Friday, May 30, 2008

หวูฉี่ ปรมาจารย์ตำราพิชัยสงคราม หวูจื่อ

ขอเล่าประวัติ ปรมาจารย์ตำราพิชัยสงคราม หวูจื่อ เพิ่มเติม
เพราะ มีเรื่องราวที่สัมพันธ์ กับ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ของเรา
หวูฉี่ เกิดที่รัฐเว้ย เมื่อเข้าศึกษาที่สำนักเจินจื่อ (สานุศิษย์ของขงจื่อ)เขาโด่งดังเพราะคำคมที่ว่า
“ข้าพเจ้าจะต้องสำรวจตรวจสอบตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง”
เนื่องจากมารดาตนเองถึงแก่กรรม แต่หวูฉี่ ไม่ได้เดินทางไปเคารพศพเพื่อแสดงความกตัญญู เป็นการฝ่าฝืนจารีตประเพณีของสำนัก หยูเจีย (ที่ถือเอาเมตตาธรรมเป็นอำนาจ) จึงถูกขับออกจากสำนัก การที่หวูฉี่ ยึดถืออำนาจเป็นธรรม เป็นแนวทางสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและสร้างแสนยานุภาพให้เกรียงไกร ก็เริ่มมาจาก ผลกระทบด้านความคิดของสำนักหยูเจีย นี่เอง


Copyright@Amornbyj

เขาไปรับราชการที่ ที่รัฐ หลู่ (ทางภาคใต้ของมณฑลชานตงในปัจจุบัน) ขณะนั้นรัฐ ฉี มักยกทัพมารุกรานรัฐหลู่ อยู่เสมอ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นขุนพลนำทัพ แต่ภรรยาของหวูฉี่ เป็นคนรัฐ ฉี จึงมีคนคัดค้าน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่คิดคดต่อรัฐหลู่ เขาจึงฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อตีทัพรัฐฉี แตกพ่ายไป เขาก็ถูกศัตรูทางการเมืองโจมตี ในที่สุด ก็ออกไปจากรัฐหลู่
และไปอยู่กับ เว้ยอุ๋นโหว อ๋องแห่งรัฐเว้ย (ก่อน ค.ศ.445-396 ปี) (รัฐเว้ยอยู่ระหว่างมณฑลเหอเป่ยและมณฑล ซานซี ในปัจจุบัน) ได้เป็นขุนพลนำทัพ และตีรัฐ เฉิน ที่เกรียงไกร ทางด้านทิศตะวันตก ยึดเมืองได้ 4 เมือง อ๋อง เว้ยอุ๋นโหว แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ซีเหอ ฐานปฏิบัติการแนวหน้า คอยต้านกำลังรัฐฉิน และได้ยกทัพรบกับบรรดารัฐต่างๆ ถึง 76 ครั้ง ได้ชัยชนะมา 66 ครั้ง นอกนั้นเป็นการเจรจาสงบศึก และได้ขยายอาณาเขตไปถึง พันลี้
ต่อ มา อ๋องเว้ย ถีงแก่กรรม มีราชบุตร อู่โหวสืบต่อ อำนาจ(395-370 ) ปีก่อนคริสตศักราช และถูกอัครเสนาบดีรัฐเว้ยริษยา วางแผนใส่ร้าย ต้องหนีภัย ไปอยู่รัฐฉู่
อ๋องรัฐฉู่ ครองอำนาจ ในปี ก่อน ค.ศ.410-341 ปี แต่งตั้งให้เป็น อัครเสนาบดี หวูฉี่ ตอบสนองบุญคุณ ที่ อ๋องรัฐฉู่ รู้คุณค่าของเขา จึงยกทัพไปปราบรัฐ แว่ทางใต้จนสงบราบคาบ ทางเหนือ ก็ผนวก รัฐเฉินและรัฐไฉ ยกทัพ ไป ตอบโต้กองกำลังทหารของรัฐ เฉา รัฐเอ้ย รัฐ หั้น จนถอยร่นกลับไป ทางทิศตะวันตก ก็ยกทัพไปโจมตี รัฐฉินอันเกรียงไกร โดยได้ชัยชนะมาตลอด จนเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผู้ครองนครรัฐต่างๆ
แต่ความสามารถจริงๆของ หวูฉี่ คือด้านการปกครองภายในประเทศ ระบบการปกครองได้ก้าวออกจากระบบศักดินาไปสู่ระบบการปกครองรูปอำเภอและเขต บรรดาเจ้าขุนมูลนาย ที่ได้รับศักดินาและยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่กินบรรดาศักดิ์นี้ได้ 3 ชั่วคน พากันเดือดร้อนและต่อต้าน เพราะหวูฉี่ต้องการกำจัดอภิสิทธิ์ในการสืบช่วงศักดินา มุ่งมั่นสร้างประเทศชาติให้เข้มแข็ง เมื่ออ๋องแห่งรัฐ ฉู่ สิ้นชีวิตลง พวกเจ้าขุนมูลนาย พากันรุมเข้าตีหวูฉี่ หวูฉี่ ได้ล้มตัวลงทับศพ อ๋องแห่งรัฐฉู่ และเขาถูก เกาทัณฑ์ยิงตาย ลูกเกาทัณฑ์นี้ยิงเขาทะลุเข้าไปในศพของอ๋องรัฐฉู่ เป็นเหตุการณ์ในปี ก่อนคริสตศักราช 381 ปี หวูฉี่จึงสิ้นชีวิตเพราะเหตุนี้ เมื่อ ราชบุตร จั๋นขึ้นสืบบัลลังก์ต่อ ได้นำตระกูลเจ้าขุนมูลนายเชื้อสาย อ๋องของรัฐฉู่ ที่ยิงเกาทัณฑ์ ใส่ศพของอ๋องรัฐฉู่ มาประหารชีวิต 70 กว่าตระกูลด้วยกัน

หนังสือประวัติศาสตร์ สื่อจี้ ได้วิจารณ์หวูฉี่ ว่า “ เพื่อที่จะออกไปแสวงหาลาภยศสักการ เขาก็เลยต้องจากมารดาของตน และสังหารภรรยาของตน
มีการกล่าวอีกว่า เป็นนักลัทธิเจ้าขุนมูลนายที่บูชาลัทธิรูปแบบเป็นเอก ในเรื่องนี้ หันเฟยจื่อ ได้กล่าวสอดแทรกถึง หวูฉี่ไว้ดังนี้
หวูฉี่ ได้เอาแถบผ้าแถบหนึ่งให้ภรรยาดู แล้วบอกให้ภรรยาถักตามแถบผ้านี้ หลังจากถักแล้ว ภรรยาถักได้ดีกว่าตัวอย่าง หวูฉี่เดือดดาลมาก ดุภรรยาว่า ข้าต้องการให้ท่านถักตามแบบนี้ แล้วทำไมท่านไม่ถักตามแบบนี้เล่า ภรรยาตอบว่า ผ้า 2 ชิ้นเหมือนกัน เพียงแต่ข้าพเจ้าได้ใช้ความพยายามมากไปบ้างเท่านั้น หวูฉี่เลยหย่ากับภรรยาด้วยเหตุผลนี้
มีการกล่าวว่าเขาเป็นนักลัทธิถืออำนาจเป็นธรรม(คือฝาเจีย) ที่เหี้ยมโหด ซือหม่าเซียน นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ได้กล่าวว่า” หวูฉี่เป็นคนใจดำอำมหิต ก็เลยต้องประสบความหายนะเพราะเหตุดังกล่าวนี้เอง”

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว หวูฉี่ เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ แต่ในยุคที่เขาเป็นใหญ่นั้น บรรดาเจ้าผู้ครองนคร ยกทัพรบราฆ่าฟันกันเป็นว่าเล่น จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ประชาชนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า โดยที่ทุกคนต่างก็ปรารถนาจะเห็นบ้านเมืองสงบราบคาบ รวมเป็นจักรวรรดิผืนแผ่นดินเดียวกัน ยุคสมัยอยู่ในระหว่างเปลี่ยนแปลง อุดมการณ์ของนักลัทธิ ถืออำนาจเป็นธรรม ต้องการขจัดการปกครองในรูปแบบการสืบทอดวงศ์ตระกูล ปกครองบ้านเมืองด้วยอำนาจเป็นธรรม แล้วมุ่งไปสู่เป้าหมายรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว หวูฉี่ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาขุนพลกองหน้าดังกล่าวนี้ ต่อมาเหตุที่พระเจ้า จิ๋นซี ฮ่องเต้ สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นจักรวรรดิผืนแผ่นดินเดียวกันได้นี้ก็เพราะเป็นดอกผลที่เกิดจากการกระตุ้นของความคิดของพวก ฝาเจีย หรือพวกนักลัทธิ บูชาอำนาจเป็นธรรม ทั้งหลายนั่นเอง

“ อันคนเรานั้นย่อมมีจุดเด่นและจุดเสีย” นี่เป็นบทเร้าใจของหวูฉี่ที่ได้กล่าวไว้

ท่านผู้อ่าน คงสงสัย ว่า เอาเรื่องประวัติ หวูฉี่ มาเล่า กันทำไม ไหนว่าเกี่ยวกับ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ แล้ว มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน ที่อ้างว่า ทัมด๊ก ใช้ตำราพิชัยสงคราม ของหวูฉี่ ก็เล่าไปแล้ว ในส่วน การศึกของทัมด๊ก ....ก็...เป็นเพราะว่า ครั้งที่แล้ว ยังเล่าไม่หมด นั่นเอง เพราะเห็นว่า เรื่องนี้ ยาวมาก เลยต้อง ตัด เป็น 2 ตอน มาเข้าประเด็น กันดีกว่า
ในช่วงที่หวูฉี่ รับราชการกับ อ๋อง เว้ยอุ๋นโหว ได้ มีข้อสนทนากับ ราชบุตร อู๋โหว (หวู่โหว) ในตำราพิชัยสงครามใช้หัวข้อว่า “ พึงสังเกตดินฟ้าอากาศ และทิศทางลม”
ราชบุตร อู๋โหว (หวู่โหว) ถามว่า อันกองทัพนั้น จะบุกก็ดี จะถอยก็ดี มีหลักประการใดบ้าง ?
หวูฉี่ ได้ตอบว่า อันพื้นภูมิที่มีลักษณะเป็น “ เตาเผา” หรือ “หัวมังกร” ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะพื้นภูมิ “เตาเผา” เป็นทางเข้าของหุบเขาใหญ่ และพื้นภูมิ “หัวมังกร” เป็นตีนเขาใหญ่ พื้นภูมิเช่นนี้ไม่เหมาะกับการปฏิบัติการของกองทัพขนาดใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะอาจจะถูกโจมตีได้ง่าย
อันตำแหน่งการปฏิบัติการของกองทัพนั้นจักต้องกำหนดให้แน่นอน อันกองกำลังที่เสียเปรียบทางด้านชัยภูมิ ก็ให้เข้าเผด็จศึกหรือเข้าตีได้

กองธงมังกรเขียวจักต้องประจำอยู่ด้านซ้าย กองธงพยัคฆ์ขาวจักต้องประจำอยู่ด้านขวา กองธงนกกระจอกแดงต้องประจำอยู่ด้านหน้า กองธงเต่าดำจักต้องประจำอยู่ด้านหลัง กองชูธงสัญญาณอยู่ใจกลางกองทัพ ขุนพลผู้บัญชาการรบอยู่ใต้ธงสัญญาณ คอยออกคำสั่งการสู้รบ

ในขณะที่สัประยุทธ์นั้น พึงจักต้องพิจารณาทิศทางลม ถ้าเป็นการคล้อยตามลมพึงจักต้องกู่ร้องโหมตะลุยเข้าตีข้าศึก หากเป็นการทวนลมพึงจักต้องปักหลักยืนมั่นรอคอยจังหวะเข้าโจมตีข้าศึก

คัดลอกจาก ซุนวู ฯ ของคุณเธียรชัย เอี่ยมวรเมธ

และ จากหนังสือ นี้ คนเล่าเรื่อง ปรับชื่อ จาก หนังสือ หน้า 17เช่น รัฐเอ้ย เป็น เว้ย ตาม หน้าที่121 อ๋อง เอ้ยหวุนโหว เป็น เว้ยอุ๋นโหว ตามหน้าที่ 122 และราชบุตร อู่โหว กับราชบุตร หวู่โหว ต้องขออภัย ท่านนักเขียนหนังสือเล่มนี้ มา ณ ที่นี้

ศักดินา คือ อำนาจปกครองที่นา ( ของไทยเราก็มีระบบนี้ )

( มังกรเขียว ในบทนี้ ที่เกาหลี ก็น่าจะคือมังกรน้ำเงิน และนกกระจอกแดง ก็น่าจะเป็น ฟินิกซ์แดง )

เป็นการขยายความบางส่วนที่ คุณ Roytavan ได้ กล่าวถึง ตำราพิชัยสงครามนี้ ในตอนท้าย ๆ ของเรื่อง เสือขาว หรือพยัคฆ์ขาว เมื่อ 28/05/08 และ เรื่อง เทพผู้พิทักษ์ทั้ง 4 กับตำราพิชัยสงครามเรื่องทิศทางในการเดินทัพ (มังกรน้ำเงิน) เมื่อวันที่ 18/05/08

และบางที คุณ Roytavan อาจจะมีรายละเอียดอื่น ๆ มาเล่าเสริม แต่คงอีกสักระยะ เพราะว่า....

ในระยะ 2-3-4 วันนี้ บรรดา แฟนคลับ ของ คุณ เบ ยองจุน ไม่เป็นอันจทำอะไรกัน เนื่องจาก นับแต่เมื่อวาน วันที่ 30 พฤษภาคม 2551 พวกเรา ทุกคน ตื่นเต้น เป็นสุข ปลาบปลื้ม ยินดี กับข่าวคราว ความเคลื่อนไหว ของ คุณ เบ ยองจุน นับแต่ ไปถึง สนามบิน นานาชาติ อินชอน ของเกาหลีเมื่อตอน บ่าย 2 โมง กว่า เพื่อเดินทาง อย่างเป็นทางการ ไปประเทศ ญี่ปุ่น เพื่อไปร่วมงาน TWSSG Premium Event ที่เมืองโอซาก้า เมื่อ เวลา 4 โมงเย็นกว่า ที่สนามบิน Kansai ของเมือง โฮซาก้า ที่มีแฟนคลับ ไปรอรับคุณ เบ ยองจุน ผู้เป็นที่รัก ของ พวกเขา ของพวกเรา และของคนเกือบทั่วโลก ไม่มีเพศ วัย เชื้อชาติ ศาสนา มีเพียงหนึ่งเดียว คือ BYJ FAMILY ปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นตลึง ในอดีต เมื่อ ปี 2004 ที่ คุณ เบ ยองจุน กลายเป็น ท่าน ยอน-ซามะ ของชาวญี่ปุ่น กลายเป็นเรื่อง ที่ หลายวงการตื่นตัว เข้ามาศึกษา วิจัย ค้นคว้า ว่า เหตุใด คุณ เบ ยองจุน จึงทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้ แม้แต่ มหาวิทยาลัย โด่งดังของโลก หลายๆ แห่ง ต้อง ทำการวิจัย ค้นคว้า รวมถึง ที่บ้านเรา ทั้งจุฬา ธรรมศาสตร์ ต้องจัดสัมมนา กันมาแล้ว

แฟนคลับ 4 พัน กว่าคน ที่เคยไปสร้างปรากฏการณ์ รอรับ คุณ เบ ยองจุน ที่สนามบิน นาริตะ ปี 2004 เมื่อ เวลาผ่านไป อีก 3 ปี ณ สนามบิน Kansai กลายเป็น 6 พันคน รอบนอกสนามบิน และในสนามบินเอง ต้องมีบัตร วี ไอพี จึงจะเข้าได้ อีก พันคน ต้องใช้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 400 คน และมีนักข่าวจำนวน มาก ๆ (จนไม่กล้าบอกว่าเท่าไร )รอทำข่าว มีแฟนคลับไปรอ กันตั้งแต่ วัน ที่ 28 พฤษภาคม เพื่อจับจอง ว่า ตัวเอง จะอยู่มุมไหนดี ที่จะทำให้ มองเห็น บุคคลอันเป็นที่รักของบรรดาพวกเขา แล้ว ไม่นานหลังจาก คุณ เบ ยองจุน ได้สัมผัสพื้นแผ่นดิน โฮซาก้า ทุก WEB ของครอบครัว BYJ ก็คึกคัก ด้วย ภาพ ด้วยข่าว ที่ส่งถึงกันอย่างรวดเร็ว และสายโทรศัพท์ ที่ส่งข่าว ที่ตัวเอง เปิดจอคอม พบเห็น
ทุกคนปลื้มปิติ ยินดี มีความสุข ที่ BYJ ยังครอบครอง พื้นที่ในห้วงดวงใจของชาวญี่ปุ่น สนิท แนบแน่น ไม่เสื่อมคลาย และกลับทวีจำนวนดวงใจของคนที่รัก BYJ มากขึ้นตามวันเวลา

ดังนั้นต้องขอ อภัย หลาย ๆท่าน ที่เข้า มาอ่านเรื่องย่อของละคร แล้ว รู้สึก ว่า การเล่าเรื่องย่อ ไม่คืบหน้าเลย ได้โปรดให้ อภัย และโปรดเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ คณะทีมงาน กันสักนิดเถิดนะ

Thursday, May 29, 2008

การศึก ของทัมด๊ก

ตำราพิชัยสงคราม ของจีน

ฉบับที่ ผู้เล่า กำลังยกมาเล่านี้ กล่าวว่า สมัยโบราณของจีน ยุคสมัย จั้นเก๋าะ หรือสมัยกลียุค เป็นยุคที่บรรดาเจ้าผู้ครองนครรัฐ ต่างๆ เกือบ ร้อยรัฐ ยกทัพรบราฆ่าฟันกันอย่างเมามัน ตำราพิชัยสงครามบางเล่ม ได้เขียนในระหว่างราชวงศ์ฮั่นและต้นราชวงศ์ถัง

จั้นเก๋าะ เป็นยุคก่อนสมัยคริสตศักราช 5 ศตวรรษ หรือ 3 ศตวรรษ ในช่วงเวลา ก่อน 200 ปี ของสมัย จั้นเก๋าะ มีสงครามบันทึกไว้ มากกว่า 23 0 ครั้ง ผลที่สุดทำให้ นครรัฐ 100 กว่ารัฐ ก่อนสมัย ชุนชิว ถูกกลืนกลายเป็น 7 รัฐมหาอำนาจ และในที่สุดก็ถูกรัฐฉิน กลืนกลายเป็นจักรวรรดิผืนแผ่นดินเดียว

ในสมัยชุนชิว มีการใช้หอก หลาว ง้าว ดาบ ทำจากทองเหลือง ต่อมาเป็นเหล็ก มีการประดิษฐ์เครื่องกล การรบ รบด้วย รถรบ (รถที่มีม้าลาก) ผู้บัญชาการรบ เป็นเสนาบดีผู้ดีทั้งหลาย นั่งรถสั่งการ ยุคจั้นเก๋าะ มีการใช้ทหารราบ ทหารม้า มีการทำสงครามกลางสมรภูมิ และสงครามโอบล้อม พวกชาวนากลายเป็นกำลังทหาร การสงครามเป็นรูปแบบใหญ่กว่าเดิม

ยุทธสงครามที่ขุนเขา อีแซ (อยู่ปลายแม่น้ำเหลืองในมณฑล ซานชี) ก่อน ค ศ. 292 ปี กองทหารรัฐฉิน จับกองทหารรัฐ หั้น และเว่ย ที่รบแพ้ 240,000 คน ตัดหัวสังหารเรียบวุธ การรบที่เมืองฉางผิง เป็นยุทธการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของสมัย จั้นเก๋าะ (262-2 ปี ก่อน คศ.) ทหารรัฐฉิน นำทหารรัฐ เฉา ที่ยอมจำนน จำนวน 400,000 คน มาฝังทั้งเป็น การทำสงครามมักยาว นาน 1 ปีขึ้นไป

ในยุคชุนชิว ประมุขผู้ครองนครรัฐ หรือบรรดาเสนาบดี จะออกบัญชาการรบเอง แต่ในสมัย จั้นเก๋าะ จะมีขุนพลผู้ชำนาญการรบ ทำหน้าที่บัญชาการรบ
การจะอาศัยฝีมือและกลอุบายเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่มีทางเอาชนะศึกได้ กลุ่มนักปราชญ์ สำนัก นักคิดต่างๆ ที่ใช้ความคิดทางการเมือง เที่ยวเจรจาโน้มน้าว บรรดาประมุขของรัฐ จึงเกิดมีผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านทฤษฎีการทหาร และเกิดนักการทหาร

ต่อมา ปันกู่ นักประวัติศาสตร์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง (ค.ศ 32-92 ) ได้เรียบเรียงหนังสือ “บันทึกวรรณคดียุคฮั่น” ได้บันทึกรายชื่อหนังสือเก่าแก่ที่สุดของโลก ที่เหลือมาปัจจุบัน มีรายชื่อ 600 กว่าชนิด เฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม มีมากถึง 53 ชนิด น่าเสียดายว่า ได้เหลือไว้แต่ แค่ชื่อหนังสือเท่านั้น ตัวหนังสือตำราพิชัยสงคราม แท้ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ตกทอดมาถึงปัจจุบันเลย
กล่าวกันว่า ต้นราชวงศ์ฮั่น 200 ปี ปันกู่ หนังสือตำราพิชัยสงครามต่างๆ ถึงสมัย จั้นเก๋าะ เป็นต้นมา ที่เตีย เหลียง และหั้นสิ้น ขุนพลผู้สร้างจักรวรรดิ ให้แก่ พระเจ้า ฮั่นเกาโจว ได้นำมาชำระและเรียบเรียงใหม่ ก็มีมากถึง 128 ประเภท

มาทำความรู้จัก กับนักปราชญ์จีน เจ้าของตำราพิชัยสงคราม ที่คนเล่า คิดว่า เป็นต้นแบบของ คุณซงจีนา และคุณ ปาร์คคยองซู คนเขียนบท ของ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ที่นำมา ใช้เป็น การ ทำศึก ของ ทัมด๊ก สักเล็กน้อยก่อน

1.ซุนจื่อ
ท่านซุนที่ถูกยกย่องให้เป็นนักการทหารที่ยิ่งใหญ่ มีอยู่ 2 คน
ซูนอู่ เป็นคนยุคเดียว กับขงจื้อ และอีกคนคือซุนปิน เป็นคนรุ่นหลังอีกประมาณ 100 ปี เป็นคนรุ่นเดียวกับ เม่งจื้อ สมัย จั้นเก๋าะ
ซุนอู่เป็นขุนพลของรัฐฉี (ปัจจุบันคือมณฑล ชานตง) ในปลายยุค ชุนชิว เป็นขุนพลของเฮอลู่อ๋องได้นำตำรานี้เสนอต่อเฮอหลูประมุขรัฐฉี ครองราชย์ระหว่างก่อนคริสต์ศักราช514-490
ซุนปิน เป็นกุนซือของ เอยอ๋องแห่งรัฐฉี ใน สมัย 7 รัฐ มหาอำนาจแห่งยุคจั้นเก๋าะ
ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ เป็นตำราพิชัยสงครามเก่าแก่ที่สุดของจีน เนื้อหายอดเยี่ยมเลิศล้ำ ซุนจื่อ เป็นปรมาจารย์ที่ค้นคว้าหลักเกณฑ์แห่งสงคราม เน้นหนักการวินิจฉัยด้าน ภววิสัย สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ ใช้หลักเหตุและผลพิจารณา แผนที่จะเอาชนะข้าศึกได้อย่างปลอดภัย ( ภว = ความเกิด ความมี ความเป็น) แต่ก็ถูกวิจารณ์ ในเรื่อง เล่ห์เพทุบาย แต่ก็ มีผู้กล่าวว่า นั่นเป็นการพลิกแพลงกฎเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธี ต่างหาก

2. หวูจื่อ
ตำราพิชัยสงครามของหวูจื่อ เป็นหนึ่งในหนังสือรวมบทนิพนธ์ของหวูฉี่ อัครเสนาบดีของรัฐฉู่ ในต้นสมัย จั้นเก๋าะประมาณ 2,400 ปีก่อน
หวูฉี่เกิดหลังสมัย ขงจื่อ ประมาณ ครึ่งศตวรรษ ที่รัฐเว่ย (อยู่ทางภาคใต้ของมณฑลเหอนานในปัจจุบัน) เกิดก่อน เม่งจื่อ และซุนปิน เคยเป็นศิษย์สำนักเจินจื่อ สานุศิษย์ของขงจื่อ เจินจื่อเป็นศิษย์รุ่นท้ายๆของขงจื่อ มีอายุอ่อนกว่าขงจื่อ 46ปี หวูจื่อ ไปอยู่หลายรัฐจนมาถึงรัฐฉู่ (ในช่วง ก่อน ค.ศ. 445-396 , 395-370 , 410-341 คือ ปี ที่ประมุขแต่ละรัฐครองอำนาจ) ว่ากันว่า หวูฉี่ เป็นคนใจดำอำมหิต หวูฉี่ จะมุ่งมั่นไปข้างหน้าอย่างมั่นใจด้วยอารมณ์คึกคะนอง ไม่ระย่อท้อถอย ตำราพิชัยสงครามหวูจื่อ จะพูดตรงไปตรงมา มากกว่าตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ แต่ในด้านลึกของประสบการณ์ชีวิตและการเข้าใจชีวิตจิตใจของคนอื่นนั้น หวูฉี่ย่อมสู้ ซุนอู่ไม่ได้

ตำราพิชัยสงครามหวูจื่อและตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ ถูกยกย่องเคียงคู่กันมาโดยตลอด โดยทั่วไปจะรวมเรียกว่า ตำราพิชัยสงครามซุนหวู หรือซุนวู

3. ตำราพิชัยสงครามของ หวีเหลี้ยวจื่อ (นักการทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้ แห่งรัฐฉิน) ก่อนคริสต์ศักราช 237 จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงรวบรวมอาณาจักร 7 รัฐมหาอำนาจ
ความคิดพื้นฐานของหวีเลี้ยวจื่อ ถือว่า สงครามเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ ปรารถนา แต่ถ้าเป็นสงครามที่รบเพื่อธรรม ที่ทุกคน สามารถ มองออกแล้ว ก็จักต้องเปิดฉากทำสงครามเข้าพิชิตก่อนอย่างฉับพลันทันที เป็นทฤษฎีการรบ ที่ยึดมั่นในหลักยุทธวิธี ที่ตรงไปตรงมาและสง่าผ่าเผย ปราศจากเล่ห์เพทุบาย เป็นนักการทหารยึดมั่นในหลักยุทธวิธี
( มีละคร เรื่องจิ๋นซีฮ่องเต้ ฉาย ใน ทีวีบ้านเรา จะเห็นชัด กับ หวีเหลี้ยวจื่อ นักการทหาร ที่ดูมีคุณธรรม เมตตาธรรม ขัดแย้งกับ จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่โหดร้าย ป่าเถื่อน จริงๆ เกือบตลอดเวลา แต่ ก็ดู จิ๋นซีพระองค์นี้ เป็นพระเอก เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัว ฆ่าคนแบบไม่ต้องกระพริบตา แต่ก็ น่ารัก ดี เหมือนกัน จะบอกให้.... (ดีกว่า จิ๋นชี เวอร์ชั่น อื่นๆในความรู้สึกของคนเล่า) แม้จะโหดๆ เถื่อนๆ ก็ ยังดูดี ถ้าใครไม่ได้ดู ก็จะดู หวีเหลี้ยวจื่อไม่ทันแล้ว เพราะ พอรวม 7 รัฐ เสร็จ ก็ กราบบังคมทูลขอลาออก แต่ จิ๋นซี ฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาต พอสบโอกาสก็ เปิด แน่บ ฝาก สหาย ชื่อ หลี่ซือ กราบบังคมทูลลา แทน หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว เหลือแต่ผลงาน ความสำเร็จ คนแสดงก็แสดงดีเสียด้วย)

4. ตำราพิชัยสงครามของ ซือหม่าฝา แห่งรัฐ ฉี ในสมัยชุนชิว (กลียุคของจีน ที่รัฐต่างๆ แย่งความเป็นใหญ่ก่อนที่จื๋นซีฮ่องเต้รวบรวมอาณาจักร)
กล่าวกันว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นของ เถียนหลางจวี ขุนพลใหญ่รัฐ ฉี ยุค อ๋องฉีจิ้นกงเป็นประมุข รัฐฉี ก่อน คริสต์ศักราช 6 ศตวรรษ รัฐฉีเป็นรัฐใหญ่ด้านทิศตะวันออกในยุคที่ ซุนซิวจั้นเก๋าะ กำลังรุ่งเรืองเต็มที่ อ๋องฉีจิ้นกง ครอบครองรัฐฉี นานถึง 58 ปี ขงจื่อ ก็อยู่ในยุคนี้
คำว่าซือหม่าคือ ตำแหน่งแม่ทัพ ในสมัยราชวงศ์ โจว ต่อ มาได้กลายเป็น แซ่ ของขาวจีน
“ซือหม่าฝา” เข้าใจว่าเป็นตำราพิชัยสงครามของแม่ทัพผู้คุมทัพในสมัยราชวงศ์โจว ไทกงหลี่อ้วนนักการทหารของราชวงศ์โจว ได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ ไปกินเมืองฉี เมื่อตกทอดไปถึง เถียนหลางจวี ๆ ก็ได้รวบรวมขึ้นใหม่ ก่อน คริสต์ศักราช 4 ศตวรรษ เอ้ยอ๋องแห่งรัฐฉี ได้นำเอา ซือหม่าฝา สมัยโบราณ มาเรียบเรียงใหม่ เป็น ซือหม่าฝา โดยแทรกเสริมตำราพิชัยสงคราม ของเถียนหลางจวี เข้าไปด้วย เนื้อหามีคำคมอยู่ไม่น้อยทีเดียว เป็นคติพจน์ของตำราพิชัยสงคราม

5. ตำราพิชัยสงครามของหลี่เว้ยกง (ตำรานี้เกิดจาก ข้อสนทนาของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ ถัง จักรพรรดิองค์ที่ 2 กับขุนพลหลี่เว้ยกง (ลีเจ๋ง )ยอดขุนพลราชวงศ์ถัง ในต้นศตวรรษที่7
จักรวรรดิต้าถัง เจริญรุ่งเรืองต่อจากราชวงศ์ สุย จากศตวรรษที่ 7 ถึง ศตวรรษที่10 วัฒนธรรมและวรรณคดี เจริญเฟื่องฟูถึงขีดสุด หลี่เว้ยกง ได้ช่วยพระเจ้าถังไทจง ปราบอริราชศัตรูและเสี้ยนหนามของแผ่นดินราบคาบ เนื้อหาของตำรานี้ขาดข้อเสนอที่เด็ดขาดของตัวเอง แต่ก็พอจะถือได้ว่า เป็นการเก็บสาระสำคัญของตำราพิชัยสงคราม ฉบับต่างๆ ของ สมัยโบราณ
(ข้อมูลจากหนังสือ ซุนวู ตำราพิชัยสงคราม 7 คัมภีร์ ของ เธียรชัย เอี่ยมวรเมธ )

คงมีหลายคนรู้สึกว่า ทัมด๊ก เป็นกษัตริย์ที่โอเวอร์เกินไปไหมที่เป็นกษัตริย์ติดดินคลุกคลีกับคนชั้นล่าง เช่นบาซอน ดัลบี จูมูชิ ทหารชั้นผู้น้อยต่างๆ คิดว่ามีคำตอบให้ ว่าจำเป็นอย่างยิ่ง คุณซงจีนา เริ่มต้นเรื่องไว้ว่า กษัตริย์ หยาง พระบิดาแทบไม่มีอำนาจทางทหาร แม้แต่การจะปกป้องคุ้มครององค์ชายรัชทายาทในการขึ้นครองราชย์ มีเพียง ขุนพล โก อูซุง และกองทหารราชองครักษ์ พันกว่านายเท่านั้นที่จงรักภักดี ในขณะที่ตระกูลยอน ควบคุมอำนาจทั้งการค้า และการทหารเกือบทั้งหมด และยังใช้เงินจ้างทหารอาสาสมัครที่สนับสนุน ยอนโฮแก ได้ไม่อั้น ทัมด๊ก จะทรงทำอย่างไร อีกทั้ง ทัมด๊ก ไม่ทรงรู้ว่าทรงเป็นกษัตริย์จูชิน ที่มีบารมีสวรรค์ของเทพ ฮวานอุง คอยปกป้องคุ้มครอง แต่สิ่งที่ ทัมด๊ก มี คือ ความฉลาดปราดเปรื่อง น้ำพระทัยที่อ่อนโยนไม่ถือองค์ รักประชาชนเป็นพื้นฐาน เมื่อทรงพระเยาว์ก็โปรดที่จะแอบออกจากวังและคลุกคลีกับเด็กๆ และชาวบ้านทั่วไปที่ตลาด

ทุกอย่างที่ปรากฏในละคร มาจากตัวตนตาม concept ของ ทัมด๊ก และการใช้กลยุทธ์ที่ศึกษาได้จากตำราพิชัยสงคราม พลิกแพลงด้วยปฏิภาณไหวพริบให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หากเปรียบง่ายๆ กับสิ่งที่คนไทยมี และเรารู้จักกันดี คือมวยไทย นั้น ที่คนเล่ารู้สึกว่า ทัมด๊ก ใช้แม่ไม้มวยไทย แต่กษัตริย์องค์อื่น คนเขียนบท (จูมง และ อาชาง หรือคิงมู ในซอยองโด) ใช้ มวยวัดบวกดวงดี ( รู้สึกมีก้อนหินหลายก้อน ขว้างมาโดนศีรษะ แต่ไม่เป็นไร คนเล่าก็มีของดี คือยันต์กันหัวแตก ) จูมง มีแนวร่วม คือประชาชนผู้อพยพ ที่ไม่มีแผ่นดินเป็นของตัวเองแตกกระสานซ่านเซ็นอยู่ตามดินแดนต่างๆ มีโจทย์ที่ต้องตีให้แตก และใช้เป็นคาถาโอมอ่านเรียกระดมพลประชาชนให้มาร่วมกัน นั่นคือการ ต่อต้านฮั่น ไล่ฮั่นออกไปจากคาบสมุทรเกาหลี และประสบผลสำเร็จคือขับไล่ฮั่น ออกไปได้ คนเล่าอาจเข้าใจผิดเองก็ได้ ที่ว่าสำเร็จคือการฆ่าท่านเจ้าเมือง เหลียวตง ที่ฮ่องเต้ฮั่นทรงแต่งตั้งมาดูแล เจ้าเมืองเมืองเหลียวตงคนสุดท้ายตอนจบชื่อหวังจาคุง หรือจาคุง (ที่เขียนมานี้ เรากำลังพูดถึงบทละคร เท่านั้น) มีคนมารวมตัวเป็นทหารให้องค์ชายจูมงมากมาย
ส่วน ทัมด๊กเอง ประชาชนโคคุเรียว นั้นพากันเข้าใจว่า ยอนโฮแก ต่างหาก คือกษัตริย์จูชิน
ทัมด๊ก ทรงได้รับการศึกษา ทั้งบุ๋นและบู๊ ตั้งแต่เยาว์ชันษา และองค์ชายทัมด๊ก ก็ส่อเค้าความฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อสันนิษฐานว่า ตระกูลยอน วางยาพิษ พระบิดา ทัมด๊ก ก็สอบถามถึงความแข็งแกร่งด้านการทหารของตระกูลยอน เมื่อได้รายละเอียด ก็บอกกับขุนพล โก อูซุง ว่า ข้าจะไม่เริ่มทำสงครามที่อาจจะต้องพ่ายแพ้ นั่นคือกลยุทธ์
1. การออกต่อสู้กับศัตรู ต้องรู้ว่า จะชนะหรือไม่
แล้วองค์ชายก็ยังไปโยนหินถามทางกับยอนโฮแกเกี่ยวกับเรื่องยาพิษ ความคิดของเด็ก 11 ขวบ ก็ไม่เกินจริงสำหรับคนฉลาดอัจฉริยะ ย่อมส่อแวว มาตั้งแต่เด็ก และนี่เป็นเงื่อนไขแรกที่ทัมด๊กใช้ตัดสินพระทัยในการทำสงครามในครั้งต่อๆ มา
เมื่อสิ้นพระบิดาและ ทัมด๊ก รักษาการกษัตริย์เป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อยอนโฮแก จะยกทัพไปทำสงครามกับแพคเจ ทรงเตือน ยอนโฮแก ใน ท้องพระโรงเกี่ยวกับเรื่องของ
2 การทำสัมพันธ์ไมตรี กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้ประเทศเหล่านั้น ส่งทหารมาช่วยข้าศึก(แพคเจ )ทำสงคราม และ ทัมด๊ก เองก็ใช้กลยุทธ์นี้เมื่อไป เขาคอรัล
3.กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมนั้นคือการทำให้ข้าศึกวางอาวุธยอมแพ้ เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
(คือกลยุทธ์ยอดเยี่ยมที่เหนือความยอดเยี่ยม) ทัมด๊ก สามารถยึดป้อมปราการของแพคเจได้หลายป้อมโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
ก่อนเริ่มทำศึก ทัมด๊ก มีรับสั่งกับทหารทั้งหลาย 3 ข้อ ในข้อที่สองที่ว่า
4.ชัยชนะของสงครามขึ้นกับความรวดเร็ว ใน 7 วันต้องยึดป้อมปราการให้ได้ 3 ป้อม ใน 20 วันต้องได้ชัยชนะป้อมปราการ 10 ป้อม (การรบกับข้าศึกต้องโหมกำลังเผด็จศึกอย่างรวดเร็วฉับไว ถ้าปล่อยสงครามยืดเยื้อกำลังใจทหารจะเสื่อมถอย ขวัญเสีย ขาดความทระนง องอาจ)
.เมื่อทรงทราบแน่ชัดว่า ยอนโฮแก ไม่ยกกำลังตีขนาบไล่หลังกองทัพแพคเจ ที่ยกกำลังทหารเสริมกลับมา และกองกำลังแพคเจ เหนือกว่า กองทหารหลวงโคคุเรียวทรงให้ถอยทัพนั่นคือการใช้กลยุทธ์
5.รู้สถานการณ์ ว่า เมื่อใด ควรออกสัประยุทธ์ เมื่อใดไม่ควรสัประยุทธ์ ถ้ากำลังทหารของเราน้อยกว่าข้าศึก เราก็จะวางแผนถอยทัพไว้ล่วงหน้า ถ้ากำลังทหารของเราอ่อนแอกว่ากำลังข้าศึก เราก็จะหาทางหลบหลีกไม่ปะทะกับข้าศึก การใช้กำลังทหารที่ด้อยกว่ายืนหยัดต่อสู้กับกำลังทหารของข้าศึกที่เกรียงไกรกว่า โดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง สภาพแวดล้อมแล้ว ย่อมต้องพ่ายแพ้แก่ข้าศึก
ส่วนตำราของหวูจื่อ ก็บันทึกว่า ต้องมีจังหวะจะโคนในการบุกและการถอย
เมื่อถึงเวลาบุกจึงจะบุก เมื่อถึงเวลาถอยก็จักถอย
และจูมูชิก็ได้เรียนรู้กลยุทธ์นี้และนำไปใช้เมื่อพา บาซอน และ ดัลบี หนีออกจากค่ายทหารของ ยอนโฮแก และใช้อ้างอิงว่า ข้าเรียนรู้มาจากกษัตริย์
6.อันกำลังกองทหารนั้น แม้มีกำลังมากกว่า ก็อย่าผลีผลามบุกเข้าสัประยุทธ์ข้าศึก ต้องวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของข้าศึกได้อย่างถูกต้อง ต้องไม่ขาดความสุขุมคัมภีรภาพและไม่ประมาทกำลังข้าศึก
ทัมด๊กจะพระทัยเย็นมากในการวางแผน หรือสั่งการรบ ทุกครั้ง
เป็นความสุขุมรอบคอบของทัมด๊ก
ทัมด๊กส่งตำราการจัดเสบียงของ ดัลบี ให้ขุนพล โก อ่าน ขุนพล โก มีความเชื่อมั่นในองค์ ทัมด๊กมากเมื่ออ่านจบก็กราบทูลว่า เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทบทวนอีกหม่อมฉันจะจ้างคนคนนี้
ทัมด๊ก ตรัสว่า “ไม่ว่าทหารจะสู้รบได้ดีขนาดไหนหากการสนับสนุนไม่ดีมันก็ไร้ประโยชน์”
ขุนพลโก ปลาบปลื้มใจเพราะตนเองเป็นคนสอน ทัมด๊ก ไว้เอง ทัมด๊ก ทรงถามต่อว่าถ้าข้าทำผิดเล่า?นี่เป็นความผิดของข้าคนเดียวหรือของท่านด้วยที่รับคำสั่งโดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน ขุนพลโกกราบทูลว่า มันเป็นความผิดของหม่อมฉันพะย่ะค่ะ
ทั้ง 6. ข้อข้างต้นนี้ เป็นตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อ เป็นตำราแม่บทนานกว่าพันปี

ในตำราพิชัยสงครามของ หวูจื่อ

1.บทวิเคราะห์ข้าศึกและกำลังของข้าศึก
หมู่บ้านโคมิลมีบทบาทมากในการวิเคราะห์ข้าศึก แม้แต่กองทหาร 4 หมื่นนายของ ยอนโฮแก ก็ได้รับการวิเคราะห์ว่า ยากที่จะได้ชัยชนะต่อแพคเจ (มิใช่ว่ามีกำลังทหารมากจะทำให้ชนะศึกเสมอไป) ทัมด๊ก จึงต้องวางแผนออกไปช่วยแบ่งแยก กองกำลังทหารของแพคเจ ทรงตำหนิ ฮยอนโก และชาวโคมิลว่า ที่ให้เข้ามาในวังนี้ ไม่ใช่ต้องการฟังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พวกท่านบอกเหตุผลว่าทำไมเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะชนะได้อย่างไร บอกข้ามาว่าทำอย่างไร จึงจะได้ชัยชนะ โดยใช้ทหารพวกนี้ และในเวลาที่กำหนดไว้
ป้อมปราการควานมีเป็นป้อมที่มีความสำคัญทางทะเลของแพคเจ เป็นที่ตั้งอู่ต่อเรือที่ใหญ่มาก ชาวยานและชีแห่งจีน และกษัตริย์องค์ก่อนๆของโคคุเรียว ล้วนต้องการเอาชนะ ป้อมปราการนี้ การไปป้อมควานมีทางบกต้องผ่านป้อมปราการอื่น ๆ 30 ป้อม ถ้าจะรบชนะต้องใช้ทหาร 5 หมื่นคน ใช้เวลา 3 เดือน
ถ้าไปทางน้ำ ซึ่งแพคเจมีกองทัพเรือที่ดีที่สุด ถ้าไปตามลำน้ำ จะผ่านป้อมปราการอื่น 10 ป้อมปราการนอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ไปถึงผู้บัญชาการของป้อมควานมีด้วย

2.หลักการเตรียมพร้อม
เมื่อปรึกษาหารือกันเสร็จ ทรงสั่งให้ ฮีกแก แห่งเผ่าจุนโน กลับไปจุนโนก่อน ทรงตรัสว่าเราต้องเตรียมตัวก่อน ข้าไม่สามารถนำพวกท่านไปสู่สงครามโดยไม่ได้เตรียมตัว(ฮีกแก อารมณ์ เดือดพล่าน ตบโต๊ะปัง เตรียมตัว เตรียมสิ่งใดพะย่ะค่ะ สิ่งที่ทรงต้องการ คือการเอาชนะ ไม่ใช่เตรียมตัวชนะ )
ทัมด๊ก ทรงตอบว่า ข้าจะทำตามวิธีของข้า ข้าจะไม่ต่อสู้กับสิ่งที่ข้าไม่ชนะ ทัมด๊ก ทรงมีความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่
การเตรียมการพร้อมของ ทัมด๊ก ในครั้งนี้ เป็นการเตรียม เรื่องปัจจัยของการทำสงครามต่างๆ เช่น กองกำลังทหาร(ให้จูมูชิ ไประดมพล ซีอู) เสบียง พาหนะ อาวุธ โล่ เสื้อเกราะ เป็นต้น แต่การเตรียมการอย่างพร้อมสรรพ ของ หวูจื่อ ทางกลยุทธ์ก็คือการเตรียมการอยู่ตลอดเวลา เสมือนหนึ่งพ้นจากประตูบ้าน ก็จักต้องมีศัตรูคอยจ้องอยู่แล้ว จะเห็นชัด เมื่อจะต้องเสด็จเข้า ปราสาทโกกแนของพระองค์เองโดยนำกองกำลังทหารเข้าไปด้วยไม่ได้ เพราะเทวีพยากรณ์โซคีฮา วางแผนไว้ ทรงคาดการล่วงหน้า ในสิ่งที่ขุนพล โก เอง ยังไม่คาดคิด ทูลถามว่า ทรงเชื่อหรือว่ากองทหารโคคุเรียวจะโจมตีพระองค์ข้างหลัง ( หมายถึงทหารจากป้อมต่าง ๆ นอกปราสาทโกกแน )
ทัมด๊ก ทรงคาดว่า จะมีการแอบอ้างชื่อ สภาเสนาบดี มีคำสั่งปลอมไปยังป้อมปราการต่าง ๆ ทรงให้ฮีกแก ถือตราประจำพระองค์ ไปควบคุมป้อมเหล่านี้ ควบคุม ไม่ให้รับคำสั่งจากบุคคลอื่น รวมทั้ง ให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานจากภายนอก ดังนั้นกองทัพเว่ยเหนือจึงบุกมาที่ปราสาทโกกแน ตามแผนการของแทจังโรไม่ได้ ทรงใช้ประโยคว่าเตรียมการพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด
นอกจากนี้ ยังทรงจำกัดพื้นที่การสู้รบไว้ว่าจะอยู่ที่บริเวณใด และให้ ศิษย์โคมิลไปตีฆ้องร้องเป่าให้ประชาชนในบริเวณ นั้นกลับเข้าเคหสถานของตัวเองเพื่อความปลอดภัย
เมื่อ จะทำการบุกยึดป้อม ซอคคยอนซอง ป้อมปราการแรกของแพค เจ ทรงคาดเดาไว้ว่า ป้อมปราการต้องส่งม้าเร็วออกไปส่งข่าวขอความช่วยเหลือจากป้อมปราการใกล้เคียง ทรงให้ เผ่าซีอู สกัดกั้นการส่งม้าเร็ว ( แล้ว จูมูชิและซูจินีจับตัวม้าเร็ว ไว้ได้ระหว่างทางและปลอมเป็นม้าเร็วแทน )
และในการไปเจรจากับเผ่าต่างๆที่คอรัล ตามเงื่อนไข ของพวกคอรัล เมื่อเผ่าคาราคิตัยแอบเอาพลธนูมาล้อมนอกกระโจม ทัมด๊ก ก็ได้สั่งการไว้กับ ฮยอนโก ไว้ล่วงหน้า ทำให้ไม่เสียเปรียบกับเผ่าต่างๆของคอรัล ด้วยการส่งเสียงแค่ ขู่ขวัญ เท่านั้น (การเตรียมการพร้อมก็เหมือนมีชัย ไปตั้งครึ่งแล้ว)

3.มีความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ และมีเหตุผลประกอบการตัดสินพระทัยเสมอ
ข้าจะทำตามวิธีของข้า ข้าจะไม่ต่อสู้กับสิ่งที่ข้าไม่ชนะ
ในตำราของหวีเหลี้ยวจื่อ ใช้คำว่า จักต้องมีความมั่นใจอยู่ก่อน ถ้าไม่มีแผนจักเผด็จศึก ก็จักไม่คุยเรื่องการรบ ถ้าไม่มีความมั่นใจตีข้าศึกแตก ก็จักไม่พูดเรื่องการบุก

4. จุดอ่อนที่จักต้องตีข้าศึก (แต่ไม่ทรงใช้กลยุทธ์นี้)
หวูจื่อ กล่าวไว้ว่า ต้องพิจารณาจุดอ่อนจุดแข็งความตื้นลึกหนาบางของข้าศึก แล้วจึงเข้าตีจุดอ่อนของข้าศึกซึ่งดูเหมือนละคร จะสื่อว่า ฮีกแก ผู้นำจุนโน ก็น่าจะคิดแบบนี้ แต่ปรากฏว่า ทัมด๊ก ทรงคิดสวนทางกลับ ทรงบอกว่า เราจะไม่โจมตีป้อมปราการเล็กเพื่อให้ป้อมปราการใหญ่ได้มีเวลาเตรียมตัวในการตั้งรับป้องกันตนเอง ทรงให้ทหารองครักษ์ และคนของซีอู โจมตีป้อมปราการซอคคยอนซอง ป้อมปราการด้านตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดของป้อม ควานมี ส่วนฮีกแก แกล้งโจมตีป้อมควานมี เพื่อไม่เปิดเผยตัวเอง ว่ามีกองกำลังทหารเล็กแค่ไหน
และนี่ก็เป็นตำราพิชัยสงครามอีกข้อหนึ่งของหวูจื่อ เอง นั่นคือ

5.การ พลิกแพลงใช้กลยุทธ์ ตามสถานภาพ นอกจากเป็นกลยุทธ์ของ หวูจื่อ แล้วก็เป็นกลยุทธ์ของ ซุนจื่อ ด้วย

6. ประกาศไม่ทำร้ายประชาชนในเขตยึดครอง
ทัมด๊ก ห้ามมิให้มีการต่อสู้ในส่วนในของป้อมปราการ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แค่ให้สร้างความหวาดกลัวในจิตใจของศัตรู ห้าม ทหารโคคุเรียวฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธ หรือไม่คิดต่อสู้ ห้ามทำร้ายผู้หญิง ห้ามปล้นทรัพย์สินของศัตรู
ทัมด๊กมีพระบรมราชโองการไปยังทุกป้อมปราการที่ยึดได้
ใครก็ตามที่ร่วมมือกับโคคุเรียว จะถือเป็นพี่เป็นน้อง สิ่งของในคลังผู้บัญชาการเป็นของประชาชนของป้อมนั้น อย่าทำอันตรายประชาชนในป้อม ทหารที่ไม่คิดต่อสู้กับโคคุเรียว จะไม่ถูกจับเป็นเชลย และไม่ถูกจัดการใดๆ ถ้าทหารในป้อมยอมวางอาวุธ จะอนุญาตให้ออกจากป้อมปราการของตน เพื่อไปส่งข่าวป้อมปราการที่อยู่ถัดไป โคคุเรียวรอคอยความจงรักภักดี
สิ่งเหล่านี้ เป็นกลยุทธ์ของตำราพิชัยสงคราม

7. การใช้หลักการ บารมี พลานุภาพ คุณธรรม เมตตาธรรม ความกล้าหาญ
ทรงเข้าไปป้อมควานมีเพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนที่จะ คืนป้อมปราการที่ยึดได้ ทั้ง 10 ป้อม เพื่อ แลกตัว ซูจินี โดยปลอมพระองค์ เป็นทูต ผู้นำสาสน์ และเสด็จไปพระองค์เดียว ในขณะนั้น ทรงรู้สึกกับ ซูจินี เพียง น้องสาว หรือทหารคนหนึ่งของพระองค์ มิใช่ สนิทเสน่หาแบบคนรัก ย่อมทำให้เกิดความเลื่อมใส ของกองกำลังทหาร เป็นที่หวาดกลัวของข้าศึก เมื่อเกิดปัญหา ก็วินิจฉัยได้ถูกต้องฉับพลัน เมื่อออกคำสั่งจักไม่มีใครขัดขืน

8. การเลี้ยงม้าศึก นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของตำราพิชัยสงคราม หวูจื่อ
ม้าศึกและคนขี่ต้องรู้ใจกันสนิทแนบแน่น สามารถใช้มันได้ตามต้องการ ขุนพลต้องเลี้ยงม้าศึกด้วยตนเองด้วยจะมีภาพที่ ทัมด๊ก แปรงขนม้า ด้วยพระองค์เอง ในตอนที่17 (คนเขียนต้องการสื่อกลยุทธ์นี้ ละครถึงต้องมีภาพนี้)

9. จงหลีกเลี่ยงการปะทะกับข้าศึกที่ทุ่มกำลังสุดตัว
ในการไปคอรัล พบชนเผ่าทั้ง 8 ที่ยอนโฮแก บุกเข้าไปฆ่า และเผา หมู่บ้านของชนเผ่าต่างๆ โดยไม่มีเหตุผล ทำให้หัวหน้าเผ่าทั้ง 8 เจ็บแค้นมุ่งมั่นและ กระหายใคร่แก้แค้นกับทหารโคคุเรียว ทัมด๊ก พยายามไม่ปะทะศึก เพราะย่อมเกิดความเสียหายมากมาย พยายามใช้ ทำสัมพันธ์ไมตรี การเจรจาต่อรอง

ในหลักการตำราพิชัยสงครามของ หวีเหลี้ยวจื่อ (นักการทหารของจิ๋นซีฮ่องเต้) ก่อนคริสต์ศักราช 237

1.ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับทหารหาญ
จะมีภาพ บางครั้ง ทัมด๊ก พระราชดำเนินทักทายกับเหล่าทหารชั้นผู้น้อยเสมอๆในบริเวณที่ ทัมด๊ก เสด็จผ่านบรรดาทหารเหล่านั้น บางครั้งก็เสวยพระกระยาหารด้วยถ้วยชามและอาหารเหมือนทหาร ประทับนั่งอยู่กับทหารชั้นผู้น้อย แม้แต่ช่วงแรกในระหว่างเตรียมเสบียงยังไม่ออกรบ ก็ทรงทักทาย ดัลบี ว่า
“เจ้าเป็นหัวหน้าเสบียงใช่ไหม ข้าต้องพึ่งเจ้า ชัยชนะของพวกเรา ขึ้นอยู่กับบ่าที่ใช้แบกของของเจ้า ดูแล พวกเราด้วย “
ก่อนเคลื่อนพลออกจากโคคุเรียว ก็ทรง ถามบรรดาแม่ทัพว่า ท่านไปหาครอบครัวแล้วหรือยัง ภรรยาท่านตั้งครรภ์หรือ ลูกชายท่าน 2 ขวบ แล้ว ใช่ใหม่ บางครั้งก็ทรงกระเซ้าเย้าแหย่แม่ทัพเช่นทำไมสองครอบครัวนี้ไม่เกี่ยวดองกันเสียล่ะ แสดงว่ามีความสนพระทัยไปถึงครอบครัวของบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
ในยามว่างปลอดโปร่ง ก็ ทรงประลองกำลัง เล่นสนุก ๆ กับบรรดาทหาร เพื่อผ่อนคลายความเครียดและทำให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในหมู่ทหาร.
ในตำราศึกก็กล่าวเกินไปเช่นผู้นำทัพต้องยอมเสี่ยงอันตรายและยอมลำบากก่อนเพื่อทหารหาญ เมื่อหิว กระหายน้ำต้องรอให้เหล่าทหารหาญดื่มก่อน ยามหิวก็กินที่หลัง ฯลฯ(ก็เกินไป ถ้าผู้นำทัพเป็นอะไรไปก่อนชนะศึก ใครจะสั่งการบัญชาการ) เอา อย่างย่นย่อพอเหมาะพอควรเปรียบเทียบแค่ว่า การร่วมทุกข์ร่วมสุข นอนกลางดินกินกลางทรายกับเหล่าทหารหาญก็พอแล้ว ไหม ?

2.เมื่อเห็นว่าจักได้ชัยชนะแน่นอน จึงจักทำสงคราม ถ้ารบชนะยากนักแล้ว ก็ต้องหาทางยุติสงคราม
(กรณี แลกตัว ซูจินี ด้วยการจะคืนป้อมปราการที่ทรงยึดได้ 10 ป้อม คืนให้ควานมี ถือเป็นการยุติสงครามกับป้อมควานมีนี่คือกรณี ว่าทำศึกต่อสู้กันไปแล้ว)

หลักการของ ซือหม่าฝา แห่งรัฐ ฉี ในสมัยชุนชิว (กลียุคของจีน ที่รัฐต่างๆ แย่งความเป็นใหญ่ก่อนที่จื๋นซีฮ่องเต้รวบรวมอาณาจักร)

1.เมื่อไม่อาจใช้ธรรมมานุภาพได้ จึงจักใช้แสนยานุภาพ เช่นการฆ่าฟัน ทหารฮวาเซิน ส่วนการใช้ ธรรมมานุภาพ จะเห็นในตอน ที่ ทรงไว้ชีวิต กษัตริย์ อาชิน ที่ยังเล่าเรื่องไม่ถึงตอนนี้
2.สงบ เยือกเย็น
3.เข้าใจละเอียด มองก็ยิ่งชัดเจน
ในข้อ 2 และ 3 นี้ คงไม่ต้องลงรายละเอียด ให้เยิ่นเย้อ เพราะมีหลายตอนมาก

หลักการของหลี่เว้ยกง ในราชวงศ์ถัง
1. พระคุณ จักต้องมาก่อนพระเดช สร้างพระคุณให้ทหารรัก ทะนุถนอมทหารหาญให้เลื่อมใสศรัทธาก่อนแล้วจึงสร้างบารมีให้เหล่าทหารหาญยำเกรง ทรงใช้กับ ฮีกแก ของจุนโน และ จูมูชิ ทหารรับจ้างแห่งเผ่าซีอู

2. รู้เขารู้เรา
ก่อนอื่นจำต้องเตรียมการพร้อมสรรพจนข้าศึกมาสามารถพิชิตได้ นั่นคือการรู้เรา(รู้สถานภาพของตัวเราเอง) ครั้นแล้วก็รอคอยจังหวะที่จักสามารถเอาชนะข้าศึกได้ (นั่นคือรู้เขา รู้สถานภาพหรือเส้นสนกลในของข้าศึก) การเตรียมการให้พร้อมสรรพที่ข้าศึกมาสามารถจักพิชิตได้อยู่ที่ฝ่ายตน การถูกรอคอยจังหวะที่จักเข้าพิชิตอยู่ที่ฝ่ายข้าศึก

3.ขวัญกำลังใจทหารมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ในการออกรบครั้งแรก ทัมด๊ก ทรงบอกกับเหล่าทหาร ข้อที่สามว่าห้ามมิให้ใครตาย ข้าไม่ต้องการให้ใครมาตายเพื่อข้า จงมีชีวิตอยู่เคียงข้างข้า
นี่คือคำสั่งของกษัตริย์ของเจ้า
เมื่อบาซอนถูกยอนโฮแก จับตัวไป เพื่อจะไปหาสัญลักษณ์เสือขาว ฮีกแก ได้รับคำสั่งออกตามกับ จูมูชิ ฮีกแกทูลว่า หากเห็น บาซอน อยู่ในค่ายทหารของโฮแก จะฆ่า บาซอน ทิ้งเพื่อไม่ให้ บอกความลับกับ ยอนโฮแกได้ ทัมด๊ก ทรงห้ามและบอกว่า บาซอน ช่วยชีวิตคนของพระองค์มากมายด้วยฝีมือตีเหล็กของนาง อย่าทำร้าย บาซอน เป็นอันขาด ฮีกแก สะอึกเลย แต่ก็ต้องบังเกิดความซาบซึ้งในพระเมตตาของ ทัมด๊ก
ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มักจะทำวิสามัญฆ่าตัดตอน กันมากกว่า บ้านเราก็ฮิตมากสมัยหนึ่ง
ข้ายังไม่รู้ว่ากองทหารแพคเจจะกลับไปหรือพยายามโจมตียึดป้อมปราการควานมีคืน ในฐานะกษัตริย์ข้าไม่ควรบอกพวกเขาว่า เราอาจจะพ่ายแพ้ (ทหารต้องเสียขวัญหมดกำลังใจ)
ในตอนที่24 ทัมด๊ก มีทหารแค่ 4 หมื่นนายในขณะที่ ฮวาเซิน ที่มียอนโฮแก เป็นแม่ ทัพ มีทหารถึง 1 แสนนาย จะเห็นทัมด๊ก มีพระดำรัสกับบรรดาทหารแล้ว ทหารแถวหน้าที่ได้ยินสุรเสียง พากันหัวเราะ ไม่ได้หวั่นเกรงต่อกองทัพข้าศึก ตรงหน้า ที่มีจำนวนมากกว่า เท่าตัว

4.อันการทหารนั้นย่อมมีเล่ห์อุบาย ความสำเร็จอยู่ที่ฝีมือของคน
การจะหลอกศัตรูได้เราต้องหลอกพวกเดียวกันก่อน ทรงบอกเสนาบดียอนว่าจะไปล่าสัตว์ฝากเสนาบดียอนดูแลบ้านเมืองสักระยะแล้วก็เสด็จออกนอกปราสาทไปรวมพลที่แคว้นจุนโน
เราต้องไม่เปิดเผยว่ากองทหารเราเล็กขนาดไหน
ทรงต้องการให้กองทหารเป็นเหยื่อล่อดึงความสนใจของกองกำลังเสริมที่แพคเจส่งไปช่วยรบกับยอนโฮแกเพื่อให้ทหารแพคเจล้มเลิกการยกทัพมุ่งหน้าไปหา ยอนโฮแก
เราจะไม่ต่อสู้ด้วยดาบและทวน อาวุธในสนามรบคือความกลัวเราจะเป็นกองทัพที่หวาดกลัวที่สุดไม่เข้าประจัญบาน(เพราะทรงมีกำลังทหารน้อยมากกว่าข้าศึก)
กองทหารกำลังเสริมของแพคเจไม่รู้ว่าเรามีทหารแค่ 3 พันนาย (รวมทั้งบาดเจ็บ) ให้เขาคิดเป็นอย่างอื่น
ข้าให้ทหารแพคเจกลับไปป้อมปราการทั้งสิบและคุ้มครองคนของตัวเองตามป้อมปราการต่างๆแต่ครอบครัวของพวกเขา แม่ทัพและผู้บัญชาการยังคงยู่ในป้อมควานมี(เพื่อเป็นตัวประกัน)

การเป็นกษัตริย์ช่างยากเหลือเกินต้องพูดปดและขู่เข็ญกษัตริย์ต้องเก่งในเรื่องเหล่านี้

คนเขียนบทใช้วิชาตำราพิชัยสงครามหลายปรมาจารย์เลย ก็ต้องให้สมกับความเกรียงไกรของกษัตริย์พระองค์นี้ถ้าขืนทำการรบแบบในเรื่องกษัตริย์จูมงนั่งพูดพูดไปพูดมาไม่กี่ประโยค ก็ออกไปฟาดฟันกัน แล้วก็ชนะสงครามได้แล้วใช้หลักจิตใจห้าวหาญไม่กลัวตายของแม่ทัพกับความเชื่อมั่นในตัวจูมง มีเงิน มีเสบียงจากซอซอนโนก็รบชนะแล้วไม่ต้องวิเคราะห์ข้าศึกไม่ต้องวางกลยุทธ์ไม่ต้องวางยุทธวิธี ทั้งที่มีการรบตั้งแต่ประมาณแผ่นที่50 กว่าๆ จนจบเรื่อง81แผ่น( แต่ คนเล่า ดูแบบไม่ได้ตั้งใจดูก็เลยอาจจะมองไม่เห็นก็ได้ขออภัยล่วงหน้าไว้ก่อน นี่ไม่ได้ ตั้งใจ โจมตี ละคร เรื่อง จูมง เจตนาเพียง ชี้ให้เห็นความแตกต่างของการเขียน บท เท่านั้น อย่างไรเสีย คนเล่า ก็ มีความเคารพชื่นชม กษัตริย์ จูมง ที่ทรงรวมชาติได้สำเร็จ และขับไล่ ฮั่น ออกไปได้ในขณะนั้น เพียงแต่ ติงคนเขียนบท ที่ไม่สื่อความเกรียงไกร เก่งกาจของพระองค์ให้เห็นเด่นชัดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับองค์กษัตริย์ แน่นอน)

แต่ของ ทัมด๊ก ช่วงที่เริ่มประชุมครั้งแรก ระหว่าง ทัมด๊ก ฮีกแก และหัวหน้าโคมิล ผู้อาวุโสโคมิล ใช้เวลา มาก กับการวิเคราะห์สถานการณ์ (ตอนที่ 12 )
และในพื้นฐานความจริงว่า ทัมด๊ก มีกองกำลังทหารเล็กมาก

มาลองดูยุทธวิธีของ ทัมด๊กที่เห็นเป็นรูปธรรมกัน
ยุทธวิธีเข้ายึดป้อมซอคคยอนซองเป็นการสงครามครั้งแรกของ ทัมด๊ก กับเหล่าทหารจุนโนของผู้นำแคว้น ฮีกแกและคนเผ่าซีอูของจูมูชิ

นำหน้าด้วยพลธนูที่มีทั้งหัวธนูเหล็กกล้าแกร่ง วิถีของลูกธนูที่เที่ยงตรง และระยะทางไกลของลูกธนูที่ไกลกว่าเดิม แถมด้วยโล่ ป้องกัน ที่มีแต่หัวลูกธนูของ บาซอน เองเท่านั้นที่จะยิงทะลุได้เป็นกองหน้าเบิกทาง

ศิษย์โคมิลที่แอบปะปนกับประชาชนของป้อมที่อยู่ภายในป้อม เป็นผู้เปิดประตูใหญ่รับทหารโคคุเรียว
คนของเผ่าซีอูจะช่วยทลายประตูใหญ่.ให้เร็วที่สุดมีพลธนูคอยเป็นแนวป้องกันให้

ทหารราชองครักษ์ในสังกัดของขุนพลโก ช่วยสกัดกั้นศัตรู ทั้งภายนอกประตูและเมื่อเข้าประตูป้อมได้แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าเพราะต้องการความรวดเร็ว

ห้ามต่อสู้เมื่อเข้าไปภายในป้อมได้แล้ว สิ่งที่ต้องการ คือการติดป้ายประกาศของโคคุเรียว แค่สร้างความหวาดกลัวให้ศัตรูด้วยยุทธการที่รวดเร็วของการปฏิบัติการเข้ายึดป้อม

คนของซีอู ต้องไปถึงป้อมโอ๊คซุนก่อนที่ม้าเร็วของป้อมซอคคยอยซองจะนำสารส่งข่าวไปถึง

สำหรับยุทธวิธีการนำทหารโคคุเรียวเข้าไปเคลียร์สถานการณ์ในปราสาทโกกแนของทัมด๊กเอง

ให้ขุนพล โก วางกำลังรอบปราสาทโกกแน แค่ล้อมรอบบริเวณอย่าเคลื่อนไหวจนกว่าจะมีคำสั่งจาก ทัมด๊ก

ศิษย์โคมิลที่อยู่ภายในปราสาทโกกแนตีฆ้องร้องเป่าให้ประชาชนกลับเข้าเคหสถานบ้านเรือน ประชาชนต้องอยู่นอกเขตอันตรายที่กำหนดไว้เป็นจุดของสนามรบ

เมื่อได้คำสั่งทหารองครักษ์เคลื่อนไปยังประตูทั้งสี่ของปราสาทโกกแน เข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้

ชอโร(ผู้พิทักษ์มังกรน้ำเงิน)เปิดประตูทิศตะวันตก (ทัมด๊ก ทรงให้ตั้งค่ายทหารไว้ที่ด้านใต้ของปราสาทโกกแน) คอยช่วยขุนพล โก และกองทหารให้เข้ามาในปราสาทอย่างเร็วที่สุด

ให้ขุนพล โก จำกัดบริเวณควบคุมบ้านพักตระกูลยอนไม่ให้มีใครเข้าออก ห้ามยั่วยุให้พวกเขาโกรธเพราะที่นั่นมีตัวประกันคือคณะสภาเสนาบดีของโคคุเรียว ผู้นำแคว้น จากนั้นให้รอคำสั่งของ ทัมด๊ก

ส่วนทัมด๊ก จูมูชิ ซูจินี และชอโร กับทหารติดตามไม่กี่คน ล่วงหน้าเข้าประตูปราสาทโกกแน แล้ว ทัมด๊ก จะแยกไปอารามหลวง จูมูชิ และ ซูจินี ไปสังเกตการณ์เก็บรายละเอียด ความเป็นไปในปราสาทโกกแน

กำหนดเวลา ลงมือปฎิบัติการ พร้อมกัน คือ เวลา เที่ยงวัน โดย ดู ดวงอาทิตย์ ตรงศรีษะ
ชอโรไปคอยที่ประตูตะวันตก

แล้วทัมด๊ก ก็ไล่พวกฮวาเซินทั้งตายทั้งแตกกระเจิดกระเจิงกระจุยกระจาย นับแต่ แทจังโร และสาวกฮวาเซิน ออกไปจากปราสาทโกกแน

ทัมด๊ก เป็นนักการเจรจาต่อรอง
การเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิภาพ คือการที่ทั้งคู่ เจรจา Win-Win
ทรงไม่ใช้เงินจ้างจูมูชิ มาเป็นทหารให้พระองค์ เพราะไม่มีเงินจ่ายอย่างเดียวคงไม่ใช่ เพราะถ้าการเป็นทหารที่จะต้องออกรบ เพียงเพื่อเงิน จะไม่ได้รับความทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจจากคนของเผ่าซีอูแน่นอนแต่ทรงให้ข้อเสนอ ในเรื่องการ คืนดินแดนของเผ่ามัลกัลที่ถูกแบ่งกระจัดกระจาย ทรงโน้มน้าวให้จูมูชิเห็นภาพการใช้ชิวิต สงบ เป็นสุข ไม่เร่ร่อน ของชีวิตบนแผ่นดินที่จะทรงคืนให้

ฮีกแก โมโหกับการที่ ทัมด๊ก วางแผนการช่วยเหลือ ยอนโฮแก แถมปิดทองหลังพระ หากเหตุการณ์เป็นไปตามแผน ยอนโฮแก คือผู้ชนะศึก ทัมด๊ก ตรัสถามว่า ท่านเลือกเอา ว่าจะ ต่อสู้กับพวกแพคเจ หรือ ต่อสู้ กับยอนโฮแก

เมื่อไปเจรจากับ 8 ชนเผ่าที่คอรัล ข่าน ผู้นำไม่รับการทำสัมพันธ์ไมตรี การทำการค้า จะรบให้ได้ รวมทั้ง ทัมด๊ก อยู่ในที่ล้อมของ ชนเผ่า ทัมด๊ก ไม่สะทกสะท้าน (เพราะมีการเตรียมการพร้อมสรรพ รับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของการมาเจรจาครั้งนี้ ไว้ล่วงหน้าแล้ว) ทรงถาม ข่านผู้นำ 8 ชนเผ่า ว่า ท่านจะฆ่าข้า แล้ว ปล่อยให้ กบฏ ยอนโฮแก ขึ้นเป็นกษัตริย์ และทำสงครามกับ ยอนโฮแก หรือ ข่านแห่งคอรัล อึ้งสนิท ถูกน๊อคเอ้าท์ แบบ ฮีกแก ที่โดนบ่อย ๆ ไปอีกคน
(อาวุธ ที่ทรงอานุภาพของ ทัมด๊ก อีกประการ คือ ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไหม ? )

ทัมด๊ก เป็นนักปรัชญา นักจิตวิทยา ที่เข้าใจจิตใจมนุษย์ได้ดีมาก

เมื่ออยู่ที่ป้อมปราการควานมี ทรงวินิจฉัย ความคิดละแนวทางของกษัตริย์ จินซา และองค์ชาย อาชิน แห่งแพคเจได้อย่างถูกต้อง
“คนเราที่มัวเมากับความโลภในราชสมบัติ เขาก็จะไม่คิดถึงแผ่นดินและคนของเขา กษัตริย์ จินซา คงหวังว่าองค์ชาย อาชินจะต่อสู้กับข้าและสูญเสียกองทหารไปและจะเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ กษัตริย์ จินซา จะไม่ส่งกองกำลังทหารมาเสริมให้องค์ชาย อาชิน ส่วนองค์ชาย อาชิน ที่ไม่รู้ว่า เรามีกองกำลังทหารจริงจำนานเท่าไร ก็จะไม่สู้รบกับเรา ให้เกิดความสูญเสียกับกองกำลังทหารขององค์ชายที่มีอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความเสียเปรียบต่อกองกำลังทหารของกษัตริย์ จินซา เราจะทำให้องค์ชาย อาชิน เข้าพระทัยว่า เรามีมีกำลังทหารหลายหมื่น ด้วยคนและทหารของแพคเจเองที่เป็นคนปล่อยข่าวลือ

เมื่อ ทัมด๊กกลับปราสาท โกกแน ขับไล่ แทจังโร และฮวาเซินออกไป ไม่ทรงเอาผิด ทั้งเสนาบดียอนและเทวีพยากรณ์โซคีฮา ทรงมีพระดำรัสกับคณะขุนนางและสภาเสนาบดี โคคุเรียว ในท้องพระโรงว่าข้าขอถามพวกท่านสักข้อในฐานะ คนของโคคุเรียว ว่า กษัตริย์แบบไหนที่ท่านต้องการ ท่านไม่สนใจว่าเป็นใคร ขอให้เป็นคนมีสัญลักษณ์เก่าคร่ำคร่าของตำนานก็พอหรือ สองพันปีที่ผ่านมา จูชินเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุม ทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก พวกท่านต้องการดินแดนเหล่านั้นถึงได้ต้องการกษัตริย์จูชิน ดินแดนเหล่านั้นข้าจะเอามาให้พวกท่านอย่างไร ถ้าข้าต้องฆ่า ชาย หญิงเด็ก คนชรา สัตว์ต่างๆ แล้วแผ่นดินของพวกเขา ตกเป็นของเรา บรรดาลูกหลานของพวกเขาเหล่านั้นคงสาบานแก้แค้นกับพวกเราแล้วก็ต่อสู้กันอีก ฆ่า และฆ่า กันต่อไปไม่สิ้นสุด หากท่านให้เวลากับข้า ข้าจะเอาป้อมปราการแพคเจมาให้อีกนับสิบ โดยไม่ต้องทำสงคราม ถ้าท่านให้เวลาข้าอีกนิด เราจะแบ่งแพคเจออกเป็นสองส่วน และจำกัดพวกนั้นไว้ เราจะทำให้ชิลลาหันหลังให้แพคเจ ส่วนชนผ่าต่างๆเราจะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามค้า เราจะเป็นศูนย์กลางให้สิ่ง (สินค้าและพืชผลต่างๆ)ที่แต่ละชาติ ต้องการ พวกเราทั้งหมดกลายมาเป็นพี่น้องกัน มีความสงบสุขเป็นร้อย ๆปี พวกท่านยังต้องการต่อสู้รบราเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการแก้แค้นอีกหรือ

นอกจากนี้ ยังใช้ความโลภของพ่อค้าและเหล่าขุนนางของโคคุเรียว ในการให้การสนับสนุน จัดเสบียงให้ ทัมด๊ก นำไปใช้ ในยุทธวิธี ผูกมิตร ทำการค้ากับชนเผ่า เทือกเขาคอรัล มีพระราชโองการว่า ทรงกำลังรวบรวมเสบียงเพื่อพระราชภารกิจขอให้ท่านทั้งหลายร่วมมือให้เต็มความสามารถ ประเทศจะไม่จ่ายเงินใด ๆให้กับพวกท่าน แต่จะทรงให้สิทธิทางการค้าเกลือ ขึ้นกับจำนวนความอุดหนุนที่พวกท่านให้ในคราวนี้ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคอรัลหลังจากข้ามภูเขาไปมีดินแดนแห่งเกลือที่กว้างใหญ่ไพศาลพอๆกับทะเล เรากำลังจะไปเอาเกลือมาจากที่นั้น

ทรงมีผลงานให้ประจักษ์ในฝีมือของพระองค์มาแล้ว จึงไม่เป็นการคุยอวดโอ่ ว่าจะทรงไปเอาเกลือเหล่านั้นมาได้ ทรงสร้างบารมี และแสนยานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว

เมื่อ พิจารณา ดูรายละเอียดของ แผนการรบของทัมด๊ก แล้ว น่าทึ่ง มาก จริงๆ นึกไปนึกมาก็ยิ่งใกล้เคียงระหว่าง
แผนการรบ กับ แผนธุรกิจ เริ่มจาก
1.วัตถุประสงค์ เช่น เพื่อ ดึงกองกำลังเสริมจากป้อมปราการต่างๆของแพคเจที่ไปช่วยแพคเจรบ กับยอนโฮแก ให้นำกองทัพกลับ และให้ ยอนโฮแก ยกทัพตีขนาบไล่หลัง
2.เป้าหมายที่ต้องการ ตีป้อมปราการ ให้ได้ชัยชนะ 10 ป้อม ภายใน 20 วันและไม่ให้เสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น
3. วิเคราะห์ SWOT ในการ ทำศึก
วิเคราะห์ Strengths , Weaknesses , Opportunities , Threat
จุดแข็ง จุดด้อย โอกาส อุปสรรค ของข้าศึกโดยดูทั้งปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน วิเคราะห์สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศแพคเจ ความจงรักภักดีของประชาชนและป้อมปราการต่างๆของแพคเจ ต่อกษัตริย์และองค์ชายของแพคเจ สถานการณ์ทางการเมืองภายในของแพคเจ กำลังกองทหารของแพคเจของฝ่ายกษัตริย์ จินซา และองค์ชาย อาชิน โอกาสและอุปสรรคของกษัตริย์ จินซา และองค์ชาย อาชิน
4. การกำหนดแผนปฏิบัติงาน action plan
4.1 กำหนดกลยุทธ์ โดยใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม
4.2 กำหนดยุทธวิธี การรบ เป็นขั้นตอน เห็นได้ชัด
4.3 กำหนดผู้รับผิดชอบ แต่ละขั้นตอน รวมทั้งระยะเวลา
5 . ติดตามประเมินผล ถ้าเกิดปัญหาอุปสรรค และผลงานไม่เป็นไปตามที่วางแผนมีการปรับเปลี่ยนแผนงาน วางกลยุทธ์ใหม่
แผนการรบของ ทัมด๊ก กับแผนธุรกิจ สมัยใหม่ ช่างไปกันได้ ดีเลย

War Room ของ ทัมด๊ก ทั้งในปราสาทโกกแน หรือ หมู่บ้านโคมิล และ ในค่ายทหาร ดูดีมากในตอนต้นก็ใช้นิ้วมือ คนอธิบาย ไล่ชี้ไปตรงโน้นตรงนี้ของแผนที่ ระยะหลังมีการพัฒนา ใช้ไม้ชี้ เมื่อแรก แผนที่ก็กางบนโต๊ะ แล้วก็พัฒนาเป็นการติดฝาผนัง ละคร สื่อ ว่า ทัมด๊ก เป็น กษัตริย์ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ความคิดอ่านล้ำหน้า พัฒนา ไปรวดเร็ว การวางแผนการรบ ขนาด ฮีกแก ผู้นำแคว้นจุนโน ที่มีอายุมาก และมีประสบการณ์ เจนศึก มาแล้ว ยังตาม ทัมด๊กไม่ค่อยทัน แล้วตามมาด้วย เริ่มมีอาลักษณ์คอยจดบันทึกเรื่องราว การประชุมต่างๆ นอกจาก war room ยังมีห้องใหญ่ อีกห้อง เป็นที่ทำงานของคณะทำงานของ ทัมด๊ก ส่วนใหญ่ จะเป็นศิษย์โคมิล (ควรจะเรียกห้องอะไรดี ) เป็นห้องที่เสนาบดี ยอนการยอ เข้าไปเยี่ยมชม (ก่อนไปขโมยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์) เข้าไปดูการทำงานแล้วยังทึ่ง อึ้งกิมกี่ไปเลย ในประวัติศาสตร์ ทัมด๊ก ทรงวางโครงการพัฒนาประเทศ ไว้มากมาย ที่ละคร สื่อไว้ ก็มีการตั้งหน่วยงาน Jangsa และ Chamgoon เป็นต้น แล้วคงมีอีกหลายๆ โครงการที่ทรงริเริ่มแล้วพระโอรส มาสานต่อจนสำเร็จ คงคล้าย ๆ โครงการในพระราชดำริ ของในหลวงของเรา

แล้วก็ ในตอนที่ 21 ที่ ทัมด๊ก ไปเจรจากับ ชนเผ่าเขาคอรัล จะเห็นชัด ที่ มีคนคอยบันทึก ข้อตกลงของการเจรจาความเมืองทั้งที่ จำนวนคนที่จะเอาไปได้เพียง 7 คนรวมทั้ง ทัมด๊ก อาลักษณ์คนนี้ ไม่เป็นวิชาการต่อสู้ด้วย เพราะ ทรงต้องการให้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เป็นครูให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้นั่นเอง

และในละครตอนที่ 24 มีตัวอักษรจารึกที่แท่งหินบูชาของวัดอาบูลันซา บอกเล่าความเป็นไปของ โคคุเรียว จนสิ้นรัชกาลของกษัตริย์ กวางแกโต มหาราช นั้น
มีการกล่าวใน มีการกล่าวใน Wikipedia ว่า กษัตริย์ Jangsu ได้สร้างแผ่นจารึก สรรเสริญ พระองค์ไว้ ใน ปี ค.ศ.414

เมื่อ คอนเซปของละคร บอกว่า ทัมด๊ก มีพระทัยอ่อนโยน แล้วจะทำศึก แบบไหนกัน ถึงได้เป็นกษัตริย์ที่เกรียงไกร บุกไปที่ไหนก็ ได้รับชัยชนะที่นั่น ท่านผู้ชม บางท่าน อาจรู้สึกว่าเว่อร์ไปหรือเปล่ากับจริยาวัตรของทัมด๊ก นี่เราดู ทัมด๊ก หรือ ดู เบ ยองจุน กันแน่ ก็เพราะผู้กำกับมองแล้วว่า บทแบบนี้ ต้องให้ เบ ยองจุนแสดงนั่นเองมี คนถามว่า ทำไมไม่เป็น ควอนซังวู รับบทนี้ คิมจองฮักบอกว่า ควอนซังวูถ้าจะเล่นเรื่องละครประวัติศาสตร์คงต้องเป็นตัวละครเช่น เจงกีสข่าน และก็ไม่เวอร์เรื่องการรบ เป็นไปตามตำราพิชัยสงคราม

ซงจีนา ต้องหาว่า ทัมด๊ก ที่มีแค่กองทหารองครักษ์ของขุนพลโก เท่านั้น จะทำอย่างไร ที่จะขึ้นมาเป็นมหาราชที่ยิ่งใหญ่ มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพ สะท้านคาบสมุทรเกาหลี แผ่ไปถึงแมนจูเรีย (โอ้โฮ งานหนักนะนี่)

24 ตอน ของละคร เรื่องนี้ มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ มากมาย คนเล่า ถึงชื่นชม การสื่อความของบทละคร
(แม้ว่าจะงวยงง ลมจับไปหลายพัก กับตอนจบ จนเรียบเรียงเสียงประสานสติของตัวเองไม่ได้ไปหลายวัน เหมือนตกหน้าผาแบบคาจิน เมื่อ 2 พันกว่าปีโน่น ในขณะที่ดูตอนจบ ไปเมื่อ 6 ธันวาคม 2007 )
เช่น ภาระหน้าที่ ต่อ ส่วนรวมของระดับผู้นำ สำคัญ กว่าเรื่องส่วนตัว ของ หัวหน้าโคมิล ฮยอนโก ของกษัตริย์หยาง ของ เทวีพยากรณ์สมัยกษัตริย์หยาง
กษัตริย์ ต้องรักษาบาดแผล ให้หายได้ในวันเดียว
โดยเฉพาะ ความรักที่ยิ่งใหญ่ เสียสละตัวเองที่พ่อแม่ มีให้กับลูก เช่น พระบิดา พระมารดาของ ทัมด๊ก มีต่อทัมด๊ก ของท่านหญิงยอน และเสนาบดียอนที่มีต่อ ยอนโฮแก ส่วนโซคีฮา ซึ่ง รัก ทัมด๊กมากมาก ถึงแม้ว่าความรักที่มีต่อทัมด๊กจะเป็นรักที่เห็นแก่ตัว ต้องการแต่จะต้องได้ครอบครอง แต่ก็เป็นความรักที่รวมมาของทั้ง 2 ชาติภพ ไม่เคยสนใจความยิ่งใหญ่ของอำนาจ ที่ แทจังโร พูดกรอกหูมาตั้งแต่เด็ก แต่ เมื่อต้องมีชีวิตอยู่ต่อหลังจากคิดฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ โซคีฮา รักลูก มากกว่า ทัมด๊ก และไขว้เขวที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับลูก เลือกที่จะฆ่า ทัมด๊ก เพื่อลูก แม้จะเป็นความรักที่ไม่น่าประทับใจที่จะเอามากล่าวขวัญ แต่นั่นก็คือ ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

Wednesday, May 28, 2008

เสือขาวหรือพยัคฆ์ขาว 白虎


เสือขาวหรือพยัคฆ์ขาว 白虎

เสือขาวหรือพยัคฆ์ขาว 白虎 (ไป๋หู่ ในภาษาจีน เบียคโกะ ในภาษาญี่ปุ่น หรือ แบคโฮ ในภาษาเกาหลี) เทพผู้พิทักษ์แห่งทิศตะวันตก เป็นวาโยเทพ หรือเทพเจ้าแห่งสายลม ตัวแทนแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นตัวแทนของอำนาจบารมี ความเคารพยำเกรงและการทหาร เป็นเทพเจ้าแห่งศึกสงครามและการล่าสังหาร สถานที่หรือชัยภูมิในสมัยโบราณหากมีชื่อของเสือขาว จึงมักมีนัยสำคัญทางทหาร นอกจากนี้ยังใช้ในการตั้งชื่อหน่วยกำลังรบ และใช้เป็นตราสัญลักษณ์ในการบัญชาการเคลื่อนทัพ หรือสลักเป็นลวดลายคู่กับมังกรเขียวบนบานประตูทั้งสอ งข้างเพื่อป้องกันสิ่ง ชั่วร้าย


ตามตำราจีนโบราณ
เสือขาวเป็นธาตุโลหะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลุมศพตามตำราจีนโบราณในพิธีศพ ของจักรพรรดิจีน มักจะปรากฏสัญลักษณ์ของเสือก้มหัวเคารพศพของจักรพรรดิ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเชื่อกันว่าเสือเป็นเทพเจ้าแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมถึงเป็นราชันย์แห่งขุนเขาด้วย มีหน้าที่ในการขับไล่ศัตรูของจักรพรรดิ และคอยคุ้มครองขับไล่ปีศาจร้ายทั้งปวงมิให้เข้ามาทำร้ายบ้านเมือง เครื่องประดับหยกที่แกะสลักเป็นรูปเสือถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการรบและการทหาร ซึ่งจะเห็นได้จาก ตราอาญาสิทธิ์รูปเสือ หรือตราอาญาสิทธิ์ทางทหาร ใช้เป็นหลักฐานในการมอบหมายอำนาจทางการทหารและการถ่ายทอดคำสั่งเคลื่อนพลในสมัยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนเสมอ เมื่อต้องการเคลื่อนทัพก็จะมอบส่วนด้านซ้ายให้กับแม่ทัพที่นำทัพไป ส่วนด้านขวาจะเก็บรักษาไว้กับตัวเจ้าผู้ครองแคว้นนั้น เมื่อต้องการเคลื่อนย้ายกำลังพลเจ้าแคว้นก็จะมอบตราอาญาสิทธิ์ส่วนขวาให้กับผู้ที่ได้ ้ รับมอบอำนาจ เมื่อผู้รับมอบอำนาจได้พบกับแม่ทัพที่คุมกำลังพล ต่างฝ่ายก็จะแสดงตราอาญาสิทธิ์ส่วนของตน จากนั้นนำมาประกบเข้าด้วยกันเพื่อเป็นหลักฐานในการถ่ายทอดคำสั่งจากเบื้องบน ผู้รับมอบอำนาจจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังทหารได้


ชาวจีนในสมัยโบราณ ได้ให้ความสำคัญต่อสัตว์เทพทั้งสี่ อันได้แก่ มังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ เป็นอันมาก และความเชื่อดังกล่าวมีอิทธิพลถึงขั้นนำไปใช้ในยุทธวิธีทางการทหารสำหรับการเคลื่อนกองทัพ โดยปรากฎใน ...ตำราพิชัยสงครามบทหนึ่งเกี่ยวกับทิศทางการเดินทัพไว้ว่า "การเคลื่อนทัพนั้น ซ้ายเป็นมังกรเขียว ขวาเสือขาว ทัพหน้าคือหงส์แดงและเต่าดำคุมหลัง บัญชาการจากเบื้องบน นำปฏิบัติสู่เบื้องล่าง"... เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นต่างคุ้นเคยกับตำแหน่งของเทพทั้งสี่เป็นอย่างดี ภายหลังจึงได้รับการประยุกต์ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของธงนำทัพ ของกองทัพที่ประจำอยู่ในแต่ละส่วนของกองทัพ

Roytavan : Writer

Tuesday, May 27, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ( ตอนที่ 21 )


ขอโทษ ที่ลืม ใส่ข้อความสำคัญ ของ ตอนที่ 20 ในช่วงที่องครักษ์กัมดง พาเสนาบดียอน ไปดูหน่วยงานที่ทัมด๊กทรงแต่งตั้งขึ้นใหม่ 2 หน่วยงาน ขอลอก ข้อความที่ คุณ Gaulsan แปลมา ดังนี้
หน่วยงาน Jangsa : a department newly established by Kwang-gaeto Taewang,to record chronicle.

ถ้าเป็นบ้านเราจะเรียกว่า กรมอาลักษณ์ ไหม ?
อาลักษณ์ = ผู้ทำหน้าที่ทางหนังสือในราชสำนัก
หน่วยงาน Chamgoon : a department newly established by Kwang-gaeto Taewang, to advice military affairs To the King.
นี่คือฝ่ายเสนาธิการทหารไหม ?
และขอแก้ไข วงเล็บ ในตอนที่ 19 ที่ คนเล่าเป็นคนวงเล็บเอง ไม่ใช่คนแปล ทัมด๊ก ประลองกำลังกับพวก ทหารชั้นผู้น้อย เรื่อง เทควันโด มาอ่านพบในหนังสือ เปิดประตูสู่เกาหลี เขียนโดย คิมโฮ๊ะจุง กล่าวว่า เทควันโด เป็นศิลปะการป้องกันตัว ในประเทศบนคาบสมุทรเกาหลี ในศตวรรษ ที่ 2 โคคุเรียว ได้ตั้งกองทัพพิเศษให้ เรียนศิลปะการป้องกันตัวโดยใช้เท้าเป็นอาวุธ แต่เดิมเรียกว่า แทะ กิย็อน ภายหลังจึงเรียก เทควันโด ดังนั้น ในสมัย ทัมด๊ก มี ศิลปะนี้ มานาน เป็น ร้อยปีแล้ว

...ตอนที่ 21...

เสนาบดียอน นั่งเขียนจดหมายกราบทูล ทัมด๊ก : เพราะการตัดสินใจที่มัวเมาและกำเริบเสิบสาน หม่อมฉัน ยอนการยอ ควรได้รับกรรมที่ก่อไว้นานแล้ว หม่อมฉันขอถวายความเคารพต่อพระพักตร์และกราบทูลถ้อยคำเหล่านี้ สวรรค์กำลังค่อยๆเปิดเผยว่าพระองค์ คือกษัตริย์จูชินที่แท้จริง แต่หม่อมฉันไม่อาจยอมรับได้ ถ้าสวรรค์เป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง มันจะมีประโยชน์อย่างไร กับความพยายามของเรา ถ้าสวรรค์ได้เลือกกษัตริย์จูชิน แล้ว การเลือกนั้นใช้เงื่อนไขใด หม่อมฉันจะทรยศต่อความเชื่อถือ ไว้วางใจ และอำนาจหน้าที่ ที่ทรงมอบไว้ให้ และเอาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์จูชินไป หม่อมฉันจะมอบให้กับบุตรชายของหม่อมฉัน โฮแก คนที่ สวรรค์หันหลังให้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้อำนาจของสัญลักษณ์เหล่านี้ หม่อมฉันก็ยังต้องการบอกสิ่งนี้กับเขา “ เวลานี้ฝ่าบาทไม่สามารถพึ่งพา อำนาจและพลังแห่งสวรรค์ได้ ..จงใช้ความพยายามของเจ้า ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ให้ได้ ทำให้ประชาชนในดินแดนแห่งนี้ยอมรับและเลือกกษัตริย์ของพวกเขาเอง ”
เสนาบดียอน นำเอกสารหลายเล่มไปยังห้องทำงาน ที่ทัมด๊กทรงแต่งตั้งขึ้นใหม่
รายงานเหล่านี้คืองบประมาณที่จะต้องใช้เพื่อการดูแลรักษาป้อมปราการแพคเจ ที่ยึดมาได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกนี้คือรายงานเกี่ยวกับอู่ต่อเรือ
นี่เป็นรายงานเกี่ยวกับวิธีการในการจัดการดูแลอู่ต่อเรือ
เสนาบดียอนมอบเอกสารให้กับผู้รับผิดชอบแค่ละคน
และ นี่คือรายงานในการส่งเสบียงไปยังป้อมปราการต่างๆ หลังจากนั้น เสนาบดียอนก็ไปยังหมู่บ้านโคมิล แสดงตราประจำ เสนาบดี ที่ได้รับพระราชโองการจากทัมด๊กในการดูแลภารกิจทั้งหมดในโคคุเรียวเข้าไปยังห้องเก็บสัญลักษณ์ เอาสัญลักษณ์ มังกรน้ำเงินและฟินิกซ์ใส่กล่อง นำออกมาจาก โคมิล

ที่อารามหลวง โซคีฮา ก็นำสัญลักษณ์ นักพรตสูงสุดเทวีพยากรณ์วางคืนไว้บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งในอารามหลวง และไปรับกล่องใส่สัญลักษณ์จากเสนาบดียอน แล้วขึ้นเกี้ยว จากไป ส่วนเสนาบดียอนเดินกลับเข้าบ้าน : ฝ่าบาทเคยบอกหม่อมฉันไว้ครั้งหนึ่งว่า จูชินเป็นสวรรค์ของชาวเพดัล หม่อมฉันทรยศต่อความเชื่อถือของพระองค์ หม่อมฉันไม่มีหน้า ที่จะไปได้เห็นสรวงสวรรค์นั่น ที่หน้าป้ายบูชาตระกูลยอน เสนาบดียอนเทเหล้าที่ใส่ยาพิษที่ โซคีฮา มอบให้ ผสมลงไป ยกเหล้าแสดงคารวะป้ายประจำตระกูล แล้วยกขึ้นดื่ม : ฝ่าบาท กษัตริย์แห่งโคคุเรียว เวลานี้หม่อมฉันคิดได้ว่า หม่อมฉันไม่เคยรอคอยกษัตริย์แห่งจูชิน มันดูเหมือนว่า หม่อมฉันต้องการสร้างกษัตริย์จูชินด้วยตัวเอง เสนาบดียอนนั่งลงที่เก้าอี้ : ถูกต้อง.... นั่นคือสิ่งที่หม่อมฉันต้องการ แล้วเสนาบดียอนก็คอพับสิ้นใจตายบนเก้าอี้นั้น

ที่ปราสาทโกกแน
ซูจินี บอกกับชอโรที่เดินตามหลังอยู่ว่า : ข้าจะไม่กลับไปหาฝ่าบาท ข้าทำไม่ได้ข้ากำลังจะไปตามทางของข้าเอง ให้ข้าทำสิ่งที่ข้าต้องทำให้เสร็จสิ้น ข้าไม่รู้ว่าใครต้องการให้ข้ากลับไป แต่ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำ แล้วเดินจากไป ชอโร สับสนว่าจะเอาอย่างไรดี
ในค่ายของกษัตริย์โคคุเรียว

ศิษย์โคมิลส่งสาร
ฮีกแกส่งเสียงอยู่ในกระโจม : ถ้าพวกนั้นอยากจะทูลสิ่งใด ก็บอกให้เขามาที่นี่ กษัตริย์แห่งโคคุเรียวจะไปยังที่มั่นของศัตรูด้วยทหารเพียง 7 นาย ได้อย่างไรพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรงงานอยู่ โดยทรงอักษร (เขียน)ไป ดำรัสไป : อย่าปล่อยให้ให้ทหารที่ชายแดนยานเคลื่อนไหว เรายังไม่สามารถเชื่อใจพวกนั้น ทรงส่งเอกสารให้ศิษย์โคมิลไป ทรงดำรัสต่อ อู่ต่อเรือที่ป้อมปราการควานมีคือปัญหา ข้าหวังว่าท่านยอนคงจะดูแลให้ข้าได้ ส่งเอกสารให้ศิษย์โคมิลอีก ทรงวางปากกาลง เขารู้วิธีที่จะดูแลมัน ( นี่คือวิธีการบริหารบ้านเมือง คือคณะทำงานที่ทัมด๊กแต่งตั้งขึ้นใหม่ส่งรายงานให้ทัมด๊ก แล้วทัมด๊ก สั่งงานกลับไปที่คณะทำงานในโคคุเรียว โดยการสื่อสารของโคมิล ทันสมัยมากเลย เหมือนเป็นการออกว่าราชการในเมืองจากสนามรบ)
ฮีกแก ขออนุญาต ที่จะออกไปเจรจากับชนเผ่า คอรัล ด้วย ทหาร 7 คน แทนทัมด๊ก
ทัมด๊ก : ท่านแม่ทัพ ถ้าหากข้าไม่สานความสัมพันธ์กับพวกเขา ข้าก็ควรกลับไปปราสาทโกกแน ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ทหาร 5 พันนายของเราจะถูกล่าเช่นเหยื่อ
ขุนพลโก เข้ามากราบทูลว่า มีสาสน์มาถึงพระองค์ในสาสน์มีใจความว่า เราได้ตกลงจะตั้งกระโจม พวกนั้นจะส่งตัวแทนมา 12 คน นี่เป็นตัวเลขต่ำสุดจากทั้ง 4 เผ่า และภายในกระโจม ทหารไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ไป ทัมด๊ก ขยับองค์ ลุกขึ้นจากพระเก้าอี้ : จัดเตรียมทหาร 7 กอง เพื่อว่าจะได้เตรียมการป้องกันการบุกรุกจากที่ต่างๆ ทรงประทับยืน ฮีกแก : ไม่ต้องทรงกังวลพะย่ะค่ะ และขุนพลโก : ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้วพะย่ะค่ะ


ทรงรับพระแสงดาบจากดัลโกมีพระบัญชาให้ ฮยอนคง อาลักษณ์ ตามเสด็จในครั้งนี้ ทรงแย้มพระโอษฐ์ ให้ ฮยอนคง : ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นก็ให้อยู่ข้างๆข้า ไม่ต้องกลัว อยู่กับข้า ใช้สติปัญญาของเจ้า ( เหมือนบอก ฮยอนคงว่า ข้าจะดูแลคุ้มครองเจ้าเอง) ฮยอนคง : พะย่ะค่ะ แต่ฮีกแก ยกมือขึ้น (แบบว่า ฟังหม่อมฉันก่อน ) ถ้าฝ่าบาทจะนำคนไปด้วย ก็ควรเลือกคนที่มีฝีมือต่อสู้ เด็กคนนี้จะทำอะไรได้พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ถ้าข้าทำอะไรผิด เขาจะบันทึกไว้ เพื่อมิให้ทำผิดอีก ผิดครั้งเดียวถือว่าผิดพลาด แต่ผิดซ้ำสองถือว่าเป็นบาป นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดกัน (ทรงจำคำพูดนี้มาจากซูจินี นั่นเอง)



ฮยอนคง ได้จดบันทึกไว้ว่า การประชุมเริ่มต้นที่ ที่ราบสูง อาวูแช ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการที่ฝ่าบาททรงวางแผนไว้ ตั้งแต่ก้าวพระบาทมาสู่ดินแดนคอรัล แผนการเริ่มปฏิบัติการจากทางด้านเหนือของสถานที่ประชุม
ฮยอนโก กอบทรายขึ้นมาโปรย สังเกตทิศทางลม : มันเป็นลมใต้ ฮยอนโกลุกขึ้นยืน : พวกนั้นต้องมาถึงก่อนที่ลมจะเปลี่ยนทิศ แล้วหันไปโบกมือให้ศิษย์ โคมิล ขี่ม้ามุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่ง



ทัมด๊ก เสด็จถึงหน้ากระโจม ที่จัดเป็นที่ประชุม มี ข่าน นำ ผู้นำเผ่า ยืนคอยหน้ากระโจม
ในกระโจม ข่าน ทูลว่า : ข้า อัตทิลา ข่านแห่งคอรัลได้รับเลือกเมื่อใบไม้ผลิที่แล้วโดยหัวหน้าทั้ง 8 เผ่า ข้าจะไม่เสียเวลาทักทายกัน ฝ่าบาทเสด็จมาทำสิ่งใดในดินแดนของพวกเรา
หัวหน้า เผ่า คาราคิตัย : คนครึ่งหนึ่งของเผ่า ได้ล้มตายไป และหมู่บ้านก็ถูกเผาทิ้ง คาราคิตัย จะแก้แค้นจนถึงลมหายใจสุดท้าย แล้วเดินเข้าหาทัมด๊ก ดัลโก ขุนพลโกขยับตัว ดัลโกชักดาบออกจากฝัก จูมูชิและมันดัก ที่อยู่อีกข้างของทัมด๊ก ขยับตัว จูมูชิ เอาขวานที่ถืออยู่พาดบ่า
ข่านอัตทิลา ก็วางขวานตัวเองลงบนโต๊ะ โดยแรง รับสาสน์จาก ดูทัย : ข้าได้ยินว่า กษัตริย์องค์ใหม่ของโคคุเรียวทรงชำนาญในการใช้เล่ห์เหลี่ยมมากกว่าการสงคราม ดังนั้นข้าขอถามพระองค์ แล้วอัตทิลาก็โยนสาสน์ลงบนโต๊ะ : สิ่งนี้คือเล่ห์เหลี่ยมอันใด



ทัมด๊ก : เมื่อใดที่เราจะหยุดข่มขู่กันและนั่งเจรจากันจริงจัง
ดูทัย : ท่านข่าน : กษัตริย์โคคุเรียว ที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ได้ส่งพวกเราชาวคอรัลที่ตายไปให้ไปสู่สรวงสวรรค์
ข่าน : เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสกับพระองค์ หัวหน้าทั้งหลายคิดเช่นไร แล้วทำท่าเชิญ ทัมด๊ก ประทับนั่ง
ข่าน : สาสน์ของพระองค์เป็นจริงหรือ ชายคนนั้น ยอนโฮแก คนที่ทำให้เคอรัลกลายเป็นนรก เป็นกบฏต่อโคคุเรียวหรือ
ทัมด๊ก : ความผิดของเขาคือขัดขืนคำสั่งของข้า เจตนาของข้าคือการเป็นพันธมิตรกับ คอรัล เพราะการกระทำของเขา ทำให้เราผิดใจกัน เขาจะต้องชดใช้ต่อความผิดที่เกิดขึ้น



ข่าน เปิดหีบของขวัญ : อะไรกันหรือทรงคิดว่าเราจะลืมเรื่องการฆ่าคนของเรา เพียงแค่สินบนเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้
ทัมด๊ก : ท่านจะว่าอย่างไรหากข้าจะขอให้ท่านลืมเสีย ถ้าเผ่า ทั้ง 8 ของคอรัล รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับโคคุเรียว ท่านคิดว่าจะชนะหรือ ข่านอัตทิลา ทำท่าคิดตามรับสั่ง ทัมด๊กทรงตรัสต่อว่า : กองทหารที่ท่านเห็นเมื่อ 2 เดือนก่อนเป็นกองกำลังของกบฏโคคุเรียว ท่านต้องการเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากข้ายกกำลังมาที่นี่หรือ (เขียนเสือให้วัวกลัว เป็นทำนองว่า ทหารของกบฏ ยังเพียงนี้ แล้วกองทัพหลวง จะเพียงใด ไหม) ท่านต้องการให้คอรัล กลายเป็นดินแดนแห่งความตายหรือ
ข่านทุบโต๊ะปัง คว้าขวานที่วางบนโต๊ะขึ้นมา ตะคอกถาม : พระองค์ตรัสสิ่งใด กษัตริย์แห่งโคคุเรียว
ทัมด๊ก : ใครต้องการเป็นพี่น้องกับเราเป็นคนแรกจากเผ่าทั้ง 4 ที่อยู่ที่นี่ พันธมิตรของโคคุเรียว จะไม่ต้องกลัวเผ่าอื่นอีกต่อไป ใครจะเป็นน้องชายของเรา



หัวหน้าเผ่าคาราคิตัย : ทรงตรัสสิ่งใด แล้วตะโกน อะไรนะ น้องชายหรือ และชักดาบ
เกิดมีการต่อสู้กันอึดใจ ขุนพลโก เอาดาบพาดคอ ผู้นำเผ่าคาราคิตัย
มีเสียงให้ หยุด หยุดสู้กัน
ทัมด๊กประทับยืนขึ้น : ถึงท่านจะไม่ต้องการฟังแต่ท่านต้องฟัง
ขุนพลโกปล่อย ผู้นำเผ่าคาราคิตัย ซึ่งบอกว่าเราจะไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับโคคุเรียว
ทัมด๊ก : ในเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับคอรัล ทั้ง 8 เผ่าไม่เคยตกลงกันได้ พวกท่านต่อสู้ ฆ่า และลักขโมยกันเอง
ผู้นำเผ่าทุกคนรวมทั้งข่าน เริ่มสนใจ ฟัง
ทัมด๊ก : ไม่ใช่แค่นั้น พวกท่านถูกล้อมรอบด้วยชนชาติที่มั่งคั่ง ขณะที่คนของพวกท่านต้องตายเพราะความอดอยาก พวกท่านจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน



หัวหน้าเผ่าคาราคิตัย : อัตทิลา ท่านเริ่มฟังเขาแต่เมื่อไหร่กัน ข้าจะแก้แค้นเพื่อคนของข้า แล้วก็หันไปตะโกนก้อง ทุกคนในกระโจมแปลกใจ มีเสียงโห่ร้องจากข้างนอก กระโจมผ้าถูกปลดผ้าออกจนหมดเหลือแต่โครงกระโจม และ มีนักรบเผ่าคอรัลล้อมรายรอบกระโจม นักรบทุกคนยกธนูเล็งมาที่ภายในกระโจม คนของโคคุเรียวปราดเข้ามาเอาตัวเองบังทัมด๊ก ที่ประทับยืนมีอาลักษณ์อยู่ข้างพระองค์ไว้อย่างไม่ได้นัดหมาย กัน
แต่ทัมด๊กทรงพระทัยเย็น ดำรัสต่อเหมือนแค่ถูกขัดจังหวะไปชั่วครู่ : ท่านยังอยากฟังต่อหรือไม่ สิ่งใดจะเกิดขึ้น หากโคคุเรียวเป็นพี่ชายของท่าน หรือท่านจะฆ่าข้า และเผชิญหน้ากับโคคุเรียว เมื่อ ยอนโฮแก ขึ้นเป็นกษัตริย์ (ไม้เด็ดของทัมด๊ก ขนาดขุนพลโก เองยังเหลียวหน้ามามองทัมด๊ก ) ข่าน เบือนหน้าจากทัมด๊กทำท่าคิดตาม



ข่าน เอ่ยขึ้นว่า : ในฐานะข่านข้าจะประชุมต่อไปกับกษัตริย์โคคุเรียว อาลักษณ์ก้มลงจดข้อความ
ทัมด๊ก ให้ดัลโก หยิบกระดาษภาพตั้งใหญ่ บนหลังหีบ และข้างๆ มีเขาสัตว์วางอยู่ 1 อัน ดัลโกส่งกองภาพให้ ดูทัย และส่งต่อไปที่ข่าน เป็นภาพของสินค้าต่างๆ ข่านหยิบดูแล้ววางลงทีละแผ่น
ทัมด๊ก : ในดินแดนของเรา เราจะจัดตั้งตลาดที่ใจกลางเมืองของแต่ละเผ่า ชายและหญิงทุกวรรณะและทุกเชื้อชาติมีสิทธิและเสรีภาพในการค้าขาย สัตว์เลี้ยงที่ท่านเพาะพันธุ์ขึ้นมา สามารถแลกเปลี่ยนกับเสื้อผ้า เมล็ดพันธุ์ต่างๆและ อาวุธ เครื่องมือ และของใช้จากเหล็ก
ข่านหัวเราะ : ทรงกำลังบอกข้าว่า กษัตริย์แห่งโคคุเรียว เสด็จมาที่นี่เพื่อค้าขายเล็กๆน้อยๆ แค่นี้หรือ แล้วก็โยน ภาพที่เหลือลงบนโต๊ะอย่างหมดความสนใจ
ทัมด๊ก ทรงทวนคำของข่าน : แค่ค้าขายหรือ ข้ากำลังพูดว่า เรากำลังเปิดเส้นทางจากปราสาทโกกแน มาจนสุดอาณาจักรของท่าน ข้ากำลังบอกท่านว่า ถนนที่ว่านั้นจะพาดผ่านใจกลางของดินแดนท่าน สุรเสียงดังขึ้นท่านไม่เข้าใจว่าหมายถึงอย่างไรหรือ อัตทิลา ข่านแห่งคอรัล



ข่าน : เวลานี้ทรงบอกพวกเราถึงความตั้งพระทัยจริงของพระองค์ ทรงกำลังขอให้เราช่วยเหลือเพราะทรงคิดว่าไม่สามารถจับโฮแกได้ด้วยพระองค์เอง ทำไมพระองค์ถึงได้ตรัสเหลวไหลเช่นนั้น เสียงดังและตบโต๊ะ อีก ท่าทางข่านโมโหจัด
ทัมด๊กทรงประทับนั่งลง : ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่านที่จะเรียกทหารของตัวเอง อย่างไรก็ดีทหารทั้ง4 หมื่นนาย จะกลับมาหาข้าภายในไม่กี่วันนี้ ทัมด๊กมีท่าทางมุ่งมั่นและจริงจังมาก ทรงยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้น (เพราะมือขวาของ ยงจุนเจ็บ รู้สึกว่า ยงจุนจะพยามใช้แต่มือข้างซ้าย)
ดัลโก ยกเขาสัตว์ขึ้นมาเป่า พอเป่าจบก็มีเสียงโห่ร้องในรัศมีรอบๆ กระโจม ฝ่ายคอรัล ทั้งนักรบและผู้นำเผ่า เหลียวหาทิศทางของเสียงนี้ ข่านหันมามองทัมด๊ก
ทัมด๊ก : คนของข้ากำลังรอคอย ณ ที่เรากำลังตกลงกัน ทรงวางพระแสงดาบลงบนโต๊ะ ทรงตรัสว่า : นี่คือวิธีการที่โคคุเรียวรักษาสัญญา แล้วทรงเหลียวพระพักตร์ไปด้านหลัง ทรงถามว่าแล้วนี่คือวิธีที่คอรัลทำหรือทรงหันกลับมาทางข่าน ข่านคว้าขวานสับเปรี้ยงลงบนโต๊ะ ใกล้กองกระดาษภาพสินค้า ทูลว่า : ข้าต้องการข้อพิสูจน์
ทัมด๊ก : ข้ากำลังฟังอยู่
ข่าน : เอาศีรษะของยอนโฮแกให้ข้า ต่อเมื่อข้าเห็นศีรษะและได้สัมผัสเลือดของเขา ข้าจะยอมรับการเป็นพี่น้อง และยอมเจรจาต่อไป
ขุนพลโกละสายตาจากที่มองข่านเป็นมองทัมด๊ก



ในค่ายของยอนโฮแก
ฮยอนยองและศิษย์โคมิล ที่ซุ่มตัวรอเวลาอยู่ เมื่อมีสายลมแรงพัดมา ฮยอนยองอ่านข้อความในแผ่นกระดาษ ศิษย์โคมิลชูนกกระดาษตัวใหญ่ 2 ตัวขึ้น ฮยอนยองกล่าวว่า “ การต่อสู้ไม่ใช่แค่เพียงการใช้ดาบ “ (ขออุแม่เจ้าครั้งที่ 2 กับวาจาของฮยอนยอง) แล้วฮยอนยองก็ให้สัญญาณ นกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า คล้ายว่าว นกหลายตัวบินอยู่เหนือค่ายทหาร และปล่อยแผ่นกระดาษมากมายลอยปลิวว่อนลงมา กระดาษทุกแผ่นมีข้อความ
ทหารยามหน้าประตูค่าย ยกเขาสัตว์ขึ้นเป่าแจ้งความผิดปกติ ทำให้พวกทหารพากันออกจากกระโจมที่พักเพราะเสียงสัญญาณนี้ ทหารในค่ายต่างเก็บกระดาษมาอ่าน จอกฮวาน ขี่ม้าผ่านมาคว้ากระดาษไปจากทหารเข้าไปในกระโจมและยอนโฮแก ก็ได้อ่านข้อความ เมื่ออ่านเสร็จก็โกรธขยำกระดาษกำไว้ในมือ
ยอนโฮแก : กษัตริย์ทัมด๊กที่รักของเราตั้งพระทัยใช้วิธีที่ไร้คุณธรรม มากกว่าการสู้รบในสนามรบ กษัตริย์เริ่มใช้วิธีเจ้าเล่ห์อีกแล้ว หันไปถาม อิลซู ถึง ที่ตั้งกองทัพของกษัตริย์
อิลซูรายงานว่า: กษัตริย์ ทรงอยู่ไปทางใต้ ราว 3 วันเดินทาง เราได้รายงานมาว่าทรงมีทหารเพียง 5 พันคน
แม่ทัพใหญ่ : เราจะเคลื่อนกองทหารหรือไม่หรือเราจะลงมือก่อน
ยอนโฮแก : ทรงคาดหวังให้เราลงมือก่อน ข้าไม่ต้องการคลานเข้าไปในกับดัก แต่ว่า... เราต้องมั่นใจว่าทหารจะไม่ไขว้เขว ท่านแม่ทัพไปทำให้ข้าแน่ใจว่าทหารของเราจะไม่ไขว้เขว
แม่ทัพทุกคนออกไปจากกระโจม เหลือแต่จอกฮวาน ยอนโฮแก มองออกและถามว่า ท่านไม่สบายใจหรือ
จอกฮวาน : พูดกันตามสัตย์จริง ใช่ .. ข้าไม่สบายใจ อย่างไรก็ทรงเป็นกษัตริย์ของเราและนี่ก็เป็นทหารของพระองค์ ท่านกำลังแนะนำให้พวกเราต่อสู้หรือ
ยอนโฮแกบอกว่า : ท่านไม่เข้าใจหรือ กษัตริย์พระองค์นั้นทรงไม่ต้องการให้ข้ายอมแพ้ต่อพระองค์ สิ่งที่ทรงต้องการมากที่สุดก็คือ คนอย่างพวกท่านที่จะฆ่าและ เอาหัวของข้าไปถวาย นั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องการทำหรือ จอกฮวาน หลบสายตาลงพื้น ยอนโฮแกถามซ้ำอีก จอกฮวานเงยหน้าตอบว่า : เมื่อท่านอายุ 11 ขวบ ท่านอยู่ในสงคราม สู้รบกับพวกยาน : ข้าเฝ้ามองดู แม้อายุยังน้อย แต่ท่านวิ่งไปแนวหน้าอย่างรวดเร็ว ยิงธนูได้ไกลกว่าคนอื่นๆ ท่านยิ้มตลอดเวลา ท่านได้รับการบอกกล่าวว่าท่านเกิดภายใต้ดวงดาวแห่งจูชิน และท่านก็แตกต่างจากพวกเราที่เหลือ ข้าวาดฝันไว้ว่า ท่านจะเป็นกษัตริย์อย่างไร ความคิดเช่นนี้ ก็ถือได้ว่าข้าเป็นกบฎ
ยอนโฮแก : จากนี้ไปข้าอาจต้องก้าวไปสูนรก ท่านยังจะตามข้าอีกหรือไม่
จอกฮวาน : ข้าจะคอยอยู่ข้างหลังท่าน
นอกกระโจมพวกทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มหนึ่งพากันพูดต่างๆนานา : เรามีเวลาตัดสินใจ อีก 3 วัน ใครก็ตามที่กลับไปหากษัตริย์ จะถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพหลวง ..ถ้าเราไม่ไป... เราก็เป็นกบฎน่ะซี ... อย่างนั้นเราก็กลับบ้านไม่ได้.... หุบปาก
บรรดาพลทหารจับกลุ่มปรึกษากัน.. ถ้าท่านผู้บัญชาการ ยอนโฮแกได้เป็นกษัตริย์เล่า. แล้วเราจะกลับบ้านได้อย่างไร ... แต่ทหารรับจ้างบอกว่า ฝ่าบาท ทรงมีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ 3 อย่างแล้ว…ทรงชนะป้อมควานมี ...นั่นหมายความว่าเรากลับบ้านไม่ได้.... เจ้าโง่....

ในค่ายของกษัตริย์โคคุเรียว
บาซอน นั่งลับมีดเหมือนเป็นหุ่น ไม่สนใจกินอาหาร ไม่รับรู้สนใจใครๆ ไม่ทำท่าว่าได้ยินเสียงของดัลบี ที่ยกเอาถาดอาหารถาดใหม่มาเปลี่ยนถาดเก่า
ดัลบี : หยุดทำสักครู่เถอะ ท่านไม่กินไม่นอน เมื่อไหร่ท่านจะหยุดทำเช่นนี้ ข้ากลุ้มใจจริงๆ
บาซอนไม่รับรู้เหมือนไม่ได้ยิน ทัมด๊กเสด็จเข้ามา ตามด้วย ฮยอนโก ขุนพลโก จูมูชิ ทรงตรัสกับดัลบีว่า : เจ้าทั้งสองคงลำบากมาก และเสด็จพระราชดำเนินไปตรงหน้าบาซอน ทรงตรัสกับบาซอนว่า : ข้าได้ยินเรื่องพี่ชายของเจ้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
บาซอนลุกขึ้นถวายคำนับแล้วนิ่ง ทัมด๊กทรงรอ แล้วก็ทำท่าจะเสด็จออกไป
บาซอน : สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เสือขาว ..ทัมด๊ก ทรงหันพระพักตร์มา
บาซอนพูดต่อ : หม่อมฉันควรจะทูล ฝ่าบาทตั้งแต่แรก หม่อมฉันควรจะทูลฝ่าบาทก่อน เพื่อให้พระองค์ไปเอามา แต่หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ หม่อมฉันไม่รู้ว่าพี่ชายไปอยู่ที่ใด หม่อมฉันคิดว่าจะได้พบพี่ชายหากหม่อมฉันติดตามพระองค์ไป บาซอนเสียงเครือแล้วก็ร้องไห้ ทัมด๊กทรงเอาพระหัตถ์วางบนไหล่บาซอนแบบปลอบใจบาซอน บาซอนก้มหน้าร้องไห้
ทรงตรัสว่า : เจ้าควรจะพักผ่อน
บาซอน : ยอนโฮแกเป็นคนเอาไป หม่อมฉันเป็นคนเอาไปให้เขากับมือ เอาไปให้เขาเอง พี่ชายของหม่อมฉันที่ไม่ได้พบกันมา 17 ปี ได้เสี่ยงชีวิตของเขา แต่หม่อมฉันเป็นคนเอาไปให้เขากับมือ
ทัมด๊ก : บาซอน
บาซอน : หม่อมฉันอยากตัดมือตัวเองออก...หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อตัดมันออก แต่ว่า... ที่นี่มีดาบและขวานที่ทื่อมากมาย (ยกมือที่กำไว้แน่นขึ้นมา เอาหน้าผากตัวเองวางบนท่อนแขนซ้าย ร้องไห้)
ทัมด๊ก : ฟังข้าให้ดีนะ มือคู่นี้ไม่ใช่ของเจ้าเพียงคนเดียว ข้าจะไม่ยกโทษให้ หากเจ้าทำร้ายมัน
บาซอนเอาแขนออก เงยหน้ามองทัมด๊ก
ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์ให้บาซอน ตรัสต่อว่า : และเจ้าของมือนี้ จะต้องกิน และนอนให้หลับ เจ้าเข้าใจหรือไม่
บาซอน พยักหน้าร้องไห้ น้ำตาไหล รับคำสั่งนี้ว่า เพคะ (บาซอนว่านอนสอนง่ายสำหรับทัมด๊กเสมอ)
ดัลบีหน้าเศร้า จูมูชิ มองดัลบี แล้วทำท่าซูดส์น้ำมูก (ทำท่าเศร้า แต่น่าตลกมากกว่า ที่จูมูชิ เศร้าเป็น)
ทัมด๊กเสด็จออกมา ดัลบีเดินตามขาสะดุด หน้าคะมำ (ดัลบีมีปัญหาเรื่องเดินแล้วหกล้มหลายครั้ง เอ...เรียกว่าซุ่มซามไหมนะ)
ทรงถามว่า : รองเท้าของยอนโฮแกเป็นอย่างไร พวกเขาไปตั้งครึ่งปีแล้วข้าต้องการรู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร
ดัลบีทูลว่า : คนที่คอยเฝ้าพวกเรา เสื้อผ้าของเขาดูเก่ามาก รองเท้า หม่อมฉันคิดว่ารองเท้าของเขาคงน้อยลงและยังมีปัญหาเรื่องโรคผิวหนัง เนื้อและอาหารดีๆ มีสำหรับนายทหารเท่านั้น ที่สำคัญ พวกเขามีน้ำไม่เพียงพอ
ฮยอนโก : หม่อมฉันคิดว่า เราควรเริ่มต้นทันที พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : จัดเตรียมกองทัพ
ขุนพลโก : ตอนนี้หรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊กเสด็จไปที่แผนที่ : เราจะเคลื่อนทัพก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อลดระยะทางระหว่างเรากับ ยอนโฮแก ลงอีก 1 วัน

ที่ค่ายของยอนโฮแก
มีเสียงปี่ หรือขลุ่ย (เสียงดนตรีเดียวกับที่ทัมด๊ก เคยเป่าที่สำนักนางโลมในตอนต้นๆ) จาก ศิษย์โคมิล ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ที่ใช้ ผ้าพันกีบม้าไว้ เพื่อเวลาที่ม้าเดินแล้วไม่มีเสียงกุกกัก เสียงโหยหวนชวนเศร้า ชวนให้คิดถึงบ้าน เหล่าทหารในค่ายของ ยอนโฮแก ร้องไห้คิดถึงบ้าน จอกฮวานและอิลซู และทหารม้าเหล็กกลุ่มหนึ่ง ขี่ม้าตามหาที่มาของเสียง แล้ว ก็ต้องตะโกน ว่า ทหารหนีทัพ แล้วก็ตามไล่ฆ่าทหารที่หนีทัพ



ทหารของจอกฮวานไล่ฆ่าทหารหนีทัพ อย่างโหดเหี้ยมไปถึงหมู่บ้านที่ ซูจินี ได้มาอาศัยอยู่ ซูจินี ได้เห็นการฆ่าฟันพวกทหาร เมื่อทหารของจอกฮวานกลับไป ซูจินี ออกมาดูทหารพบว่ายังมีคนรอดตายจึงเข้าไปช่วย
ในกระโจม กองบัญชาการ พวกแม่ทัพ ปรึกษาหารือกับยอนโฮแก เพราะทหารหนีทัพ มากขึ้นเรื่อยๆ
มีทั้งถูกทหารม้าเหล็กของจอกฮวานฆ่าตาย และบางส่วนถูกจับกลับมา หน้ากระโจม กองบัญชาการ
ยอนโฮแก : พวกเจ้าจะกลับไปหากองทหารของกษัตริย์หรือ บอกมา ทำไมพวกเจ้าละทิ้งข้า แล้วกลับไปหากษัตริย์ ถ้าเหตุผลสมควรข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า
ทหารคนหนึ่ง ร้องไห้ เงยหน้าตอบว่า : ข้าอยากกลับบ้าน แม่ข้าแก่แล้วและอยู่คนเดียว แม่ข้ากำลังป่วยอยู่ พี่น้องของข้าตายในสงครามหมด เหลือแต่ข้าคนเดียว
ยอนโฮแก โมโห คว้าคอทหารขึ้นมา : มีผู้ชายกี่คนที่ไม่สูญเสียครอบครัวในการรบ ศัตรูอยู่ตรงหน้าแต่เจ้าจะกลับบ้าน คนของข้าเสี่ยงชีวิตในการสู้รบ แต่เจ้ากลับหันหลังเพื่อกลับบ้าน ถ้าเจ้าบอกว่า เจ้าจะกลับไปหากษัตริย์ เพื่อเกียรติแห่งโดคุเรียว ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า คำตอบของเจ้าผิด อิลซู ชักดาบแทงทหารคนนี้ตาย
แม่ทัพหลายคนตกใจหันมามองหน้ากัน
ยอนโฮแก : ทหารที่หนีทัพทั้งหลายจะต้องได้รับโทษที่ทรยศ ราคาของการทรยศ ก็คือชีวิตของพวกเขา (ไม่ว่าทหารจะตอบอย่างไร ยอนโฮแกก็ตั้งใจจะฆ่าทิ้งอยู่แล้ว เพราะทหารที่ไม่ได้ตอบ ก็ถูกฆ่าตายหมด)
รุ่งเช้าก็มีทหารขี่ม้าหนีทัพออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง และก็ถูกทหารม้าเหล็กของจอกฮวานไล่ฆ่า แต่คราวนี้ ขุนพลโก และกองทหารกองหนึ่งมาช่วยไว้ ขุนพลโก บอกกับทหารม้าเหล็กของจอกฮวานว่า : กลับไปบอกผู้บังคับบัญชาการของเจ้าว่า ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว ให้เขาเข้ามาคารวะต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท
ทหารม้าเหล็กของจอกฮวาน รีบชักม้ากลับเข้าค่ายของยอนโฮแก

ที่ค่ายทหารของกษัตริย์โคคุเรียว
ข่าน อัตทิลา พา ดูทัยและทหารมาด้วยประมาณ 2 พันคน ทัมด๊กเสด็จออกมารับหน้ากระโจม ตรัสว่า : ท่านไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าท่านจะมา
ข่าน : ในเมื่อเราจะเป็นพี่เป็นน้องกัน ข้าคิดว่าพวกเราอาจจะช่วยได้
ทัมด๊ก : ข้าไม่รู้ว่าข้าต้องการความช่วยเหลืออะไรในการเคลื่อนทัพของข้า
ข่าน : ข้ารู้ว่าทรงต้องการปกป้องทหารที่หนีทัพมาจาก กองทัพของยอนโฮแก เราต้องการสิ่งเดียวคือศีรษะยอนโฮแก ทรงอยากทำอะไร ก็ทรงทำไป แต่พวกเราจะลงโทษศัตรูโดยพวกเราเอง
ทัมด๊ก : ท่านเคยเสนอต่อข้าแล้ว แต่.. ยอนโฮแก เป็นกบฏต่อโคคุเรียวได้ก่อการทรยศ คนที่จะลงโทษเขาได้คือกษัตริย์แห่งโคคุเรียวเท่านั้น ท่านเข้าใจหรือไม่ แล้วทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้ากระโจม ข่านและดูทัย มองนิ่ง
ที่ลานนอกกระโจม ทัมด๊กทรงงานอยู่ที่โต๊ะ มีสารมาจากปราสาทโกกแน เมื่อทัมด๊กทรงทอดพระเนตรข้อความ ที่รายงานเรื่อง เสนาบดียอนขโมยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ไปจากหมู่บ้านโคมิล และฆ่าตัวตาย ไม่ทรงห่วงเรื่องสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทรงเสียดาย และเศร้าพระทัย ในเรื่องเสนาบดียอนตาย : โคคุเรียวได้สูญเสียเสนาบดีที่เก่งกาจไปแล้วทรงหันไปทางฮยอนโก : อาจารย์ ไปดูสิว่ามีทหารของยอนโฮแก หนีทัพมากี่คน ขอให้มั่นใจว่าเราจะปกป้องพวกเขาได้



ฮีกแก : เรากำลังจะทำสงครามหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ตรัสว่า : ถ้าโฮแกรู้ว่าเสนาบดียอนตาย เขาจะยิ่งพยายามโจมตีเรา เราอาจจะเสียเปรียบ เราจะแบ่งทหารกองเป็นกองละ 500 คน อาจารย์ช่วยอธิบายเส้นการเคลื่อนพล ฮยอนโก ยกมือเรียกให้ทหารบางส่วนตามไป เหลือแต่ทัมด๊ก ฮีกแก ขุนพลโก ดัลโก
ทรงตรัสต่อว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำคือให้โฮแกสับสนและลังเลกับการเข้าโจมตีครั้งแรกของเขา
สิ่งที่สอง พาทหารหนีทัพกลับมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลดีที่สุดที่จะตามมาคือการจลาจลในค่ายของโฮแก
มันดัก บอกจูมูชิว่า กำลังจะเคลื่อนทัพ จูมูชิ บอกกับดัลบีว่าข้ามีบางสิ่งจะพูดกับเจ้า ทัมด๊กเสด็จเข้ามาตรัสว่า : จูมูชิเจ้าต้องไปกับข้า จูมูชิรู้สึกว่ายังพูดกับดัลบีไม่จบเรื่อง ทูลว่า หม่อมฉันก็ไปกับฝ่าบาทตลอดเวลาอยู่แล้ว ทัมด๊ก : ข้าวางแผนที่จะไปพบกับโฮแกโดยไม่ให้พวกคอรัลรู้ ไปกันเถอะ


ในค่ายทหารของ ยอนโฮแก
โซคีฮามาหา ยอนโฮแก ที่ท่าทางดีใจรีบเข้ามาใกล้ โซคีฮา ส่งม้วนหนังสือให้และบอกว่า นี่คือจดหมายของ ท่านยอน เป็นจดหมายฉบับสุดท้าย ยอนโฮแกสีหน้าเปลี่ยนไปทวนคำ สุดท้าย ....กษัตริย์สำเร็จโทษท่านพ่อของข้าหรือ ข้อหาอะไร ...ทำไม... ทำไม…
โซคีฮา : ท่านยอนจบชีวิตตัวเองตอนที่ข้าออกมาจากปราสาทโกกแน เขาขอ..ข้าก็เลยให้...ยาพิษ แบบเดียวกับที่เอาชิวิตของท่านแม่ของท่านท่านหญิงยอน (มาดโซคีฮา เหลือร้าย พูดแบบเหมือนเล่าเรื่อง ลมฟ้าอากาศ)
ยอนโฮแก ขว้างสารทิ้งจับตัวโซคีฮาลุกขึ้นยืน : ท่านพูดอะไร.. ท่านกำลังบอกข้าว่าท่านเอายาพิษให้พ่อข้าเพื่อฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ แล้วตะโกน ท่านเอาให้ท่านพ่อของข้า…
โซคีฮา มองหน้า ไม่สะทกสะท้าน : ใช่ข้าทำ
ยอนโฮแกปล่อยโซคีฮาหันข้างให้ เสียใจ
โซคีฮา : ครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์เช่นเดียวกัน เกิดที่สุสานหลวง กษัตริย์พระองค์ก่อนทรงบอกข้ามิให้ขวางทางพระโอรสในการขึ้นครองราชย์ แล้วทรงแทงดาบของกษัตริย์จูมงเข้าไปที่พระหทัย ทำให้ข้าถูกประณาม
ยอนโฮแก หันมา : ท่านบอกข้าว่า ท่านเป็นคนฆ่าพระองค์
โซคีฮา : ไม่.. มิใช่ข้า ข้าบอกความจริงไม่ได้ ข้าบอกใครไม่ได้แม้แต่สวรรค์ แต่ท่านยอนไม่เหมือนกัน เขาขอร้องให้ข้าจากมาอยู่กับท่าน... เขาขอร้องให้ข้าทำท่านเป็นกษัตริย์
จอกฮวานตะโกนเข้ามา : ท่านผู้บัญชาการท่านอยู่ที่ใด ซารยางเอาดาบขวางไว้
จอกฮวาน: ประตูตะวันตกพังแล้ว ทหารกำลังหนีทัพออกไป
โซคีฮา เปิดกล่องสัญลักษณ์ : นี่คือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ สองอย่าง อีกไม่ช้าเราจะครอบครองอำนาจแห่งสวรรค์ และ... แกะเสื้อคลุมด้านหน้าออก เอามือวางที่ท้อง ท่าเดียวกับที่เคยทำกับเสนาบดียอน ยอนโฮแกมองตามมือของโซคีฮาตะลึง โซคีฮา : ข้ามาขอให้ท่านรับเป็นพ่อของลูกข้า
ยอนโฮแก คราง : ของเขาหรือ ทำเสียงเบาเหมือนคนหมดแรง ลูกของเขาหรือ
โซคีฮา ตอบว่า : ไม่มีความหวังเหลืออยู่ในปราสาทโกกแน เราต้องเดินทางไปหาดินแดนอื่นเพื่อให้อำนาจของ ท่านมั่นคงขึ้นข้าจะช่วยให้ท่านเอาชนะดินแดนก่อน
ยอนโฮแก ตะโกนเสียงดังอารมณ์กำลังใกล้จะระเบิด : พอแล้ว
โซคีฮา : ท่านบอกข้าว่าท่านจะอยู่กับข้าตลอดเวลา
ยอนโฮแก : ข้าบอกว่าพอแล้ว
โซคีฮา : ท่านบอกว่าท่านจะอยู่เคียงข้างข้า ไม่ว่าอะไร ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ยอนโฮแก ท่าทางแค้นใจ เดินออกไปนอกห้องคว้าดาบ ตะโกน เคลื่อนทัพเตรียมรบ
จอกฮวาน : ทหารกำลังก่อจลาจล
ยอนโฮแก : ข้าบอกให้เคลื่อนทัพ เตรียมรบ หันมาทางอิลซู : เรียกแม่ทัพทั้งหมด แล้วชักดาบออกจากฝักหันไปทางซารยางพยายามสะกดอารมณ์ : เอาผู้หญิงคนนั้นกลับไปและออกไปจากที่นี่ทันที ไปที่อื่น ที่ข้าจะไม่ได้เห็นหน้านาง
โซคีฮา ในห้อง ปิดกล่องสัญลักษณ์เอามือกุมท้อง เกิดอาการเจ็บท้องต้องอตัวลง ซารยางเข้ามาพอดีเข้าไปประคอง
พวกแม่ทัพทั้งหลายมาที่กระโจมของยอนโฮแก แม่ทัพของผู้นำแคว้น ประกาศจะกลับจะไปรวมกับกองทัพกษัตริย์ : ทหารของโคคุเรียว กำลังไปเพื่อกองทัพหลวง ทำไมถึงเป็นการหนีทัพเล่า…
ทหารเข้ามารายงาน ว่ากองทัพหลวงกำลังเข้ามาใกล้ทางทิศตะวันตก พวกนั้นกำลังมาเร็วมาก เราบอกไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าไร พวกนั้นมาอย่างรวดเร็วมาก
มีทหารเข้ามาบอกอีก ว่า พวกคอรัลกำลังมาทางทิศใต้ พวกคอรัลมาเป็นพัน ๆคน
จอกฮวาน : กษัตริย์ทรงเป็นพันธมิตรกับคอรัลหรือ
แม่ทัพของพวกผู้นำแคว้น : เราไม่ได้มาคอรัลเพื่อเป็นกบฏ แคว้นทั้งสี่ จะไปอยู่กับกษัตริย์ ถ้าท่านหยุดเราเราจะโจมตีให้พังไปตามกัน
ยอนโฮแก เหมือนคนบ้า เอาดาบฟันแม่ทัพจากซอนโนตาย : อย่าหันหลังให้ข้า
แม่ทัพอีกคนชี้หน้ายอนโฮแก : ข้าจะเอาหัวของเขาแล้วเอาไปถวายกษัตริย์
จอกฮวาน ตะโกน : จับคนพวกนี้ ทหารม้าเหล็กจับคนพวกนี้ อิลซู รีบเข้ามาปกป้องยอนโฮแก ยอนโฮแก นัยน์ตาเหมือนคนบ้าแข็งทื่อ

ซูจินี ดูแลทหารบาดเจ็บที่ได้ช่วยไว้ ก้าวลงไปหาชอโร นั่งพิงข้างฝา อยู่ที่ชั้นล่าง : ทำไมท่านตามข้าอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่มีความภูมิใจในตัวเองบ้างหรือ แล้วเอามือวางบนไหล่ของชอโร : ท่านหลงใหลข้าอย่างนั้นหรือ แล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้ ชอโรไม่ตอบ ซูจินี เอามือออก เดิน ไป 2-3 ก้าว พูดว่า : เคยมีคนบอกข้าครั้งหนึ่งแบบนี้เมื่อ..นานมาแล้ว
ชอโร : ข้ารู้สึกบางอย่างแปลกๆ ข้ารู้สึกเหมือนกับว่า เขากำลังเรียกข้า
ซูขินี : ใคร
ชอโร : ข้ารู้สึกเหมือนว่า ข้าต้องอยู่เคียงข้างเขา
ซูจินี : ข้างใคร
ชอโร ขยับตัว : เขาอยู่ไม่ไกล ข้าต้องไปหาเขา แล้วลุกขึ้นยืน : ข้ารู้สึกไม่สบายใจมาก ข้าทูลว่าข้าจะพาท่านกลับไปด้วย ข้าต้องการรักษาสัญญา
ซูจินี อึ้ง : ท่านผู้บัญชาการข้าขอร้องท่านสักอย่างได้ไหม ข้ารู้ว่าท่านพยายามอย่างมากในการหาข้าและช่วยชีวิตข้า มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีกับการขอร้องนี้ กลับไปทูลฝ่าบาทว่าท่านหาข้าไม่พบ ทูลว่าข้าไปในที่ที่ท่านหาไม่พบ แล้วซูจินี ก็เอนตัวลงนอนพิงกองสัมภาระที่มุมห้อง



ชอโร : ท่านไม่ได้เป็นผู้หญิงของฝ่าบาทหรือ
ซูจินี : อาจเป็นชาติหน้าก็ได้ ถ้าข้าสวดมนต์ภาวนาทุกวันตลอดชีวิตที่เหลือ ( โถ.....ซูจินี น่าสงสารจัง)
ชอโร : ท่านทำอะไรผิดหรือ ทำสิ่งใดที่ให้อภัยกันไม่ได้
ซูจินี : ข้ากลัวว่า ข้าจะทำบางอย่างที่ให้อภัยกันไม่ได้ ซูจินี ลุกขึ้น : นี่ท่านผู้บัญชาการ ดูแลฝ่าบาทของข้าให้ดี ทรงชอบเป็นตัวของตัวเองเพราะฉะนั้นติดตามพระองค์ไปหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้ว ดื่ม..กับพระองค์บ้างเป็นบางครั้ง และ...ทำให้พระองค์ยิ้มวันละครั้ง ข้าจะชดใช้หนี้สินนี้ให้กับท่านในชาติหน้า ข้า ดีใจ..ที่ได้พบท่าน เจอกันชาติหน้า ( ความรักของซูจินี เป็นรักที่เสียสละ รักที่ไม่หวังผลตอบแทนว่า ทัมด๊ก ต้องรักตอบหรือไม่ ...ถึงอย่างไร.... ก็รัก...) ชอโรยืนอยู่อีกครู่ แล้วก็ตัดสินใจ ขี่ม้ากลับไปหาทัมด๊ก เพราะมีสัญญาณเตือนให้รู้สึกว่า ทัมด๊ก ทรงต้องการชอโร


ซูจินีกำลังจะขึ้นหลังม้า ก็เห็น ชารยางและโซคีฮา มาที่หมู่บ้านนี้ และตามไปดู ซารยางประคองโซคีฮา ลงจากหลังม้าพาไปนอน แล้วไปจับตัวหญิงชาวบ้าน ซึ่งเป็นแม่ลูกอ่อน มาหนึ่งคน เพื่อช่วยโซคีฮาคลอด นางสั่งให้ซารยางไปหาน้ำมา ซูจินีเข้ามาพบโซคีฮา นอนกระสับกระส่าย ยกดาบสั้นจะฆ่า แต่แล้วต้องเปลี่ยนใจเพราะโซคีฮา ดิ้นทุรนทุราย ยกมือไขว่คว้าหาที่พึ่ง ซูจินีทิ้งดาบ เข้าไปจับมือโซคีฮาที่ยกขวักไขว่



ข้างนอกห้องซารยาง เมื่อได้น้ำหิ้วกลับมากก่อนจะถึงห้องที่โซคีฮานอน ก็พบ ทหารของฮวาเซิน แต่ที่สำคัญ แทจังโร มารอคอยด้วยตัวเอง แทจังโร ลงจากหลังม้าเดินช้าๆ มาหาซารยาง
ในค่ายกษัตริย์โคคุรียว
จูมูชิ บ่นหน้ากระโจมของทัมด๊ก : ข้าสงสัยว่าฝ่าบาทเสวยแล้วหรือยัง ถือเหล้ามาด้วย 1 ขวด เอามือลูบท้องตัวเอง ข้า อิ่ม มาก .....เมื่อเข้าไปในกระโจม ก็ต้องตกใจ ชะงัก : เกิดอะไรขึ้น....ฝ่าบาท
ทัมด๊ก ประทับนั่งท่าทางประชวร พระเสโท (เหงื่อ) ซึมที่พระพักตร์ ทรงหอบ พระอัสสาสะ ปัสสาสะ แรง (ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก)
ทัมด๊ก เงยพระพักตร์ขึ้น.
ทุกครั้งหากมีผลกระทบใด ๆ ถึงพระโอรส ทัมด๊ก จะมีพระอาการผิดปกติ

Copyright @ Amornbyj & SUE