Sunday, June 1, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ( ตอนที่ 22 )


...ตอนที่ 22...

ในค่ายของกษัตริย์โคคุเรียว
ฮีกแก : ข้าได้ยินว่าฝ่าบาททรงพระประชวรหรือ
ดัลโก : ข้าไม่รู้ ฝ่าบาททรงประชวรกระทันหัน
ฮีกแกหันไปถามฮยอนโก : ทรงเป็นอะไร
ฮยอนโก : พระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ บางครั้งก็เต้นรัวเร็วมาก ฮีกแก ถามซ้ำ ว่าทำไม
ฮยอนโก : ถ้าข้ารู้ก็ดีนะซี
มีทหารเข้ามากราบทูลว่า : ทหารที่หนีทัพเข้ามาใกล้ มีชาย 2 คนกำลังไล่ล่าพระเจ้าค่ะ ทรงมีพระกระแสรับสั่งกับฮีกแก : ท่านแม่ทัพช่วยไปรับพวกเขาให้ข้าที ผู้หนีทัพทุกคนจะได้รับตำแหน่งในกองทัพหลวงของเรา
ฮีกแก : รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ


ฮยอนโก กราบทูลว่า ครึ่งหนึ่งของทหารในกองทัพ ของยอนโฮแก ได้หนีทัพมา เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดการจลาจลในค่ายทหารของเขา(คำที่ถูกต้องของคำว่าบอกกับ ระดับกษัตริย์ต้องใช้คำว่า กราบบังคมทูลพระกรุณาขอใช้ย่อว่ากราบทูล ซึ่งใช้ในระดับเจ้านายทั่วๆไป)
ทัมดั๊ก : ท่านอาจารย์ไปพูดคุยกับทหารที่หนีทัพ และสืบดูว่า โฮแก ทำอะไรอยู่
ฮยอนโกรับสนองพระบัญชา
อาลักษณ์ ฮยอนคงวิ่งเข้ามาในที่ประทับกราบทูลว่า นกบูรุมแช เพิ่งส่งข่าวมาว่า เกิดสงครามขึ้นในกองทัพของยอนโฮแก ฮยอนคงที่ถือสารอยู่ มือไม้สั่น
ทัมดัก : เช่นนั้นหรือ รีบไปกันก่อนที่คนของข้าจะบาดเจ็บมากกว่านี้
ขุนพลโก ยังห่วงพระอาการประชวร ที่ยังดูว่าทรงเหน็ดเหนื่อย พระเสโทซึมที่พระนลาฏ เมื่อเสด็จลุกขึ้นพระราชดำเนิน เพียง 3-4 ก้าว ก็ทรง เซถอยหลัง : ฝ่าบาท ทรงเป็นอย่างไรบ้างพระเจ้าค่ะ
โซคีฮา คลอดพระโอรสก่อนกำหนด และไม่ได้สติ หญิงชาวบ้านและ ซูจินี ทั้งปลุกทั้งเขย่าเพื่อให้ โซคีฮา ออกแรงเบ่ง แต่ไม่ได้ผล ในที่สุด ด้วยบุญญาธิการ ของโอรสแห่งสวรรค์ พระโอรสก็มีพระประสูติการ ได้เอง (หากไม่ใช่โอรสจากสวรรค์โซคีฮา ต้องเป็น แม่นาคพระโขนง เพราะตายทั้งกลมแน่เลย)
ที่ด้านนอก แทจังโร บอกกับซารยางว่าได้ยินข่าวลือว่าโซคีฮา ได้สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินและฟินิกซ์ จึงรีบขี่ม้ามาทั้งกลางวันกลางคืน
ซารยาง : ท่านคีฮา กำลังเจ็บท้องอยู่ ท่านน่าจะคุยเรื่องนี้กับนางในภายหลัง
แทจังโร : เป็นอย่างไรบ้าง มันยังไม่ถึงเวลา
ซารยาง : เพราะเหตุนี้ข้าคิดว่านางกำลังอยู่ในอันตราย แทจังโรคาดคั้นซารยาง ในเรื่องที่เคยมอบหมายไว้ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายซารยางต้องรีบดำเนินการ พลางยื่นกล่องให้ สิ่งเดียวที่จะอยู่ในกล่องนี้ก็คือหัวใจดวงน้อยของทารกนั่น และย้ำว่า เจ้าต้องไม่พลาดเวลานั้น
เมื่อซารยางหิ้วถังน้ำกลับมา ก็พบว่า โซคีฮา คลอดแล้ว นอนแน่นิ่ง ซูจินีกำลังอุ้มเด็กที่อยู่ ในห่อผ้าซารยางทั้งห่วงใย โซคีฮา ทั้งคาดหวังให้เป็นเด็กผู้หญิงเมื่อถาม ซูจินี ตอบว่า โซคีฮา หมดสติ และเด็กเป็นผู้ชาย แถมพูดต่อว่า : ข้าคิดว่าข้ารู้ว่าใครเป็นพ่อ แต่ทำไมนางถึงได้มาสนามรบในสภาพเช่นนี้ แล้วก็วางทารกน้อยไว้ข้างโซคีฮา ก้มลงหยิบมีดสั้นที่พื้น หันหลังจะเดินออกไปจากห้อง

ซารยางบอก ซูจินี ว่า โซคีฮา เป็นพี่สาว ที่ฮวาเซิน เอาตัวมาจากตระกูลแฮ ในแพคเจ ซูจินี นึกภาพ ที่ตัวเองเดินตัดหน้า โซคีฮา ในวัยเด็กที่ตลาดได้ ซารยางพูดต่อว่า โซคีฮา ได้ความจำกลับมาเมื่อหลายวันก่อน และรู้แล้วว่า ซูจินี คือน้องสาว และพ่อของเด็กคนนี้ก็คือ กษัตริย์ ของซูจินีนั่นเอง
ซูจินี โกรธ : เจ้าสารเลว ปราดเข้าไปหาเอามีดจะทำร้ายซารยางซึ่งซารยางแค่หลบหลีไม่ตอบโต้ และยึดแขนซูจินีไว้ : โปรดช่วยชีวิตเด็กคนนี้ พวก ฮวานเซิน กำลังรออยู่ข้างนอก พวกนั้นจะแหวะอกเอาหัวใจเด็กไป ข้าหยุดพวกนั้นไม่ได้ เจ้าต้องช่วยชีวิตเขา
ซูจินี สะบัดซารยางออก : เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไรกัน
ซารยางก้มลงอุ้มทารากในห่อผ้ามาส่งให้ซูจินีบอกซ้ำ ว่า : เอาเด็กหนีไปให้พ้นอย่าให้ใครเห็นเขา จนกว่าหัวใจเขาจะเติบโตขึ้น ฮวานเซิน อยุ่ในทุก ๆ แห่ง ที่ปราสาทโกกแนก็ไม่ปลอดภัย
ซูจินีรับทารกมาอุ้ม มองหน้าทารกน้อย ซารยางย้ำว่า เขาเป็นลูกของกษัตริย์และพี่สาวของเจ้า ซูจินี หันมามอง โซคีฮา ที่ยังนอนหมดสติอยู่ มองทารกในอ้อมกอดของตัวเอง
โซคีฮา สะดุ้งฟื้นได้สติ กับภาพที่ คาจิน โยน โอรสของ เทพฮวานอุง และ แชโอ ลงหน้าผา โผเผลุกขึ้นไม่เห็นลูกน้อย เห็นเพียงแต่ศพ หญิงชาวบ้าน นอนตายที่พื้นห้อง ก็ผงะ และตกใจ ผลุนพลันออกมาจากห้องนั้น ที่บ้านใกล้กัน มีหญิงชรา และเด็ก 2 คน เศร้าโศกกับซากศพ ของน้องคนเล็ก ที่นอนตายเนื้อตัวมีแต่เลือด ซารยางเอากล่องเปื้อนเลือดส่งให้ แทจังโร เมื่อรับมากำลังจะเปิดฝากล่อง โซคีฮา ก็เข้ามา ร้องตะโกนถามหา : ลูกข้า ลูกของข้าอยู่ที่ใด ลูกข้าอยู่ที่ใด แล้วก็มีเสียง แทจังโร ตอบมาจากด้านหลัง ว่า : คีฮา ที่รักของข้า เจ้าสบายดีหรือ
โซคีฮา หันมาก็พบแทจังโร ยืนอยู่กับซารยางที่ทำท่าอยากจะบอกอะไรสักอย่างกับ โซคีฮา
แทจังโร : สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่ใด มันไม่ได้อยู่ในครอบครองของเจ้าหรือ ซารยางทำท่าขยับปากอยากพูด แต่พูดไม่ได้ มีทหารฮวาเซินเข้ามาขวาง โซคีฮา ถูก โซคีฮา ซัดกระเด็นไป และร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ลูกของข้าอยู่ที่ใด ซารยางอ้ำอึ้ง ..ท่านคีฮา...เด็ก …. แทจังโร สอดขึ้นว่า : ถูกฆ่าตายแล้ว โซคีฮา ตกตะลึง ถอยหลังออกมา
แทจังโรบอกว่า : ซารยางเอาหัวใจเด็กมาให้ข้า ต้องให้ข้าบอกอีกครั้งไหมว่า ทำไมเราต้องทำเช่นนี้ โซคีฮา ได้แต่ตะโกนว่า : โกหก ท่านโกหก ซารยางมองโซคีฮา แบบอยากอธิบาย
แทจังโร : สองพันปีที่ผ่านมา...ฮวาเซิน พูดไม่ทันจบ โซคีฮา ก็ตะโกน ว่า หุบปากแล้วกระโดดเข้าหา แทจังโร แทจังโร ขยุ้ม ไหล่ซารยางเอามาบังตัวเอง ดาบในมือ โซคีฮา เสียบเข้าที่หัวใจ ของซารยาง( ในเรื่องนี้ ทุกตัวละคร ฝีมือแน่มาก ทุกครั้ง จะทำร้ายใคร ตรงเผงที่ระดับหัวใจ ทุกครั้งเลย )
โซคีฮา ตะลึงตกใจ เสียใจ
แทจังโร : เจ้าต้องจำไว้ ในฐานะมารดาของโลก ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า ไปที่ อาบูลันซา ถ้าเจ้าต้องการโลก มาที่อาบูลันซา ที่นั่นเป็นที่เริ่มต้นของทุก ๆอย่าง
โซคีฮา ยังกำดาบที่เสียบหัวใจซารยางอยู่ ทั้งคู่ทรุดตัวลงกองกับพื้น โซคีฮา หันไปทาง แทจังโร พยายามจะลุกขึ้นแต่ซารยางก็พยามยึดไว้ โซคีฮา ท่าทางยิ่งคลุ้มคลั่ง ซารยางพยายามพูดว่า....มีชีวิตอยู่ ...โปรดมีชีวิตอยู่...เด็ก ... แล้วก็เอียงล้มลงขาดใจตายก่อนจะบอกหมดข้อความ โซคีฮา ตะโกน ร้องไห้ อย่างน่า เวทนา ( เฮ้อ.....น่า อนาถ ใจเหลือประมาณ)
แทจังโร เข้าไปเอากล่องสัญลักษณ์ ในห้องที่โซคีฮา คลอดพระโอรส … แทจังโรเคยบอกซารยางในถ้ำในยามหลบซ่อนตัวที่บาดเจ็บจาก มังกรน้ำเงิน.ว่า .......เมื่อสัญลักษณ์ที่ฟื้นขึ้นมาทั้งสี่ หาที่ของมันพบ มันต้องใช้เลือดของทายาทเป็นกุญแจสำคัญในการนำอำนาจจากสวรรค์....แทจังโรยกกล่องที่ใส่เลือด เทเลือดราดลงไปที่สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินและพินิกซ์ แล้วก็ต้องผิดหวัง คำรามอย่างโมโหว่า...เจ้าโง่นั่น....มันหลอกข้า....เด็ก...ข้าต้องหาเด็ก...เด็กยังมีชีวิตอยู่
ซูจีนี อุ้มทารกน้อย ขี่ม้าผ่านเข้าไปในป่า.....

ในค่ายทหารของยอนโฮแก

ทหารม้าเหล็กสู้รบกับทหารโคคุเรียวและทหารอาสาสมัคร จอกฮวาน รายงานว่า จำนวนมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราทำอะไรไม่ได้มาก ส่วน อิลซู ก็เสนอว่า เราต้องถอยก่อนที่จะสายเกินไป ยอนโฮแก ชักดาบ ออกมา บอกว่า อย่าตามข้าไปอีก แล้วก็ออกจากกระโจม อิลซู จอกฮวาน ก็ชักดาบออกจากฝัก ตามออกมา เหลือเพียงแม่ทัพใหญ่ ที่ค่อย ๆ เดินอย่างครุ่นคิด
ทั้งยอนโฮแก อิลซู จอกฮวาน ฆ่านายทหาร ทหารชั้นผู้น้อยไปมากมาย และออกไปนอกค่ายมีทหารม้าเหล็กตามไปด้วยกลุ่มหนึ่ง มีไฟลุกไหม้ในค่ายเป็นหย่อม ๆ
ทัมด๊ก ขุนพลโก จูมิชิ และคนอื่นๆ มาถึงค่าย และลงจากหลังม้า ทหารที่เหลืออยู่ในค่ายพากัน คุกเข่าถวายคำนับรับเสด็จ ฝ่าบาท ฝ่าบาท
แม่ทัพใหญ่ ออกมาทรุดตัวคุกเข่าตรงหน้าทัมด๊ก กราบทูลว่า : เราทำบาปต่อพระองค์ สองมือ ประคองดาบของตนเองถวายให้ ทัมด๊ก หม่อมฉันขอถวายดาบให้แก่พระองค์และรอคอยการตัดสิน
ทัมด๊ก เอาพระหัตถ์กดดาบลง พยุงแม่ทัพให้ลุกขึ้นยืน จับแขนแม่ทัพแบบปลอบใจ แม่ทัพใหญ่ ถวายคำนับเรียก ...ฝ่าบาท.. ทหารที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นพูดพร้อมกัน ฝ่าบาท... ฝ่าบาท..
นี่เป็นทหารกลุ่มสุดท้ายของยอนโฮแก ที่เข้าร่วมกับกองทัพของ ทัมด๊ก ทัมด๊ก เสด็จเข้าไปในกระโจมกองบัญชาการของยอนโฮแก ข้าวของล้มระเนระนาด ไม่มีร่องรอยของ ยอนโฮแก
ฮยอนโก กราบทูลว่า : พวกเราส่งกองสอดแนมไปทุกทิศทางพระเจ้าค่ะ มีทหารม้าเหล็กราว 20 นาย ติดตาม ยอนโฮแก ไป และเส้นทางคือมุ่งตรงไปข้างหน้า
มีเสียงจูมูชิ ถามว่า : ใครอยู่ตรงนั้น



แล้วชอโร ก็ตามเข้ามา กราบทูลว่า : ถ้าฝ่าบาทตามหากองทหารม้าเหล็ก หม่อมฉันเห็นพวกเขาไปตามทางนี้ มีพวกคอรัลไล่ตามล่า ประมาณ 50 คน
ทัมด๊ก ทรงถามหา ซูจินี ว่าอยู่ที่ใด ชอโรหลบสายตามองมองพื้น ทัมด๊ก สั่งให้ขุนพลโกเอากองทหารไปคอยสกัดพวกคอรัล ห้ามต่อสู้ แค่ทำให้ไขว้เขวเท่านั้น
ขุนพลโก : ฝ่าบาทกำลังจะช่วยเขาหรือพะย่ะค่ะ
ทัมดั๊ก : ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าเท่านั้นที่จะลงโทษพวกกบฏได้ แล้วทรงสั่งชอโร : มากับข้า จูมูชิ ที่อยู่ด้านหลังรู้ ว่า นั่นหมายถึง ตนเองด้วย ที่ต้องตามเสด็จ เพื่อไปช่วย ยอนโฮแก ฮยอนโก ปราดเข้ามาแถมจับพระกรของ ทัมดั๊ก อย่างห่วงใยเต็มที่ ขอร้องให้ทรงนำกองทหารไปด้วย ไม่ควรเสด็จไปไหนพระองค์เดียวแต่ ทัมด๊ก ทรงตอบว่า การเคลื่อนกองทัพ จะทำให้คอรัลสังเกตเห็น และสงครามก็จะเกิดขึ้น ทรงกำชับฮยอนโก : ท่านอาจารย์ฟังข้านะ อย่าส่งทหารตามข้าไป (ทรงทำให้ฮยอนโกกลุ้มใจอีกแล้ว ในการเสด็จโดยไม่มีกำลังกองทหาร )
ฮยอนโก : ฝ่าบาท พวกคอรัลจะ....
ทัมดั๊ก : สกัดพวกเขาให้ข้าก็พอ
จูมูชิ จับแขนฮยอนโก ที่ยังยึดพระกร (พระกร พระพาหุ พระพาหา เป็น3 ส่วนของช่วงแขน) ของ ทัมด๊ก อยู่ บอกว่า ไปกัน เราต้องรีบ จะได้รีบกลับมากินข้าว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว ( ทำยังกับว่าจะออกไปเดินเล่นเดี๋ยวเดียว) ฮีกแก ถามฮยอนโกว่าจะเสด็จไปไหน เดี๋ยว...และรู้ว่า ต้องเกี่ยวกับ ยอนโฮแก



ยอนโฮแก อิลซู จอกฮวาน ขี่ม้าผ่านหมู่บ้านร้างของคอรัล ยอน โฮแก ลงจากหลังม้า ท่าทางเหนื่อยอ่อน และรู้สึกว่ากำลังถูกไล่ล่า มีลูกธนูยิงมาทักทายก่อน แล้วก็มีตามมารอบทิศทาง ทหารม้าเหล็กตายไปหลายคน พอตั้งตัวได้ก็กลายเป็นทหารคอรัลตายไปมากมาย ด้วยฝีมือเฉียบคมของ ยอนโฮแก อิลซู จอกฮวาน แต่ก็มีทหารคอรัล หนุนเข้ามาเป็นระลอก ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด ดูทัย เป็นผู้นำทหารคอรัลมาคอยดักยอนโฮแก และร้องถามว่า : ใครคือ ยอนโฮแก จอกฮวาน ตวาดว่า เจ้ากล้าดีอย่างไร มาเอ่ยชื่อท่าน...ท่านผู้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่แห่งโคคุเรียว ดูทัยตอบว่า กษัตริย์แห่งโคคุเรียว ได้มอบเขาให้กับพวกข้าแล้ว
ยอนโฮแก : เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แห่งโคคุเรียว มอบข้าให้เจ้าจริงหรือ
ดูทัย : ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองสืบจากคนของเจ้าสิ ข้า ดูทัยจาก คิโดฮารี จะเอาหัวของเจ้าให้ได้
ยอนโฮแก ยกดาบชี้หน้า ดูทัย มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก แล้วเดินเข้าหาดูทัย ทหารคอรัล ฮือกันดาหน้าเข้ามา ยังไม่ทันได้ต่อสู้กัน ก็มีลูกธนู ยิงมาสกัดกั้นกลางขวาง ระหว่างทั้งสองฝ่าย มีเสียงฝีเท้าม้ามาหลายตัว



ทัมด๊ก ทรงม้าเข้ามากับ จูมูชิ และชอโร ดัลโก และทหารอีก 2 คน ดูทัย ทำท่าแปลกใจ ทัมด๊ก ตรัสว่า : เจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข่านของเจ้าหรือ คนที่อยู่ต่อหน้าเจ้า เป็นคนของโคคุเรียว เจ้าทำร้ายเขาโดยที่ข้าไม่อนุญาต ไม่ได้
ยอนโฮแกมองจ้อง ทัมด๊ก
ดูทัย : ถ้าท่านข่านรู้ว่า ทรงทำเช่นนี้ ท่านก็คงจะโกรธเป็นไฟ แล้วพูดกับพวกคอรัลว่า : พวกเราคอรัลนี่คือกษัตริย์แห่งโคคุเรียว และผู้บัญชาการทหารแห่งโคคุเรียว ถ้าพวกเราฆ่าเขาชัยชนะจะเป็นของคอรัล ยกดาบชูขึ้น ทหารคอรัล โห่ร้องรับคำ
ทัมด๊ก กริ้วจัด แผดพระสุรเสียง ว่า : ข้าขอพูดกับคนของคอรัล นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อมาพบคนของข้า ข้าจะไม่ปราณีกับคนที่ขัดขวางข้า เพื่อไม่ให้เกิดสงครามใหญ่โต พวกเจ้าทุกคนจะถูกฆ่าเพื่อปิดปาก พวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีกหรือ ( ถึงคราวเหี้ยม เสียงของ เบ ยองจุน ก็ฟังแล้วเหี้ยมเกรียม)



ดูทัย : คนที่ฆ่ากษัตริย์โคคุเรียวได้ จะเป็นนักรบที่เก่งกล้าของคอรัล แล้วชักดาบออกมาตะโกนสั่ง โจมตี
ทหารคอรัล พุ่งตัวเข้ามาหา ทัมด๊ก และผู้ติดตาม ในลักษณะที่มีแถวทหารคอรัล อยู่นอกสุด ยอนโฮแก กับพวก มีทหารคอรัล อยู่ถัดมา และ ทัมด๊ก
จูมูชิ ชอโร ดัลโก และทหาร ลงจากหลังม้า สกัด คอรัล ทัมด๊ก ทรงม้า จ้องพระเนตร อยู่กับ ยอนโฮแก แล้ว ยอนโฮแก ก็หันกลับไปต่อสู้กับ คอรัล ที่ฮือเข้ามาทางด้านหลัง ทัมด๊ก กระโดด ลอยพระองค์จากหลังม้า
( ท่าทางเยี่ยมยุทธ์ มากเลย ขอบอก)
ทัมด๊ก จูมูชิ ชอโร และผู้ติดตามก็ฆ่า ทหารคอรัล ในที่สุด ดูทัย ก็ถูก ทัมด๊ก ฆ่าตาย เมื่อขี่ม้าเข้ามาหา ทัมด๊ก
จอกฮวานก็ถูกแทงบาดเจ็บ แต่ใจสู้ไม่ยอมถอยไม่ยอมล้ม ( อึดจริงๆ สมนาม ทหารม้าเหล็กแห่งโคคุเรียว)

ใบไม้ ทั่วบริเวณ ปลิวว่อนหล่นลงมาไม่ขาดสาย เมื่อใบไม้หยุดร่วงหล่น คนของคอรัลก็ตายหมดพอดี (ทำให้นึกถึงคำพูดว่า ตายยังกับใบไม้ร่วง เป็นแบบนี้นี่เอง ประโยคนี้ชัดเจนมากใน ตอนที่ 22 ของTWSSG ) เหลือแต่พวกโคคุเรียว

และ เพลงประกอบ การต่อสู้ ทุกครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ทั้งเร้าใจ ไพเราะ ขอบอกอีกที
ทัมด๊ก : เจ้าเห็นพวกเขาไหม คนที่ต้องตายเพราะเรา
ยอนโฮแก : ฝ่าบาท กษัตริย์แห่งโคคุเรียว เอ่ยจบ ก็ ตะโกนเสียงดังออกมาแบบคับแค้นใจสุด ๆ ( ชะช้า..เจ้าโฮแก มาตะโกนใส่ ทัมด๊ก ของพวกเราได้ยังไง บังอาจ..... นักเชียว)
ทัมด๊ก : นี่คือสิ่งที่กษัตริย์จะต้องเป็น คนที่จะต้องตัดสินใจในเรื่องวิกฤต ทุกวัน แม้ว่าจะมองไม่เห็นอนาคตและทุกๆเวลาจะต้องเศร้าเสียใจ ถ้าเจ้ากลับมาเมื่อข้าเรียก คนก็คงจะตายน้อยกว่านี้
ยอนโฮแก : หยุดพูดเรื่องเหลวไหล ถ้าหากจะมาเพื่อฆ่าข้า ก็ทำสิ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้า (ไม่เรียกฝ่าบาทแล้ว)



ทัมด๊ก : เจ้าอยากเป็นกษัตริย์มากนักหรือ
ยอนโฮแก หน้าตาเคียดแค้น : เจ้าไม่เข้าใจหรือ ข้าไม่เคยต้องการเป็นกษัตริย์ สิ่งที่ข้าต้องการก็คือการแก้แค้นเจ้า ตะโกนเสียงดังแล้วก็กระโจนเข้าใส่ทัมด๊ก จูมูชิ ขยับตัวทันที
ทัมด๊ก ก็แผดสุรเสียงตะโกน เสียงดัง ไม่แพ้กัน ( ไม่ห่วงเรื่องหล่อเลยละ) กระโจนเข้าหา ยอนโฮแก ประดาบกัน ดุเดือด จนดาบประสานกัน ต่างองค์ต่างคน ออกแรงเต็มที่ จูมูชิ : เจ้าสารเลว แล้วถลาเข้าไปจะช่วย แต่ ชอโร เอาทวนกันไว้ ทัมด๊ก กระชากพระแสงดาบออก ใช้ พระอังสกุฎ (ไหล่) กระแทก ยอนโฮแก กระเด็นออกไปติดต้นไม้ ยอนโฮแกต้องเอามือยันตัวไว้
ทัมด๊ก : โฮแก เจ้าไม่รู้เลยหรือว่า ข้ามาที่นี่ทำไม เจ้าไม่รู้เลยหรือว่า ทำไมข้ามาโดยไม่มีกองทหาร เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าทำไมข้าต้องฆ่าคนพวกนั้น ( โง่จริงๆ ไม่ยอมรู้สักเรื่องเลยนะเจ้า โฮแก)
ยอนโฮแก เอาดาบชี้ ทัมด๊ก : เจ้าต้องการหัวเราะเยาะข้า ถูกแล้ว ตอนนี้ก็ได้เห็นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า หรือเจ้าต้องการให้ข้าก้มหัวให้และเรียกเจ้าว่าฝ่าบาท แล้ว ก็แผดเสียงระบายอารมณ์หลังจบคำพูด
ทัมด๊ก : ทำสิ ก้มหัวให้ข้า และเรียกข้าว่าฝ่าบาท แล้วก็ต่างฝ่ายกระโจนเข้าหากันอีก สู้ไปได้สักพัก ยอนโฮแก ล้มหงายหลังลงพื้น แล้วก็รีบผุดลุกขึ้นยืน กระโดดเข้าหาอีก ทัมด๊ก ทรงใช้พระบาท ถีบ ยอนโฮแกกระเด็นลงไปนั่งพื้น หลังพิงต้นไม้ ทัมด๊ก ใช้ดาบจ่อ ยอนโฮแก ตรัสว่า : ให้เหตุผลที่ข้าจะไม่ต้องฆ่าเจ้าสิ
ยอนโฮแก ทวนคำ : เหตุผล... เจ้าฆ่าพ่อและแม่ของข้า เจ้าทำร้ายหัวใจของผู้หญิงที่ข้ารัก แล้วก็เงยหน้ามองทัมด๊ก พูดต่อ : แล้วยังต้องการให้ข้ารับใช้เจ้าในฐานะกษัตริย์ อีกหรือ อย่าลังเล เอาชีวิตข้าไป แผดเสียงอีก

ทัมด๊ก ก็ แผดพระสุรเสียงตวาดเช่นกัน แล้วตวัดพระแสงดาบฟันฉับลงไป (ตอนดู...คนเล่าหลับตาปี๋ ) แต่ กลายเป็นต้นไม้ที่ยอนโฮแกนั่งพิงอยู่ ไม่ใช่คอของยอนโฮแก ต้นไม้ ค่อยๆ เอนล้มลง ขาด เป็น 2 ท่อน

ทัมด๊ก : ท่านผู้บังคับบัญชาการทหาร แห่งโคคุเรียว ยอน โฮแก เจ้าได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือคอรัลระหว่างการทำสงคราม แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของกษัตริย์ เจ้าจะถูกถอดยศ และเนรเทศไป อย่ากลับไปโคคุเรียวอีก
แล้วก็ทรงเสด็จพระราชดำเนินจากไป จูมูชิ และชอโร หมุนตัวเดินตาม ยอนโฮแก ไม่เลิกรา พยุงตัวลุกขึ้น ยืน เอามือกุมท้องที่โดนพระบาทของ ทัมด๊ก ถีบเต็มแรง พูดเบาๆ กับตัวเองว่า หันกลับมา มันยังไม่จบ แล้วตัดสินใจ ตะโกนว่า หยุด แล้วพุ่งดาบใส่พระปฤษฎางค์ ของ ทัมด๊ก ดาบพุ่งวื๊ดผ่านเฉียดหน้าชอโรเส้นยาแดงผ่าแปด ชอโร ทำอะไรไม่ทัน แต่จูมูชิ จับ ทัมด๊ก เบี่ยงพระองค์ออก หมุนตัวกลับมาจะปัดดาบแต่ไม่ทันการ ดาบเสียบเข้าที่หัวใจของจูมูชิ (ก็บอกแล้ว ทุกครั้งที่มีการลงมือไม่ว่าจากใครทั้งนั้น ต้องตรงเป้าหัวใจ ทุกครั้งไง. เห็นไหมเล่า )
ทัมด๊ก ทรงหันมา ยอนโฮแก ทำท่าไม่คาดคิดว่าจะผิดตัว จูมูชิ ทรุดฮวบลง
ทัมด๊ก ทรงประคอง จูมุชิไว้ ชอโร หันไปทางยอนโฮแก กระโดดลอยตัว เอาทวน แทงเข้าที่หน้าอก ตรงหัวใจของ ยอนโฮแก เช่นกัน ทันใดนั้นมีประกายรัศมีสีขาวแผ่กระแทกออกมา
ชอโร และยอนโฮแก กระเด็นกันไปคนละทาง ลงไปกองกับพื้น ท่าทาง ชอโรได้รับความเจ็บปวด ยอนโฮแกหงายหลังลงพื้น อิลซู เข้าประคอง จอกฮวาน ทรุดตัวลงข้างๆ เรียก ท่านผู้บัญชาการท่านเป็นอย่างไร ท่าทางยอนโฮแก ก็เจ็บปวด
ส่วน ทัมด๊ก ทรงขานเรียก จูมูชิ



จูมูชิ ยกมือเปื้อนเลือดขึ้นมา ทัมด๊ก ทรงจับมือ จูมูชิไว้ จูมูชิ กำพระหัตถ์ ทัมด๊ก เอ่ยเรียก ฝ่าบาท...ทำท่าจะทูลลา แต่คอพับลงไปเสียก่อน ทัมด๊ก ทรงหันไปมองยอนโฮแก ทั้งที่ยังประคอง จูมูชิ อยู่ ยอนโฮแก ผงกตัวเองขึ้นท่าทางเจ็บปวดมาก มีประกายสีขาวแผ่ออกมาจากอกเสื้อ ตรงที่ตั้งของหัวใจ จอกฮวาน ตกใจ ยอนโฮแก ล้วงเอาสัญลักษณ์ เสือขาวออกมาจากอกเสื้อ ยอนโฮแก ทนไม่ไหว เหมือนเป็นของร้อนต้องทิ้งสัญลักษณ์ลงพื้น ชอโร ผงกตัวเองมองมือยอนโฮแก มีรัศมีสีขาวพวยพุ่งแผ่ออกมา บนท้องฟ้า เมฆเคลื่อนตัวมารวมกัน มีรัศมีสีขาวกระจายแผ่ลงมา
เสือขาว..จะฟื้นขึ้นมาได้ต้องด้วยหัวใจที่กล้าหาญและบริสุทธิ์ ของผู้พิทักษ์เมื่ออยู่พร้อมกับกษัตริย์จูชิน

ซูจินี ขี่ม้าอุ้มหลานในท่ามกลางทุ่งหญ้า
จูมูชิ และจอกฮวาน ถูกพากลับค่าย จูมูชิ มีอาการฟื้นตัวเร็วมากเหมือนแค่คนนอนหลับไป ทัมด๊ก เอาพระหัตถ์วางบนตัว จูมูชิ แบบปลอบใจ แล้วเสด็จไปที่ จอกฮวาน จอกฮวาน ลงมาคุกเข่าให้ ทัมด๊ก ทูลถามด้วยความเป็นห่วงถึง ยอนโฮแกว่า : ท่านผู้บัญชาการทหารเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ ทัมด๊ก ทรงตอบว่า คนของเขาพาตัวไป ข้าไม่ได้ถามว่าพวกนั้นจะมุ่งหน้าไปทางไหน
จอกฮวาน : หม่อมฉัน จอกฮวาน ไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ แต่หม่อมฉันมีเรื่องขอร้องสักอย่างได้ไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรุดองค์ลง : เจ้าไม่เคยไม่จงรักภักดีต่อข้า ข้าส่งเจ้ามาที่นี่และสั่งเจ้าให้รับใช้ ผู้บัญชาการทหาร เจ้าพูดมาเถอะ
จอกฮวาน : ทรงโปรดตรัสโกหกด้วยพะย่ะค่ะ พวกคอรัลกำลังไล่ล่าท่านผู้บัญชาการทหาร หม่อมฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจไม่มีชีวิตอยู่ได้นาน ทรงนำศีรษะของหม่อมฉันไปให้และบอกกับพวกนั้น ว่า เป็นศีรษะของท่านผู้บัญชาการ ได้ไหม พะย่ะค่ะ ทรง โปรดอภัยที่หม่อมฉันบังอาจขอร้องให้พระองค์ ตรัสโกหก หม่อมฉันขอถวายบังคมต่อฝ่าบาท ทรงโปรดเอาศีรษะของหม่อมฉันให้กับพวกคอรัลด้วย พะย่ะค่ะ ท่าทาง จอกฮวาน ขอร้องอย่างเต็มที่ ทัมด๊ก ทรงเงียบ และทรงไตร่ตรอง คำพูดของจอกฮวาน

จูมูชิ ฟื้นขึ้นมา รู้สึก คันที่แผล และท้องร้องหิวข้าวดังลั่น
ดัลบี หาข้าว ให้ชามใหญ่โต ฮยอนโก เข้ามาบอกว่า : สำหรับเต่าดำ คือความกริ้วโกรธ มังกรน้ำเงิน คือความเยือกเย็น เสือขาวหมายถึง ความกล้าหาญที่บริสุทธิ์ ดังนั้นจูมูชิ คือผู้พิทักษ์ เสือขาวที่ได้รับเลือก จูมูชิถามว่า : ข้าต้องทำอะไร บาซอนประคองสัญลักษณ์เสือขาวมาส่งให้ แแต่ จูมูชิ ไม่สนใจ สนใจแต่ข้าวในชามใหญ่มาก ( หรือเรียกกาละมังดี ) ฮยอนโกถาม บาซอนว่า ท่านคิดอย่างไรกับเจ้าเหล็กชิ้นนี้ บาซอนสนใจชิ้นเหล็กของสัญลักษณ์ตอบคำว่า เป็นโลหะที่ไม่สามารถ หลอมหรือทุบโดยฝีมือของมนุษย์สามัญได้
ฮยอนโก : เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องถูกเก็บรักษาด้วยวิธีนี้.... โดยผู้พิทักษ์
จูมูชิ ถาม ฮยอนโก ว่า ทัมด๊ก กำลังทรงทำอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้ ทรงพระประชวรอยู่มิใช่หรือ ฮยอนโก ตอบว่า ทางพระวรกายนั้นกษัตริย์ของเราทรงพระสำราญดี แต่ข้าไม่รู้ว่าในพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไร



ทัมด๊ก ทรงถาม ชอโรถึง ซูจินี ชอโร กราบทูลว่า ซูจินี ขอให้แกล้งทำเป็นหานางไม่พบ ทัมด๊ก ทรงถามว่า : เจ้าก็เลยทิ้งนางไว้เช่นนั้นหรือ ชอโร กราบทูลว่า : นั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการ นางต้องการให้หม่อมฉัน อยู่ข้างฝ่าบาท ดูแลฝ่าบาท พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ถ้าพวกเรารีบไปยังที่ ที่เจ้าพบนาง เราจะหานางพบไหม ชอโรตอบว่า : หม่อมฉันจะไม่สามารถหานางได้อีก ทัมด๊ก ทรงกำขวดน้ำหอมในพระหัตถ์แน่นเข้า ขุนพลโกมาจับไหล่ ชอโร เบาๆเหมือนชวนให้ออกมาข้างนอก ปล่อยให้ ทัมด๊ก อยู่พระองค์เดียว ท่าทางทรงคิดถึง ซูจินี

โซคีฮา เดินเซซังท่าทางยังล่องลอยอยู่ ปล่อยผมยาวรุ่ยร่าย ทหารฮวาเซินมารายงานว่า พบยอนโฮแก ที่เกือบถูกพวกคอรัลตามฆ่า แต่หนีไปได้ กำลังซ่อนตัวในหมู่บ้านไม่ไกลนักและได้รับบาดเจ็บ เราควรนำเขามาที่นี่ไหม โซคีฮา : ข้าจะไปหาเขาเอง และ เราควร..ทำพิธีศพให้ซารยาง ทหารรายงานว่า ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือ ทำพิธีส่งเขาไป
โซคีฮา : บอกพวกเขาฝังศพให้ลึก เขาจะได้ไม่หนาว แล้ว โซคีฮา ก็นึกถึงคำพูดของซารยางที่ว่า...มีชีวิตอยู่....ได้โปรดมีชีวิตอยู่...เด็ก...
ที่โรงเตี๊ยม ( ของเกาหลีไม่ทราบเรียกว่าอะไร) ยอนโฮแก ลุกขึ้นนั่งบนเตียง โซคีฮา ปรุงยาให้ ปากก็บอกว่า อาบูลันซา ห่างจากที่นี่เพียงการเดินทางวันเดียว ทุกคนที่นั่นกำลังรอเราอยู่ นักพรตหญิงแห่งไฟ และคนที่นางรับใช้ (ไม่รู้ว่าใครใช้ใครนะเจ้)
ยอนโฮแกบอกว่า : ข้าทำอะไรให้ท่านไม่ได้มาก ข้ากลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ข้าอยู่กับผู้หญิงที่เอายาพิษให้กับพ่อของข้า แต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะแสดงความโกรธ ต่อนางออกมาได้ ( อื้อฮือ ....แต่นี่ไม่ใช่คำหวานเพ้อเจ้อ แต่เป็นความจริงใจของยอนโฮแก ที่รักมั่นไม่สั่นคลอน ตลอดกาลนิรันดร์ ของชาย ที่ชื่อ ยอน โฮแก ที่มีต่อโซคีฮา )
โซคีฮา : ข้าเองก็ไม่มีอะไรที่จะสูญเสียอีกเช่นกัน ข้าสูญเสียทุกอย่างที่มีค่าของข้าไป แล้วก็ยกยามาให้ยอน โฮแก พูดต่อว่า : สุดท้ายข้าก็เข้าใจทุกอย่างว่า ข้าได้สูญเสียทุกอย่างไปหมดสิ้น ท่านไม่เข้าใจหรือ (เราหัวอกเดียวกันไง) สวรรค์ไม่เคยสนใจคนอย่างเรา สวรรค์ มีตาแค่คนคนหนึ่ง สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับสวรรค์ก็คือ คนคนนั้นจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างไร ท่านและข้า ...เราเป็นเพียง เบี้ยตัวเล็กๆในกระดานของสวรรค์
ยอนโฮแก : ท่านหมายถึงว่า เราเป็นเครื่องมือของสวรรค์ ? เราเป็นแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ
โซคีฮา : ข้าวางแผนที่จะต่อสู้กับสวรรค์ ...ข้าจะทำมัน...เพื่อว่า สวรรค์จะได้ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์อีกต่อไป
***(และในตอนจบ ทัมด๊ก ก็ทรงมีพระราชดำริเหมือนโซคีฮา ทั้งที่ ทัมด๊ก คือ เทพฮวานอุงจุติลงมาโลกมนุษย์)***
ยอนโฮแก : ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะได้อะไร ถ้าสวรรค์ทอดทิ้งเราไป โลกของเราจะกลายเป็นขุมนรก ข้าไม่เชื่อในมนุษย์ ด้วยกัน ข้าได้เห็นจากตัวเอง ถึงจะทำดีสักแค่ไหน ก็ถูกคนอื่นเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา ( นี่เป็น คาแรคเตอร์ ของ ยอนโฮแก มนุษย์ผู้ลุ่มหลง กับสิ่งต่างๆ คิดไปคิดมา ก็น่าสงสาร ที่แย่ที่สุด ก็ ลุ่มหลงว่าตัวเองทำ ดี)
โซคีฮา : ข้าไม่สนใจ หากมันจะเป็นขุมนรก อย่างน้อยที่สุดข้าจะกำหนดโชคชะตาของตัวเอง (มีภาพความซาบซึ้งของ โซคีฮา และยอนโฮแก ผู้ซึ่งถูกสวรรค์ มิใช่แค่หลงลืม หรือหันหลังให้ แต่โดนลงโทษจากสวรรค์….. อย่าคิดไปไกล แค่ยอนโฮแกวางมือซ้อนทับมือของโซคีฮาถ่ายทอดความรู้สึกว่า เราสองคนหัวอกเดียวกันแบบนั้น...เท่านั้น..)
อาลักษณ์ฮยอนคงได้บันทึกไว้ว่า ในการเสด็จกลับ มีผู้อพยพ จำนวน 1 หมื่นคน ได้ร่วมเดินทางมากับกษัตริย์ และยังมีคนเดินม้าอีกนับไม่ถ้วน แทนที่จะใช้เส้นทางตรงกลับไปยังปราสาทโกกแน พระองค์กลับใช้เส้นทางตะวันออก เพื่อผ่านชายแดนของยาน เพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทหารของพระองค์ปรามให้พวกยานไม่กล้ามาโจมตีอีกในอนาคต

เมื่อถึงปราสาทโกกแน ทรงรวบรวมกองทัพทั้งสี่แคว้น เป็นกองทัพทั้งหมดของโคคุเรียว อยู่ภายใต้ กษัตริย์ ทรงรวบรวม ห้าแคว้น ให้มีการปกครองภายใต้การปกครองเดียวกัน และชำระกฎหมายให้เป็นหนึ่งเดียวภายในแคว้นต่างๆ และทรงนำเอาพระ ราโชวาท ของกษัตริย์ โซซูริม เพื่อเป็นผู้ปกครองที่ทรงอำนาจ ทรงทะนุบำรุงการศึกษา และให้มีสำนักปรัชญาเป็นแหล่งรวมความรู้ Taehak และ Kyongdang ผลิต ผู้มีความรู้ความสามารถ ในด้านต่างๆ
กษัตริย์ ทรงเศร้าเสียพระทัย ในการเสียชีวิตของเสนาบดียอนการยอเป็นเวลานาน ทรงตรัสย้ำเสมอว่า ทรงสูญเสียบุคคล ที่จะทรงไว้วางใจให้ดูแลปราสาทโกกแนไป
ทัมด๊ก เสด็จไปบ้านพักตระกูลยอน กับ ขุนพลโก ทรงปัดเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นบนเสาหิน บ้านที่ร้างเจ้าของแสนจะเงียบเหงา.....
ในพระราชวัง
ชอโร นำน้ำจัณฑ์มาถวาย ทรงรับมาเสวย แล้ว ยื่นประทานให้ ชอโร ร่วมดื่มด้วย แต่ ชอโร ถอยหลังหนีทำหน้าปู้เลี่ยนๆ ทัมด๊กทรงแย้มพระสรวลเอ็นดู แล้วเสวยเสียเอง มีขุนพลโก ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างนัก ( ชอโร ทำหน้าที่ ที่ ซูจินี ฝากฝังให้ทำแทนตนเอง)

ที่วัดอาบูลันซา โซคีฮา ในชุดเต็มยศอลังการ เดินมาอย่างสง่างาม ยอนโฮแกเดินตามหลัง แทจังโรกล่าวแสดงความยินดีต้อนรับโซคีฮา : ยินดีต้อนรับ มารดาแห่งโลกมนุษย์ ท่านนักพรตหญิงแห่งไฟ คาจิน พวกเราได้รอเจ้ามานานแล้ว
โซคีฮา ก้าวพรวดเข้าหา แทจังโร ยอนโฮแก ทำท่ากัน โซคีฮา ไว้ แทจังโร กล่าวต่อว่า ข้าเป็นสาวกฮวาเซินที่อยู่เหนือกาลเวลาต้องใช้อำนาจแห่งไฟในหัวใจฟินิกซ์ที่จะนำเอาความเยาว์วัยกลับคืนมา สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ และวัด อาบูลันซา เวลานี้เป็นของเจ้า
มีคนนำกล่องใส่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ มาค้อมกายส่งให้โซคีฮา แต่โซคีฮาไม่สนใจสัญลักษณ์ : ข้าขอถามผู้อาวุโส ผู้เป็นทายาทที่สืบทอดมาจากเผ่าเสือ ข้าเป็นใครกันแน่
คนที่นำถาดวางกล่องสัญลักษณ์มาให้ ตอบว่า : ท่านเป็นนักพรตหญิงแห่งไฟมารดาของเผ่าเสือ
โซคีฮา : เช่นนั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าผู้ซึ่งไม่ตาย เขาเป็นใคร
คำตอบคือ : เขาเป็นหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่จากกาลเวลาที่เนิ่นนาน จนพวกเราจำไม่ได้
โซคีฮา : ข้าจะทำอย่างไรจึงจะฆ่าเขาได้
คำตอบ : ข้าไม่รู้..ท่าน .คีฮา
โซคีฮา หันมาประจันหน้ากับแทจังโร : ขอให้ข้าได้ถามท่าน ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะฆ่าท่านได้ แค่นหัวเราะแล้วพูดต่อว่า : ฟังข้าให้ดี ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ข้าจะทำมันก็ต่อเมื่อข้าได้ฆ่าท่านแล้ว นั่นแหละข้าถึงจะเริ่มต้น…
แทจังโร : ลูกของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องการยืนยันให้แน่ใจด้วยตัวเองไหม... แล้วก็ทำท่าเชื้อเชิญโซคีฮา เข้าไปในห้อง แทจังโร บอกว่าใช้อำนาจของข้าสักครู่ ข้าจะช่วยให้เจ้าจำได้....กลับไปยังวันนั้น... วันที่เด็กเกิด มีใครอยู่กับเจ้าบ้าง โซคีฮานั่งและหลับตา
แล้วแทจังโรก็ทำให้โซคีฮา ย้อนกลับเห็นภาพเหตุการณ์วันคลอดโอรส ในขณะที่ตัวเองหมดสติไป
แล้ว โซคีฮาก็นึกขึ้นได้และถามแทจังโรว่า สิ่งที่ข้าเห็นนั้น ท่านก็เห็นด้วยใช่ไหม
แทจังโร : ผู้หญิงคนนั้นนางเป็นน้องสาวของเจ้า
โซคีฮา : น้องสาวของข้า นางดูแลลูกของข้า พวกเขาอยู่ในเงื้อมมือของท่านหรือบอกข้ามาท่านต้องการอะไร
แทจังโร : เราต้องการเอาดินแดนของเผ่าเสือที่ถูกขโมยไปโดยจูชินกลับคืนมา
โซคีฮา : และมันคงมีบางสิ่งที่ท่านต้องการสำหรับตัวท่านเอง
แทจังโร : หัวใจของทัมด๊ก และสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ในครอบครองของเขา เต่าดำและเสือขาว เพื่อให้สัญลักษณ์ทั้งสี่ได้อยู่ด้วยกัน และข้าจะได้รับอำนาจแห่งสวรรค์ นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ ฮวาเซินอยู่ในทุก ๆที่ ทั้ง สี่ทิศของโลกนี้ คีฮา....(แสยะยิ้มด้วย) เจ้าต้องการช่วยชีวิตเด็กหรือไม่….
โซคีฮา : ถ้าท่านได้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านต้องการ เช่นนั้นท่านจะไว้ชีวิตลูกของข้าหรือ
แทจังโร ยิ้มแบบมีเลศนัยชั่วร้ายแอบแฝงตามเคย



ที่ปราสาทโกกแน
มีสารมาจากท่านผู้บัญชาการป้อม ซูกุ๊ก รายงานว่าแพคเจเริ่มต้นเคลื่อนทัพ ชาวบ้านอยู่ไม่เป็นสุขและชะลอการปลูกพืชผล ในขณะที่อาลักษณ์อ่านข่าวสาร จากสารต่างๆ ถวาย ทัมด๊ก ทรงพระราชดำเนินไปมา มีพระบัญชาสั่งงานต่างๆไปด้วย : เจ้าบอกว่า กองทหาร Dongpype กำลังมองหาที่ฝึกซ้อม มีเสียงทูลตอบ พะย่ะค่ะ ทรงมีพระดำรัสต่อ : ให้เขาไปซ้อมกันที่ป้อม ซูกุ๊ก และเอาเสบียงไปให้เพียงพอ อย่าเป็นภาระ กับพวกเขาที่ป้อม องครักษ์ กราบทูลว่า : หม่อมฉันจะไปทำตามพระบัญชาพะย่ะค่ะ
อาลักษณ์ : ต่อไปเป็นสาร มาจากคนที่ปิดบังชื่อ ผ่านมาทางคนของโคมิล อาลักษณ์หยิบมาอ่านถวายต่อ ในขณะที่ทรงมีพระดำรัสกับขุนพลโก ว่า : เหล่านี้คือรายงานที่ข้าจะต้องอ่านและสั่งการ ท่านต้องการแบ่งไปช่วยบ้างไหม
ขุนพลโก : ฝ่าบาททรงให้หม่อมฉันไปโจมตีแพคเจดีกว่าพะย่ะค่ะ ( หม่อมฉันถนัดแต่เรื่องบู๊ ..ทำนองนั้น)
ทัมด๊ก : เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ขุนพลโก ยิ้ม ตามเคย แล้ว....
ทัมด๊ก ก็สะดุดพระกรรณ กับข้อความในสารที่อาลักษณ์ อ่านถวายรายงาน มาเรื่อยๆ ทรงหันมาทางอาลักษณ์ ดำรัสว่า : อ่านตรงนั้นอีกครั้ง



- รัชทายาทแห่งยาน
ทัมด๊ก : ก่อนนั้นอีก
อาลักษณ์ ย้อนไปอ่านถวายใหม่“ เราได้ยินมาว่า ฝ่าบาท ทรงเป็นบุคคลที่เยียวยารักษาความเจ็บปวดได้ภายในวันเดียว” ทรงคว้าสารฉบับนี้มาทอดพระเนตรเอง
แว่วเสียงของซูจินี เคยกราบทูลปลอบพระทัยว่า “ ดังนั้นกษัตริย์ควรจะมีความสามารถรักษาบาดแผลให้หายได้ภายในวันเดียว และหม่อมฉันคิดว่า ควรจะออกไปสู้รบได้ในวันต่อไป แล้วตรัสว่า ตามข้ามา...ข้าคือกษัตริย์ของเจ้า “
ทรงรำลึกถึงวันที่ ซูจินี ฟื้นจากบาดเจ็บที่ร่วมต่อสู้กับพระองค์ ในวันฝนตก ณ สถานที่ที่นัดหมาย โซคีฮาออกมาพบ



***(และในตอนจบ ทัมด๊ก ก็ทรงมีพระราชดำริเหมือนโซคีฮา ทั้งที่ ทัมด๊ก คือ เทพฮวานอุงจุติลงมาโลกมนุษย์)***
ขอแสดงความคิดเห็นตรงนี้เลย กับการเขียนบทของ คุณซงจีนา หลังจากนั่งนอนเรียบเรียงสติเสีย สามอาทิตย์ กับตอนจบของละคร ก็เห็นด้วยว่า การเป็นเทพบนสวรรค์ หากจุติ ลงมาเป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ ล้วนมีอดีตจากชาติภพต่างๆ แต่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ไม่สามารถจดจำเรื่องราวในชาติภพที่แล้วๆมา ที่มากมายนับจำนวนภพชาติไม่ถูก เพื่อให้มนุษย์อยู่ด้วยปัจจุบัน มีเพียงบางคนที่ระลึกอดีตชาติได้ แต่นั่นคือคนพิเศษจริงๆ นอกจากนี้ ความรู้สึกนึกคิด ของมนุษย์ กับเทพย่อมแตกต่างกันตามสภาวะของคน ๆนั้น เมื่อเป็นมนุษย์เต็มตัว เทพฮวานอุง ก็ทรงได้เรียนรู้ วิถีชีวิต ของมนุษย์บนโลก ทรงดำริได้ว่า มนุษย์มีวิถีทางของตัวเอง แตกต่างจากวิถีของชาวสวรรค์ และมนุษย์ ควรอยู่ด้วยตัวเองตามวิถีของโลกมนุษย์ สวรรค์ ก็ควร อยู่ในส่วนของสวรรค์ ไม่ควรมาวุ่นวาย กำกับวิถีทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ควรเลิกงมงายกับการรอคอยความช่วยเหลือจากสวรรค์ ชีวิตของมนุษย์ควรอยู่ในกำมือของตัวเองจะหันซ้ายหันขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง ก็ควรใช้สติปัญญาของมนุษย์เอง เป็นเครื่องนำชี้ ชีวิตของแต่ละคน
พระดำริของ ทัมด๊ก จึงแตกต่างกับพระดำริของเทพฮวานอุง ด้วยประการฉะนี้ ในความรู้สึกของคนเล่า

Copyright @ Amornbyj & SUE