Friday, May 30, 2008

หวูฉี่ ปรมาจารย์ตำราพิชัยสงคราม หวูจื่อ

ขอเล่าประวัติ ปรมาจารย์ตำราพิชัยสงคราม หวูจื่อ เพิ่มเติม
เพราะ มีเรื่องราวที่สัมพันธ์ กับ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ของเรา
หวูฉี่ เกิดที่รัฐเว้ย เมื่อเข้าศึกษาที่สำนักเจินจื่อ (สานุศิษย์ของขงจื่อ)เขาโด่งดังเพราะคำคมที่ว่า
“ข้าพเจ้าจะต้องสำรวจตรวจสอบตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง”
เนื่องจากมารดาตนเองถึงแก่กรรม แต่หวูฉี่ ไม่ได้เดินทางไปเคารพศพเพื่อแสดงความกตัญญู เป็นการฝ่าฝืนจารีตประเพณีของสำนัก หยูเจีย (ที่ถือเอาเมตตาธรรมเป็นอำนาจ) จึงถูกขับออกจากสำนัก การที่หวูฉี่ ยึดถืออำนาจเป็นธรรม เป็นแนวทางสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและสร้างแสนยานุภาพให้เกรียงไกร ก็เริ่มมาจาก ผลกระทบด้านความคิดของสำนักหยูเจีย นี่เอง


Copyright@Amornbyj

เขาไปรับราชการที่ ที่รัฐ หลู่ (ทางภาคใต้ของมณฑลชานตงในปัจจุบัน) ขณะนั้นรัฐ ฉี มักยกทัพมารุกรานรัฐหลู่ อยู่เสมอ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นขุนพลนำทัพ แต่ภรรยาของหวูฉี่ เป็นคนรัฐ ฉี จึงมีคนคัดค้าน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่คิดคดต่อรัฐหลู่ เขาจึงฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อตีทัพรัฐฉี แตกพ่ายไป เขาก็ถูกศัตรูทางการเมืองโจมตี ในที่สุด ก็ออกไปจากรัฐหลู่
และไปอยู่กับ เว้ยอุ๋นโหว อ๋องแห่งรัฐเว้ย (ก่อน ค.ศ.445-396 ปี) (รัฐเว้ยอยู่ระหว่างมณฑลเหอเป่ยและมณฑล ซานซี ในปัจจุบัน) ได้เป็นขุนพลนำทัพ และตีรัฐ เฉิน ที่เกรียงไกร ทางด้านทิศตะวันตก ยึดเมืองได้ 4 เมือง อ๋อง เว้ยอุ๋นโหว แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ซีเหอ ฐานปฏิบัติการแนวหน้า คอยต้านกำลังรัฐฉิน และได้ยกทัพรบกับบรรดารัฐต่างๆ ถึง 76 ครั้ง ได้ชัยชนะมา 66 ครั้ง นอกนั้นเป็นการเจรจาสงบศึก และได้ขยายอาณาเขตไปถึง พันลี้
ต่อ มา อ๋องเว้ย ถีงแก่กรรม มีราชบุตร อู่โหวสืบต่อ อำนาจ(395-370 ) ปีก่อนคริสตศักราช และถูกอัครเสนาบดีรัฐเว้ยริษยา วางแผนใส่ร้าย ต้องหนีภัย ไปอยู่รัฐฉู่
อ๋องรัฐฉู่ ครองอำนาจ ในปี ก่อน ค.ศ.410-341 ปี แต่งตั้งให้เป็น อัครเสนาบดี หวูฉี่ ตอบสนองบุญคุณ ที่ อ๋องรัฐฉู่ รู้คุณค่าของเขา จึงยกทัพไปปราบรัฐ แว่ทางใต้จนสงบราบคาบ ทางเหนือ ก็ผนวก รัฐเฉินและรัฐไฉ ยกทัพ ไป ตอบโต้กองกำลังทหารของรัฐ เฉา รัฐเอ้ย รัฐ หั้น จนถอยร่นกลับไป ทางทิศตะวันตก ก็ยกทัพไปโจมตี รัฐฉินอันเกรียงไกร โดยได้ชัยชนะมาตลอด จนเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผู้ครองนครรัฐต่างๆ
แต่ความสามารถจริงๆของ หวูฉี่ คือด้านการปกครองภายในประเทศ ระบบการปกครองได้ก้าวออกจากระบบศักดินาไปสู่ระบบการปกครองรูปอำเภอและเขต บรรดาเจ้าขุนมูลนาย ที่ได้รับศักดินาและยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่กินบรรดาศักดิ์นี้ได้ 3 ชั่วคน พากันเดือดร้อนและต่อต้าน เพราะหวูฉี่ต้องการกำจัดอภิสิทธิ์ในการสืบช่วงศักดินา มุ่งมั่นสร้างประเทศชาติให้เข้มแข็ง เมื่ออ๋องแห่งรัฐ ฉู่ สิ้นชีวิตลง พวกเจ้าขุนมูลนาย พากันรุมเข้าตีหวูฉี่ หวูฉี่ ได้ล้มตัวลงทับศพ อ๋องแห่งรัฐฉู่ และเขาถูก เกาทัณฑ์ยิงตาย ลูกเกาทัณฑ์นี้ยิงเขาทะลุเข้าไปในศพของอ๋องรัฐฉู่ เป็นเหตุการณ์ในปี ก่อนคริสตศักราช 381 ปี หวูฉี่จึงสิ้นชีวิตเพราะเหตุนี้ เมื่อ ราชบุตร จั๋นขึ้นสืบบัลลังก์ต่อ ได้นำตระกูลเจ้าขุนมูลนายเชื้อสาย อ๋องของรัฐฉู่ ที่ยิงเกาทัณฑ์ ใส่ศพของอ๋องรัฐฉู่ มาประหารชีวิต 70 กว่าตระกูลด้วยกัน

หนังสือประวัติศาสตร์ สื่อจี้ ได้วิจารณ์หวูฉี่ ว่า “ เพื่อที่จะออกไปแสวงหาลาภยศสักการ เขาก็เลยต้องจากมารดาของตน และสังหารภรรยาของตน
มีการกล่าวอีกว่า เป็นนักลัทธิเจ้าขุนมูลนายที่บูชาลัทธิรูปแบบเป็นเอก ในเรื่องนี้ หันเฟยจื่อ ได้กล่าวสอดแทรกถึง หวูฉี่ไว้ดังนี้
หวูฉี่ ได้เอาแถบผ้าแถบหนึ่งให้ภรรยาดู แล้วบอกให้ภรรยาถักตามแถบผ้านี้ หลังจากถักแล้ว ภรรยาถักได้ดีกว่าตัวอย่าง หวูฉี่เดือดดาลมาก ดุภรรยาว่า ข้าต้องการให้ท่านถักตามแบบนี้ แล้วทำไมท่านไม่ถักตามแบบนี้เล่า ภรรยาตอบว่า ผ้า 2 ชิ้นเหมือนกัน เพียงแต่ข้าพเจ้าได้ใช้ความพยายามมากไปบ้างเท่านั้น หวูฉี่เลยหย่ากับภรรยาด้วยเหตุผลนี้
มีการกล่าวว่าเขาเป็นนักลัทธิถืออำนาจเป็นธรรม(คือฝาเจีย) ที่เหี้ยมโหด ซือหม่าเซียน นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ได้กล่าวว่า” หวูฉี่เป็นคนใจดำอำมหิต ก็เลยต้องประสบความหายนะเพราะเหตุดังกล่าวนี้เอง”

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว หวูฉี่ เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ แต่ในยุคที่เขาเป็นใหญ่นั้น บรรดาเจ้าผู้ครองนคร ยกทัพรบราฆ่าฟันกันเป็นว่าเล่น จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ประชาชนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า โดยที่ทุกคนต่างก็ปรารถนาจะเห็นบ้านเมืองสงบราบคาบ รวมเป็นจักรวรรดิผืนแผ่นดินเดียวกัน ยุคสมัยอยู่ในระหว่างเปลี่ยนแปลง อุดมการณ์ของนักลัทธิ ถืออำนาจเป็นธรรม ต้องการขจัดการปกครองในรูปแบบการสืบทอดวงศ์ตระกูล ปกครองบ้านเมืองด้วยอำนาจเป็นธรรม แล้วมุ่งไปสู่เป้าหมายรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว หวูฉี่ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาขุนพลกองหน้าดังกล่าวนี้ ต่อมาเหตุที่พระเจ้า จิ๋นซี ฮ่องเต้ สามารถรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นจักรวรรดิผืนแผ่นดินเดียวกันได้นี้ก็เพราะเป็นดอกผลที่เกิดจากการกระตุ้นของความคิดของพวก ฝาเจีย หรือพวกนักลัทธิ บูชาอำนาจเป็นธรรม ทั้งหลายนั่นเอง

“ อันคนเรานั้นย่อมมีจุดเด่นและจุดเสีย” นี่เป็นบทเร้าใจของหวูฉี่ที่ได้กล่าวไว้

ท่านผู้อ่าน คงสงสัย ว่า เอาเรื่องประวัติ หวูฉี่ มาเล่า กันทำไม ไหนว่าเกี่ยวกับ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ แล้ว มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน ที่อ้างว่า ทัมด๊ก ใช้ตำราพิชัยสงคราม ของหวูฉี่ ก็เล่าไปแล้ว ในส่วน การศึกของทัมด๊ก ....ก็...เป็นเพราะว่า ครั้งที่แล้ว ยังเล่าไม่หมด นั่นเอง เพราะเห็นว่า เรื่องนี้ ยาวมาก เลยต้อง ตัด เป็น 2 ตอน มาเข้าประเด็น กันดีกว่า
ในช่วงที่หวูฉี่ รับราชการกับ อ๋อง เว้ยอุ๋นโหว ได้ มีข้อสนทนากับ ราชบุตร อู๋โหว (หวู่โหว) ในตำราพิชัยสงครามใช้หัวข้อว่า “ พึงสังเกตดินฟ้าอากาศ และทิศทางลม”
ราชบุตร อู๋โหว (หวู่โหว) ถามว่า อันกองทัพนั้น จะบุกก็ดี จะถอยก็ดี มีหลักประการใดบ้าง ?
หวูฉี่ ได้ตอบว่า อันพื้นภูมิที่มีลักษณะเป็น “ เตาเผา” หรือ “หัวมังกร” ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะพื้นภูมิ “เตาเผา” เป็นทางเข้าของหุบเขาใหญ่ และพื้นภูมิ “หัวมังกร” เป็นตีนเขาใหญ่ พื้นภูมิเช่นนี้ไม่เหมาะกับการปฏิบัติการของกองทัพขนาดใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะอาจจะถูกโจมตีได้ง่าย
อันตำแหน่งการปฏิบัติการของกองทัพนั้นจักต้องกำหนดให้แน่นอน อันกองกำลังที่เสียเปรียบทางด้านชัยภูมิ ก็ให้เข้าเผด็จศึกหรือเข้าตีได้

กองธงมังกรเขียวจักต้องประจำอยู่ด้านซ้าย กองธงพยัคฆ์ขาวจักต้องประจำอยู่ด้านขวา กองธงนกกระจอกแดงต้องประจำอยู่ด้านหน้า กองธงเต่าดำจักต้องประจำอยู่ด้านหลัง กองชูธงสัญญาณอยู่ใจกลางกองทัพ ขุนพลผู้บัญชาการรบอยู่ใต้ธงสัญญาณ คอยออกคำสั่งการสู้รบ

ในขณะที่สัประยุทธ์นั้น พึงจักต้องพิจารณาทิศทางลม ถ้าเป็นการคล้อยตามลมพึงจักต้องกู่ร้องโหมตะลุยเข้าตีข้าศึก หากเป็นการทวนลมพึงจักต้องปักหลักยืนมั่นรอคอยจังหวะเข้าโจมตีข้าศึก

คัดลอกจาก ซุนวู ฯ ของคุณเธียรชัย เอี่ยมวรเมธ

และ จากหนังสือ นี้ คนเล่าเรื่อง ปรับชื่อ จาก หนังสือ หน้า 17เช่น รัฐเอ้ย เป็น เว้ย ตาม หน้าที่121 อ๋อง เอ้ยหวุนโหว เป็น เว้ยอุ๋นโหว ตามหน้าที่ 122 และราชบุตร อู่โหว กับราชบุตร หวู่โหว ต้องขออภัย ท่านนักเขียนหนังสือเล่มนี้ มา ณ ที่นี้

ศักดินา คือ อำนาจปกครองที่นา ( ของไทยเราก็มีระบบนี้ )

( มังกรเขียว ในบทนี้ ที่เกาหลี ก็น่าจะคือมังกรน้ำเงิน และนกกระจอกแดง ก็น่าจะเป็น ฟินิกซ์แดง )

เป็นการขยายความบางส่วนที่ คุณ Roytavan ได้ กล่าวถึง ตำราพิชัยสงครามนี้ ในตอนท้าย ๆ ของเรื่อง เสือขาว หรือพยัคฆ์ขาว เมื่อ 28/05/08 และ เรื่อง เทพผู้พิทักษ์ทั้ง 4 กับตำราพิชัยสงครามเรื่องทิศทางในการเดินทัพ (มังกรน้ำเงิน) เมื่อวันที่ 18/05/08

และบางที คุณ Roytavan อาจจะมีรายละเอียดอื่น ๆ มาเล่าเสริม แต่คงอีกสักระยะ เพราะว่า....

ในระยะ 2-3-4 วันนี้ บรรดา แฟนคลับ ของ คุณ เบ ยองจุน ไม่เป็นอันจทำอะไรกัน เนื่องจาก นับแต่เมื่อวาน วันที่ 30 พฤษภาคม 2551 พวกเรา ทุกคน ตื่นเต้น เป็นสุข ปลาบปลื้ม ยินดี กับข่าวคราว ความเคลื่อนไหว ของ คุณ เบ ยองจุน นับแต่ ไปถึง สนามบิน นานาชาติ อินชอน ของเกาหลีเมื่อตอน บ่าย 2 โมง กว่า เพื่อเดินทาง อย่างเป็นทางการ ไปประเทศ ญี่ปุ่น เพื่อไปร่วมงาน TWSSG Premium Event ที่เมืองโอซาก้า เมื่อ เวลา 4 โมงเย็นกว่า ที่สนามบิน Kansai ของเมือง โฮซาก้า ที่มีแฟนคลับ ไปรอรับคุณ เบ ยองจุน ผู้เป็นที่รัก ของ พวกเขา ของพวกเรา และของคนเกือบทั่วโลก ไม่มีเพศ วัย เชื้อชาติ ศาสนา มีเพียงหนึ่งเดียว คือ BYJ FAMILY ปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นตลึง ในอดีต เมื่อ ปี 2004 ที่ คุณ เบ ยองจุน กลายเป็น ท่าน ยอน-ซามะ ของชาวญี่ปุ่น กลายเป็นเรื่อง ที่ หลายวงการตื่นตัว เข้ามาศึกษา วิจัย ค้นคว้า ว่า เหตุใด คุณ เบ ยองจุน จึงทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้ แม้แต่ มหาวิทยาลัย โด่งดังของโลก หลายๆ แห่ง ต้อง ทำการวิจัย ค้นคว้า รวมถึง ที่บ้านเรา ทั้งจุฬา ธรรมศาสตร์ ต้องจัดสัมมนา กันมาแล้ว

แฟนคลับ 4 พัน กว่าคน ที่เคยไปสร้างปรากฏการณ์ รอรับ คุณ เบ ยองจุน ที่สนามบิน นาริตะ ปี 2004 เมื่อ เวลาผ่านไป อีก 3 ปี ณ สนามบิน Kansai กลายเป็น 6 พันคน รอบนอกสนามบิน และในสนามบินเอง ต้องมีบัตร วี ไอพี จึงจะเข้าได้ อีก พันคน ต้องใช้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 400 คน และมีนักข่าวจำนวน มาก ๆ (จนไม่กล้าบอกว่าเท่าไร )รอทำข่าว มีแฟนคลับไปรอ กันตั้งแต่ วัน ที่ 28 พฤษภาคม เพื่อจับจอง ว่า ตัวเอง จะอยู่มุมไหนดี ที่จะทำให้ มองเห็น บุคคลอันเป็นที่รักของบรรดาพวกเขา แล้ว ไม่นานหลังจาก คุณ เบ ยองจุน ได้สัมผัสพื้นแผ่นดิน โฮซาก้า ทุก WEB ของครอบครัว BYJ ก็คึกคัก ด้วย ภาพ ด้วยข่าว ที่ส่งถึงกันอย่างรวดเร็ว และสายโทรศัพท์ ที่ส่งข่าว ที่ตัวเอง เปิดจอคอม พบเห็น
ทุกคนปลื้มปิติ ยินดี มีความสุข ที่ BYJ ยังครอบครอง พื้นที่ในห้วงดวงใจของชาวญี่ปุ่น สนิท แนบแน่น ไม่เสื่อมคลาย และกลับทวีจำนวนดวงใจของคนที่รัก BYJ มากขึ้นตามวันเวลา

ดังนั้นต้องขอ อภัย หลาย ๆท่าน ที่เข้า มาอ่านเรื่องย่อของละคร แล้ว รู้สึก ว่า การเล่าเรื่องย่อ ไม่คืบหน้าเลย ได้โปรดให้ อภัย และโปรดเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ คณะทีมงาน กันสักนิดเถิดนะ