาอาจารย์ บ่นขึ้นว่า “เขาทำให้ข้าเป็นห่วง" แล้วก็ไปนอน
ฮยอนโก ก็แสนห่วงมาห่มผ้าให้ (เป็นทั้งอาจารย์ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ให้) แล้วนั่งมองศิษย์รัก หวนนึกถึงคำสั่งเสียของหัวหน้าคนก่อน ว่า "หากซูจินี เป็นนกฟินิกซ์ดำ ฮยอนโก ต้องฆ่าซูจินี ทันที ไม่ให้เกิดเภทภัยกับคนอื่น"

ชื่อของ "ซูจินี" ได้มาจากการ ระดมสมอง ของหัวหน้าฮยอนซู ผู้ติดตามหัวหน้า พี่เลี้ยงของเด็กน้อย 2 คน และคณะฮยอน ทั้งหลายที่มารุมดูความน่ารักของเด็กน้อย หัวหน้าตั้งความหมายเป็นโจทย์ไว้ก่อนแล้วค่อยหาชื่อมาใส่
มีความหมาย ถึง อะไรที่มีปีก คุ้นเคยกับคน และรู้จักการแบ่งปันความรู้ เสนอชื่อ โดยพี่เลี้ยงคนหนึ่ง ที่มิใช่ ฮยอนโก ในตอนที่ 18 ซูจินี ทูล ทัมด๊กว่า ชื่อซุจินี หมายถึงนกเหยี่ยวที่ถูกเลี้ยงให้เชื่อง และมีอิสระที่จะบินไปมาในท้องฟ้า หากมีคนพยายามจะจับนกนี้ หรือฝืนความตั้งใจของนก นกนี้ก็จะตายอย่างรวดเร็ว


Copyright @Amornbyj & SUE 2008