Saturday, May 24, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ( ตอนที่ 20 )


...ตอนที่ 20...

ในค่ายทหารของยอนโฮแก
แม่ทัพใหญ่รายงานต่อ ยอนโฮแกว่า : เขาพูดกันว่า กษัตริย์ เสด็จเข้ามาในอาณาเขต คอรัลแล้ว ท่านต้องตัดสินใจ ทรงมีพระราชโองการมาถึงท่าน มีพระบัญชาว่า ถ้าพวกเราไม่กลับ ก็จะกลายเป็นกบฎ และ พระราชโองการนี้ มานานแล้ว ( แต่ ท่านไม่อยู่)
แล้วก็กล่าวต่อ : ทหาร-ทั้ง 4 หมื่นนาย เดินทางมาที่นี่แต่ยังไม่เคยทำสงครามแม้แต่สักครั้งเดียว (ตอนที่ยอนโฮแก ฆ่าชาวเผ่าต่างๆ เป็นกองกำลังพิเศษที่แยกจากกองทัพใหญ่ ) ในขณะที่ทหารของฝ่าบาท 4 พันนาย ได้รับชัยชนะ พวกเราเลยกลายเป็นเหยื่อถึงอย่างนั้นข้าไม่เคยพูดอะไรสักครั้งเดียว แล้ว เมื่อท่านให้เคลื่อนทัพมาทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างกะทันหัน เราก็ไม่เคยถามว่าทำไม เพราะข้าเชื่อว่าท่านคือกษัตริย์ จูชิน




ยอนโฮแก : ท่านต้องการถามถึงสิ่งใด
แม่ทัพใหญ่ : มีข่าวลือว่าฝ่าบาทได้ครอบครองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 อย่างแล้ว ทั้ง สัญลักษณ์ เต่าดำ มังกรน้ำเงิน และฟินิกซ์ ทั้งหมดอยู่ในความครอบครองของฝ่าบาท
จอกฮวาน ค้านว่า เป็นไปไม่ได้ ข้าจอกฮวาน หัวหน้ากองทหารม้าเหล็ก อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ฟื้นขึ้นมา ข้าเห็นด้วยตาตัวเองว่านางยอมรับท่านโฮแกในฐานะกษัตริย์จูชิน แต่ทำไมฝ่าบาทถึงได้ทรงมี
ยอนโฮแก ยกมือห้าม : ฝ่าบาททรงนำกองทัพด้วยพระองค์เองหรือ
แม่ทัพใหญ่ : นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้ยินมา



แต่เมื่อยอนโฮแกรู้ว่า ทัมด๊กมีทหารเพียง 5 พันนายก็พูดว่า : ทรงกำลังจะเรียกทหาร 4 หมื่นนาย ของเราว่าเป็นกบฏ ในเมื่อทรงมีทหารแค่ 5 พันนาย
แม่ทัพใหญ่ ถามถึงคนเชิญพระราชโองการที่ยอนโฮแกฆ่าไปเมื่อเดือนก่อน (ฮยอนกง ศิษย์โคมิล)ว่า ส่งมาโดยฝ่าบาทหรือ : ฝ่าบาททรงกริ้วท่านและทหารของท่าน ยอนโฮแกตอบแม่ทัพใหญ่ว่า ถูกต้อง
แม่ทัพใหญ่ : ท่านตัดสินใจหรือยัง.... ( เว้นระยะพูด ) .เป็นกบฏ จอกฮวานขยับตัว ยอนโฮแกเหลือบตาดู แล้วก็ถามแม่ทัพใหญ่ว่า : คนที่นำข่าวลือมาปล่อย พวกมันอยู่ที่ใด



จูมูชิ และ มันดัก ฆ่าทหารของยอนโฮแกไปหลายคน และพยายามหาจนเจอบาซอนและดัลบี ที่ยังถูกขังอยู่ในรถม้า จูมูชิ ยื่นมือตัวเองให้ ดัลบี จะดึงดัลบีออกมาจากรถม้า ก็มีดาบของ อิลซูพาดใต้คางของจูมูชิ อิลซูถามว่า : เจ้าเป็นคนคุ้มกัน ผู้เชิญพระราชโองการของกษัตริย์มาหรือ
จูมูชิ : ถามว่า ทำไม เจ้าจะจ่ายค่าจ้างให้ข้าหรือ เจ้านี่หยาบคายเสียจริง แล้วจูมูชิ ก็เดินหน้าเข้าหา อิลซู ดาบเลื่อนจากใต้คางไปที่ลำคอ ดัลบี เห็นแล้ว ต้องกลืนน้ำลายลงคอ อิลซู เอาดาบลง พูดว่า : ตามข้ามา จูมูชิ หันไปมองมันดัก สั่งด้วยสายตาเป็นทำนองว่า ดูนางให้ดี ๆ นะ
ยอนโฮแก ถามว่า : ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นพวกทหารรับจ้าง ที่มาเป็นผู้คุ้มกันดูแลผู้เชิญพระราชโองการ
จูมูชิ : ถูกต้อง ยอนโฮแก พูดต่อว่า : ..และ
จูมูชิ สวนกลับว่า : และอะไร ยอนโฮแกพูดต่อว่า : เจ้ามีหน้าที่อีกอย่าง ปล่อยข่าวลือเพื่อทำให้คนตื่น
ตกใจ
อิลซู : คนพวกนี้กำลังทำให้ทหารตื่นตกใจข้าแน่ใจว่าพวกนี้มาที่นี่เพื่อช่วยช่างตีเหล็ก ยอนโฮแก ทวนคำว่า ช่างตีเหล็ก



จูมูชิ : ข้าจูมูชิ จะไม่พูดอ้อมค้อม เรามีหน้าที่ 3 ประการ คือ 1.อารักขาผู้เชิญพระราชโองการ 2.ปล่อยข่าวลือที่เป็นจริงให้ทหารได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้น และ สุดท้าย ตามหาช่างตีเหล็ก บาซอน และคนที่อยู่กับนาง แค่นั้นแหละ
ยอนโฮแก : เจ้าได้รับคำสั่งจากปราสาทโกกแน หรือ งั้นบอกข้ามา ไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นเรื่องจริง ปราสาทโกกแนเป็นอย่างไรบ้าง
จูมูชิ : เราได้สะสางเรียบร้อย พวกสารเลวฮวาเซินได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว เราได้ช่วยชีวิตพวกขุนนางที่เข้าข้างพวกนั้น ยอนโฮแก ตกใจ เข้ามากระชาก จูมูชิ : แล้วพ่อของข้าเล่า ท่านเสนาบดีใหญ่
จูมูชิ : ข้าบอกท่านแล้วว่าเราช่วยพวกเขาจากการคิดนอกลู่นอกทาง
ยอนโฮแก ถามต่อ : แล้วอารามของเทวีพยากรณ์เล่า
จูมูชิ บอกว่า : เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ข้าออกมาหลังจากที่สะสางเรื่องแล้ว
ยอนโฮแก คิดจะจ้างจูมูชิ แต่ จูมูชิ บอกว่า พวกเราอยู่ภายใต้สัญญาแล้ว แล้วยอนโฮแกก็รู้ว่า ทัมด๊ก เสด็จไปซื้อตัวจูมูชิและพวกด้วยพระองค์เอง ต้องรำพึงออกว่า : ช่างตีเหล็กก็พูดเช่นเดียวกัน นางบอกว่า เสด็จไปหานางด้วยพระองค์เอง
จูมูชิ ตอบว่า : พระอุปนิสัยคงไม่ยอมอยู่เฉย ทรงต้องการเข้ามาคลุกคลีกับระดับล่างไม่ใช่ระดับสูง
ยอนโฮแก เดินวนรอบ จูมูชิ และบอกว่า : เอาตัวช่างตีเหล็กไปกับเจ้าแล้วก็เอาตัวคนของเจ้าที่ปะปนอยู่กับทหารของข้าไปด้วย ถ้าภายหลังข้าพบข้าจะตัดแขนขาของพวกนั้น ถ้าเจ้าต้องการช่วยชีวิตคนพวกนั้นก็เอาตัวไปกับเจ้าด้วย เมื่อจูมูชิออกมาจากกระโจม ยอนโฮแก กลับบอกกับ อิลซู ว่า พวกนั้นไม่ยอมเข้ากับเราหรอก ถ้าเราให้พวกนั้นกลับไปหาฝ่าบาท เราอาจจะต้องพ่ายแพ้
จูมูชิ แต่แรก ก็จะให้ บาซอน และ ดัลบี นั่งรถม้า(เกวียน) แล้วด้วยสัญชาตญาณ ที่พอมองเห็นเหตุการณ์แล้วรู้ว่า อิลซู สั่งเตรียมทหารไล่ล่า จึงให้ ทุกคน ขี่ม้าเมื่อถาม ดัลบี ว่า : เจ้าขี่ม้าเป็นไหม ดัลบี ตอบว่า : ถ้าข้าอยู่บนหลังม้าได้แล้วข้าก็ไม่ตกลงมาหรอก จูมูชิบอกมันดักว่า : ข้าเรียนรู้บางอย่างมาจากฝ่าบาท เมื่อใดจะสู้และเมื่อใดจะถอย พวกเรารีบไป เมื่อ อิลซู พากองทหารตามหลังมา จูมูชิ ตะโกนว่า : ขี่เร็วคนที่ตกม้าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ชีวิตของเจ้าขึ้นอยู่กับมัน



กองทัพหลวงของโคคุเรียว
ทัมด๊ก เสด็จมาถึงหมู่บ้าน คอรัล ที่ยอนโฮแก ฆ่าชาวบ้านไปมากมาย มีศพจำนวนมาก
ฮีกแก : หม่อมฉันเคยสาปแช่ง โฮแก มาก่อน แต่ยุทธวิธีของเจ้านั่นน่าอัศจรรย์ ดูนี่สิ คนพวกนี้เคยเป็นนักฆ่า พวกนั้นรู้ว่ากำลังถูกโจมตี และดูนี่สิแม้แต่เด็ก ๆ ก็ถูกฆ่าด้วยด้วย
ฮยอนโก: ข้าก็เข้าใจความหมายของพวกนั้น ถ้าเขาปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปได้ พวกนั้นก็จะไปเตือนเผ่าที่อยู่รอบด้าน ข่าวก็จะแพร่กระจายออกไป เผ่าพวกนั้นอาจจะรวมตัวกันตั้งรับ พวกเขาก็เลยฆ่าปิดปาก และเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ขุนพลโก รีบเดินมาข้าง ทัมด๊ก : ฝ่าบาทเราก็ต้องรีบเคลื่อนทัพอย่างรวดเร็วเช่นกันพะย่ะค่ะ ตามรายงาน คนนับร้อยจากบีเรียว กำลังรวมตัวกัน
ฮีกแก : เราอาจตกเป็นเหยื่อ ของความโกรธ ที่มุ่งตรงไปยังยอนโฮแก นะพะย่ะค่ะ
ขุนพลโก : เวลานี้กษัตริย์แห่งโคคุเรียวเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกนั้น เราต้องเคลื่อนตัวให้เร็วเป็น 2 เท่า เพื่อว่าพวกนั้นจะได้ไม่มีเวลาเตรียมตัว
แต่ทัมด๊ก กลับให้ ทหารชั้นรองลงไป จัดพิธีศพให้กับ ศพของชาวหมู่บ้านนี้ที่คอรัล ทรงสั่งให้ทหารหาศพมาให้หมด ศพที่เน่าเปื่อยจะทำให้เกิดโรค และที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ทำให้คนตายได้
ฮยอนโก : ฝ่าบาท เวลานี้พวกเราอยู่บนที่ราบ ไม่มีสิ่งใดป้องกัน การเคลื่อนไหวของเราเห็นได้อย่างชัดเจน ในระยะหลายลี้ พะย่ะค่ะ ( หนึ่งลี้ ประมาณ ครี่งไมล์)
ฮีกแก : ฝ่าบาททรงต้องการให้ศัตรูโจมตีหรือพะย่ะค่ะ ที่ตรงนี่ไม่มีหิน ไม่มีอะไรจะป้องกันเราได้
ทัมด๊ก : ถ้าพวกนั้นจะโจมตีเรา พวกเขาต้องซุ่มดูเราหลายวันมิใช่หรือ ทรงหันไปที่ทหารอีกคน : เจ้าบอกว่าเจ้าตระเวนอยู่บริเวณชายแดน คนของ คอรัล ดูเหมือนว่าจะสายตาดี ทหารทูลตอบว่า เพราะพวกเขาอยู่บนที่ราบพวกเขาสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าคนอื่นพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรงพระราชดำเนินออกไปจากที่นั้น ฮีกแก ทำท่ายกมือเหมือนอยากห้าม ทัมด๊ก แต่ไม่กล้า จึงปราดไปหา ฮยอนโก แทน : ท่านที่ปรึกษา ท่านเรียกตัวเองว่าพระอาจารย์ ทำอะไรสักอย่างที่จะหยุดพระองค์ สิ
ฮยอนโก : ทำเสียงคล้าย อะฮ้า ท่านไม่รู้จักพระองค์หรือ ทรงเป็นคนสุขุมที่ไม่ตรัสขึ้นเสียง แต่ท่านคิดว่าภายในทรงรู้สึกเช่นนั้นหรือ ขุนพลโก เสริมว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่ใส่ใจคำพูดของคนใต้บังคับบัญชา
ฮยอนโก: แล้วข้าจะไปห้ามคนที่บุกเข้าไปในป้อมปราการควานมีด้วยพระองค์เองได้หรือ
ขุนพลโก มองตามพระปฤษฎางค์แล้วพูดว่า : บางครั้งข้าก็อยากจะมัดพระองค์ ไว้ ( แม้จะเป็นกษัตริย์แล้ว แต่ ขุนพลโก นอกจากจะบูชาเทิดทูน จงรักภักดี ทัมด๊กแล้ว ก็ เอ็นดู ทัมด๊ก เหมือนพระองค์ยังเป็นเด็กที่เคยได้ดูแลพระองค์มา) ฮีกแกและ ฮยอนโก หันไปทางขุนพลโก ท่าทางดีอกดีใจ ฮีกแก บอกว่า : ลองทำดูสิ ขุนพลโก ค่อยๆ เบือนหน้ามาที่ฮีกแก ฮีกแก หดคอลงเล็กน้อย หลบสายตา ขุนพลโก ขุนพลโก ออกเดินตาม ทัมด๊กไป ฮยอนโก ทำเสียงลมออกจากปาก อู้.. ฮีกแก ตะโกนขึ้น : พูดน่ะมันง่าย

มีพวกคอรัลนั่งอยู่บนหลังม้าสังเกตการณ์ ดู ความเป็นไปไม่ไกลออกไปนัก

ที่ตำบลหนึ่งไม่ไกลจากปราสาทโกกแนนัก เป็นที่หลบซ่อนของแทจังโร แทจังโรได้รับรายงานเรื่องกษัตริย์พระองค์ใหม่ ของแพคเจ จากขุนนางแพคเจว่า กษัตริย์ อาชิน มีความเชื่อถือกับฮวาเซินในแพคเจ เพราะฮวาเซินมีส่วนในการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ จินซา เมื่อเสด็จไปล่าสัตว์ แทจังโรสั่งขุนนางแพคเจ สาวกฮวาเซิน ว่า กษัตริย์ ทัมด๊ก แห่งโคคุเรียว ได้ออกไปจากปราสาทโกกแนถ้าตอนนี้ แพคเจ โจมตีโคคุเรียว ขุนนาง : ท่านเปลี่ยนแปลงแผนการที่เคยคิดไว้ ที่จะยก ยอนโฮแก ขึ้นเป็นกษัตริย์โคคุเรียว และควบคุมทั้งแพคเจและโคคุเรียว



แทจังโร จ้องมองขุนนาง จนต้องหลบสายตา และสั่งว่าให้หาทางชักชวนให้กษัตริย์อาชินมาโจมตีโคคุเรียว ไปทูลให้พระองค์เอาป้อมปราการทั้งสิบคืนมา รวมทั้งป้อมปราการควานมีด้วย บอกให้เสด็จมายึดโคคุเรียว ทั้งซารยาง และขุนนางแพคเจ อธิบายความไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งเรื่อง ป้อมทั้งสิบและป้อมควานมี ล้วนเป็นชาว แพคเจ ที่เปิดรับ ทัมด๊ก เข้าไปในป้อมเอง คนพวกนั้นเลือกที่จะรับใช้กษัตริย์โคคุเรียว หากกองกำลังแพคเจใช้กำลังบุก พวกนั้นจะกล่าวหาว่าถูกรุกราน แม้แต่ผู้หญิงในป้อม ก็คงลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องป้อมปราการของตน และกษัตริย์ อาชิน ก็ทรงฉลาดเกินพระชนม์ คงไม่ทำเช่นนั้น แทจังโรฟังแล้วโกรธจัด สายลมพัดวูบ พูดเสียงฉุนเฉียว : แล้วมีเหตุผลใดที่เราต้องอยู่ฝ่ายกษัตริย์แพคเจมาหลายร้อยปี หากกษัตริย์อาชินต้องการความจงรักภักดีจากประชาชน ต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ยึดป้อมคืนมาทั้งหมด ข้าจะไปที่ยาน เหตุผลที่ทัมด๊กไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะเชื่อว่าพวกยานจะสนับสนุนพระองค์ เรายอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ หากทัมด๊ก ได้คอรัลทั้งหมดและเอาทหารทั้ง 4 หมื่นนาย ของยอนโฮแก ไป ทัมด๊กจะไม่อยู่ในเงื้อมมือของข้าอีกต่อไป และสั่งซารยางให้อยู่กับโซคีฮา เพื่อภารกิจ



โซคีฮา นอนไม่หลับ ซารยางยกข้าวต้มมาให้ ไม่พบที่เตียง พอเดินออกมาก็ถูกโซคีฮาเอาดาบพาดคอ ถามว่าหัวหน้าฮวาเซินไปอยู่ที่ใด ซารยางตอบว่า ท่านไปที่ยานพร้อมด้วยคนของท่าน โซคีฮา ถามว่า ทำไมเจ้าไม่ไปด้วย เจ้าคิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้เช่นนั้นหรือ : เจ้าฆ่า พ่อแม่ของข้า ลักพาตัวของข้า เจ้าคิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ ซารยางตอบว่า : ข้ามอบชีวิตให้กับท่านอยู่แล้ว (โธ่เอ๋ย.... ซารยาง) โซคีฮา เอาดาบออก มีเลือดซิบซิบ ที่คอซารยาง ซารยางเป็นห่วงว่าที่อารามหลวงไม่ปลอดภัย เสียแล้ว เสนาบดียอนหันหลังให้ฮวาเซิน และอาจพยายามฆ่าโซคีฮา โซคีฮา ถามว่าเจ้าปิศาจสั่งให้เจ้าทำอะไร เขาคงสั่งอะไรกับเจ้าเมื่อให้เจ้ามาอยู่กับข้าเช่นนี้ซารยางตอบว่า ท่านหัวหน้าสั่งให้ข้ารออยู่ที่นี่ จนกว่าท่านโฮแกจะกลับมา การที่ท่านอยู่ที่นี่โดยไม่มีฮวาเซินมันอันตรายและต้องการให้ท่านหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ 4 พร้อมกับ โฮแก สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เสือขาว
โซคีฮา : ท่านหัวหน้าอยู่นานเกินไป เขาลืมว่ามนุษย์เขาคิดกันอย่างไร... เจ้าคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่ไหม น้องสาวของข้า ครั้งก่อนนางเสียเลือดไปมาก ... เจ้าดูแลข้าตั้งแต่ข้ายังเด็ก เหมือนพ่อ เหมือนพี่ชาย ... เขาไม่ตาย เขาถูกฆ่าแล้วไม่ตาย อำนาจของเขามหาศาล ถ้าข้าขอให้เจ้าหันหลังให้เขามันคงไม่เป็นธรรมกับเจ้า ไม่มีคำตอบจากซารยาง
ชอโร ไปนั่งคอยซูจินี ที่สะพานในตลาดของปราสาทโกกแน จากวัน เป็นคืน..



ทัมด๊กทรงจุดไฟเผาศพชาวหมู่บ้านที่คอรัล
ฮยอนโก : ช่างดีอะไรอย่างนี้ พวกเขาถูกเผา คนของคอรัลคงเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ
ขุนพลโก : ฝ่าบาทเราอยู่ในที่แจ้ง ในขณะที่ศัตรูอยู่ในที่มืด ทรงโปรดมีพระบัญชา เพื่อว่าพวกเราจะเคลื่อนกำลังป้องกัน
ทัมด๊ก : นั่นมันคงจะดูแปลกมิใช่หรือ พิธีเผาศพที่ติดอาวุธกวัดแกว่งไปมา
ฮีกแก เอามือตบอกร้องตะโกนระบายอารมณ์อึดอัด ฮีดฮัดไม่ได้อย่างใจต้องการ ลูกชายทำท่าห้ามปราม
และคอรัลก็มาแอบดูจริงๆ


ในกระโจม ฮยอนคง อาลักษณ์กำลังจดบันทึกเหตุการณ์ กองทัพหลวงเคลื่อนตัวช้าๆ มันแตกต่างจากกองทัพที่ไปโจมตีแพคเจ กษัตริย์ทรงดูแลศพก่อนสิ่งอื่นใด จากนั้นทรงรวบรวมสัตว์เลี้ยง ทรงเสวยพระกระยาหารเช่นเดียวกับทหาร ทรงเสวยน้ำจัณฑ์เดียวกันกับทหาร (คนจดบันทึก จดไปยิ้มไป รักกษัตริย์พระองค์นี้เหลือเกิน) พระองค์ยังไม่สามารถบรรทมในเวลากลางคืนได้ แม้คนของพระองค์จะอ้อนวอนให้เข้าบรรทม การบรรทมกลับเลวร้ายมากขึ้นหลังจากเสด็จออกมาจากปราสาทโกกแน



ในขณะนั้นทัมด๊กทรงพระอักษร (ใช้ได้ทั้ง อ่าน เขียน เรียนหนังสือ) ในที่นี้ คืออ่าน ทัมด๊ก หลับพระเนตร มีขวดน้ำหอมที่ซูจินีถวายคืน วางบนโต๊ะทรงพระอักษร เสียงและภาพซูจินี ให้ห้วงคำนึงของทัมด๊ก : ฝ่าบาท หลังของฝ่าบาท ช่างอบอุ่นน่ามหัศจรรย์ ดีจริงๆ ทรงไม่ทราบใช่ไหม เมื่อ ทัมด๊ก ลืมพระเนตรขึ้น ทรงทอดพระเนตร ขวดน้ำหอม เอื้อมไปถือไว้ในพระหัตถ์ พระพักตร์เศร้า รำลึกไปถึง เจ้าตัวเล็กน่ารักคนนั้น ทรงวางขวดน้ำหอมลง แล้วทรงพระอักษรต่อ (อ่าน)



ทหารชั้นผู้น้อยพูดคุยเฮฮากันอยู่ ทัมด๊กเสด็จเข้ามา ทหาร 5-6 คน ลุกขึ้นยืนถวายคำนับ คนหนึ่งทูลถามว่า : ฝ่าบาท บรรทมดีไหมพระเจ้าค่ะ ทัมด๊ก ตรัสตอบว่า : แล้วพวกเจ้าล่ะ ทัมด๊ก และเหล่าทหารถือชามข้าวในมือ ทัมด๊กทรงประทับนั่งเสวย ไปพร้อมๆ กับทหาร ทรง ตรัสว่า : ครั้งนี้เราคงไม่ใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงภรรยาของท่านมาก แล้วทรงบ่นว่าวันนี้เค็มไปจริงๆ ทหาร :หลังจาก หัวหน้า ดัลบี หายไป อาหารของพวกเราแย่มาก ขุนพลโก เข้ามาถวายรายงานว่า ได้ส่งทหารออกไปสังเกตการณ์ 7 กลุ่ม มุ่งหน้าไป 7 ทิศทาง และสั่งพวกนั้นให้ส่งรายงานก่อนเที่ยง ทัมด๊ก ตรัสชมว่าดีมาก แล้วถามขุนพลโกว่า ท่านลองสิ่งนี้หรือยังข้าเสียดายเกลือที่มีค่า แล้วทรงบอกทหารชั้นผู้น้อยว่า กินกันต่อเถอะ กินกันเถอะ ขุนพลโก ยืนยิ้มนิดๆ ปลาบปลื้ม พระจริยาวัตรไม่ถือพระองค์ของทัมด๊ก



กองทหารลาดตระเวน ถูกซุ่มโจมตี โดยใช้ผู้หญิงมาเรียกร้องความสนใจหยุดกองทหารและเข้ามาถามไถ่ความเป็นไปอย่างมีไมตรี เหลือทหารรอดกลับมากราบทูลรายงาน ทัมด๊ก เพียงคนเดียว ทัมด๊ก ทรงเข้ามาพยุงเมื่อทหารวิ่งพรวดพราดเข้ามาทรุดตัวในกระโจม ทรงเรียกหาหมอ (ศิษย์โคมิลตามเคย เป็นโดเรมอน สารพัดประโยชน์แบบตั้งแต่ ไม้จิ้มฟัน จนถึง.. .เรือรบ ... ของพระองค์) ทรงพยุงให้ทหารลุกขึ้นส่งให้คณะแพทย์ ในพระหัตถ์ มีเศษผ้า ทรงถามฮีกแก เมื่อยื่นสิ่งที่อยู่ในพระหัตถ์ ให้ดู ฮีกแกกราบทูลว่า : เป็นผ้า ของชนเผ่าคีโดฮารี เผ่าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของคอรัล ทัมด๊ก ตรัสต่อว่า : เผ่าคีโดฮารี มาจากทางเหนือของคอรัล มีทหารเข้ามาถวายรายงานอีกคนว่า คนของคอรัลกำลังรวมตัวกันที่ทางแยก มีประมาณ 2 พันคน เราอยู่ไกลไม่สามารถทราบว่าเป็นเผ่าใด แต่ แน่นอนว่ามี 2 เผ่า ฮีกแก กราบทูลว่า : ดูเหมือนเผ่าพวกนั้นจะรวมตัวกัน ซึ่งปกติ จะไม่เป็นเช่นนี้ แต่เวลานี้พวกเขาทำ ฮยอนโก ทูลว่า : ศัตรูเข้ามาใกล้เร็วกว่าที่เราคาดคิด พวกนั้นอาจคิดว่ามีโอกาสดีกว่าที่จะกำจัด ยอนโฮแก ด้วยการร่วมมือกัน



ทัมด๊ก : อาจารย์ เตรียมสิ่งที่เราเคยปรึกษากัน ท่านแม่ทัพ ฮีกแก เราจะไปเอาคนของเรากลับมา
ขุนพลโก กราบทูลว่า : ฝ่าบาทศัตรูคอยดักโจมตีอยู่พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : เตรียมคนถือธง 30 คน และกองทหาร 5 ระดับสำหรับต่อสู้ อย่าเคลื่อนทัพหากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ทหารจะเคลื่อนทัพได้ ต่อเมื่อข้าสั่งเท่านั้น ท่านเข้าใจไหม เราจะไปทันทีที่ท่านพร้อม ทุกคนออกไปนอกกระโจมแล้วเหลือแต่ ทัมด๊ก และขุนพลโก
นี่คือความน่าประทับใจของตอนที่ 20
ทัมด๊ก ก้มทอดพระเนตรโต๊ะ นิ่ง ขุนพลโก ทูลถามว่า : พระองค์จะเสด็จเองหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ข้าวางแผนเช่นนั้น
ขุนพลโก : ทรงไม่เชื่อถือทหารของพระองค์หรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ตรงนี้ไม่มีใครใช่หรือไม่
ขุนพลโก เหลียวดู แล้วทูลตอบว่า : หม่อมฉันอยู่ที่นี่คนเดียวพระเจ้าค่ะ
ทัมด๊ก : ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อถือทหารของตัวเอง แต่ข้าไม่เชื่อถือตัวเองต่างหาก ท่านที่ปรึกษา ท่านแม่ทัพและทหารลาดตระเวน ให้คำแนะนำมากมากมายแก่ข้า แต่ทั้งหมดข้าต้องเป็นคนตัดสินใจเอง ในแต่ละครั้งข้าก็เต็มไปด้วยความกลัว ถ้าเมื่อใด ที่ข้าตัดสินใจผิด ? ถ้าข้าผิดเล่า ถ้าข้าดื้อดึง....
ขุนพลโก : ฝ่าบาท
ทัมด๊ก : ข้าอาจจะพาพวกเขาไปตายหมด
ขุนพลโก : ฝ่าบาท ทรงหันมาทางนี้สักครู่ได้ไหมพะย่ะค่ะ ทัมด๊ก ทรงหันไปทางขุนพลโก ขุนพลโกใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดเลือดที่เปรอะติดเสื้อเกราะของ ทัมด๊ก ที่ใกล้กับที่ตั้งของดวงหทัย ( เปรอะเลือดของทหารบาดเจ็บที่ทรงเข้าช่วยพยุง) ท่าทางนุ่มนวล
แล้วทูลความว่า : หม่อมฉันเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่อใดที่หม่อมฉันได้ยินเสียงสัญญาณรบ หม่อมฉันจะเป็นคนแรกที่ออกไปต่อสู้ แต่ว่า...... หม่อมฉันก็กลัวตายอยู่เสมอ แต่ว่า.... ทรงทราบบ้างไหม ...
ทัมด๊ก ทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรขุนพลโก
ขุนพลโก น้ำตาคลอ : เมื่อหม่อมฉันเริ่มรับใช้ฝ่าบาท เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันไม่กลัวตาย คนของฝ่าบาทที่อยู่ข้างนอก ความคิดของพวกเขา ก็เป็นเช่นเดียวกัน พะย่ะค่ะ ถ้าหากเพื่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันสละชีวิตของตัวเองได้ ดังนั้น สิ่งที่ต้องทรงทำคือ อยู่ร่วมกับพวกเราพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก และขุนพลโก มองกันอย่างต่างซาบซึ้ง เข้าใจกันและกัน
(เป็นฉากที่ยงจุนคงประทับใจ เพราะ ยงจุน พูดถึง ใน Special program 2 ด้วย ซาบซึ้งทั้งความคิดของทัมด๊กที่ห่วงใยทหาร ซาบซึ้งทั้งความเทิดทูนภักดีของขุนพลโก ไหม)


ที่ปราสาทโกกแน
เสนาบดียอน เดินไปหยุดหน้าบัลลังก์ในท้องพระโรง เพียงคนเดียว องครักษ์ ศิษย์โคมิลกัมดง เข้ามา และเล่าว่า เคยทูลถามทัมด๊ก ที่ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา ยังไม่เคยประทับนั่งบนบัลลังก์นี้สักครั้งเดียว ทรงบอกว่า เป็นเพราะพระองค์ยังไม่ได้แก้ไขการบ้านที่กษัตริย์พระองค์ก่อนทรงให้ไว้ เพราะฉะนั้นบัลลังก์นี้ ยังไม่ใช่ที่ของพระองค์ ทำให้เสนาบดียอนหวนนึกถึง วันที่ ทัมด๊ก ประทานตราประจำตำแหน่งเสนาบดีคืนให้ตนเอง เป็นการยอมรับการเป็นเสนาบดีของยอนการยอ วันนั้น ทัมด๊ก ก็ประทับนั่งที่ขั้นบันไดหน้าพระราชบัลลังก์ :ข้าเอาตราประทับของเสนาบดีมาคืนท่าน ตนเคยทูล ว่า : ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันเป็นเสนาบดีของสภาอีกครั้งหรือพะย่ะค่ะ ทัมด๊ก ทรงตรัสว่า : ข้าเกรงว่าข้าจะไม่ได้อยู่ที่ปราสาทโกกแน อีกนาน ในขณะที่ข้าไม่อยู่ ช่วยดูแลบ้านเมืองด้วย เสนาบดียอน มองตราประทับในมือตนเอง : ฝ่าบาทกำลังตรัสว่าจะให้หม่อมฉันรับผิดชอบทั้งหมดหรือ พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ข้าคิดว่าข้าทำไปแล้ว ข้าต้องออกไปนอกอาณาเขต ทหารของข้ากำลังรออยู่
เสนาบดียอน : หม่อมฉันต้องรับผิดชอบเต็มที่เหนือปราสาททั้งหมด ป้อมปราการ และหมู่บ้านในโคคุเรียวหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ป้อมปราการทั้ง สิบเอ็ดแห่งที่แพคเจ หมู่บ้าน 120 หมู่บ้าน ในแพคเจ ดูแลทั้งหมดด้วย แพคเจอาจต้องการเอากลับคืนไป ฉะนั้นอย่าลืมส่งกองกำลังเสริมออกไปเป็นระยะ
เสนาบดียอน กราบทูล ทัมด๊ก ว่า : หม่อมฉันจำเป็นต้องทูลฝ่าบาทเช่นนี้ ถ้าหากหม่อมฉันต้องเลือก ระหว่างฝ่าบาทและลูกชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะต้องเลือกลูกชายของหม่อมฉัน แน่นอน พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ทำไปเถอะ แต่ตอนนี้บ้านเมืองต้องการท่าน ในแง่การเมืองท่านรู้ไกลกว่าข้าและ ข้ารู้ว่าท่านจงรักภักดีต่อโดคุเรียว แล้วข้าต้องห่วงสิ่งใดอีก ท่านยอนท่านรู้ไหมจูชินหมายถึงอะไร ดินแดนที่พวกเราชาว แพดัล อาศัยอยู่ นั่นแหละจูชิน ถ้าพวกเราจะต้องเอาดินแดนกลับคืนมา ข้ายังมีหนทางอีกยาวไกล ท่านต้องช่วยข้าดูแลที่นี่
องครักษ์ : ฝ่าบาททรงขอให้ข้าแนะนำท่านกับฝ่ายอาลักษณ์ และฝ่ายยุทธวิธี ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ที่ทรงแต่งตั้งขึ้น ทรงแต่งตั้งอาลักษณ์เพราะทรงรู้ว่า การบันทึกประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญของประเทศ และทรงแต่งตั้ง ฝ่ายยุทธวิธี เพื่อดูแลทางด้านการทหาร



ในห้องทำงาน มีคนทำงานจำนวนมาก และทุกคนเหมือนกำลังง่วนกับงานของตนเอง โคมิลอาวุโส ฮยอนจัง เล่าว่า ตอนนี้พวกเรากำลังกำลังเตรียมของขวัญให้กับพวกยาน แพคเจเป็นสิ่งทรงห่วงในขณะเสด็จไปคอรัล การป้องกันการบุกรุกที่ป้อมปราการแพคเจ ทั้งสิบ รวมทั้งป้อมปราการควานมี ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงทรงขอให้พวกเราให้ความสนใจเป็นพิเศษในการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับพวกยาน
อีกโต๊ะทำงานหนึ่ง : เหล่านี้คือรายงานจากการสืบสานด้านความสัมพันธ์ทางการค้ากับคายา และทางโน้นคือรายงานด้านความสัมพันธ์ทางการทูตกับคายาและ แพคเจ
เสนาบดียอน : ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ทำรายงานพวกนี้
ฮยอนจัง : พวกเราจะส่งรายงานให้ฝ่าบาททุก 3 วัน และรับพระบัญชาสำหรับงานต่อไป โชคดีที่คนของโคมิล มีระบบการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว
เสนาบดียอน อึ้งคาดไม่ถึง แล้วเดินออกมาจากห้องดังกล่าว ไปยืนอยู่ที่ลานด้านนอก องครักษ์โคมิล กัมดงแง้มประตูมองดู เสนาบดียอน เสนาบดียอน หันกลับมามองห้องที่เข้ามาเมื่อครู่
ที่ค่ายทหารของยอนโฮแก
มีคนมาส่งสารของเสนาบดียอน
ยอนโฮแก อ่านสารแล้วบอกว่า : ฝ่าบาทกำลังจะขายพวกเราให้กับคนที่นี่ที่ให้ราคาสูงสุด ทรงวางแผนเป็นพันธมิตรกับคอรัลและโจมตีเราในฐานะกบฏ
จอกฮวาน : ทำไมทรงกล่าวหาว่าพวกเราเป็นกบฏ
แล้วบรรดาแม่ทัพของ ยอนโฮแก ก็ส่งเสียงอื้ออึง
ยอนโฮแก : นี่คือกษัตริย์ของเรา ทรงต้องการเอาชนะข้าเป็นการส่วนตัว ทรงสละทหารของพระองค์ ทั้ง 4 หมื่นนาย ในฐานะกบฏ และเป็นพันธมิตรกับศัตรู นี่คือกษัตริย์ของเรา
อิลซู : เป็นไปไม่ได้
จอกฮวาน : ข้าไม่เชื่อ
แม่ทัพ :ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว ทรงทอดทิ้งพวกเรา
รองแม่ทัพ :แต่เราก็ตอบโต้ไม่ได้ ครอบครัวของพวกเราที่บ้านเล่า
แม่ทัพ : พวกเราไม่มีทางเลือก พวกเราถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศไปแล้ว
ยอนโฮแก : ข้า ผู้บัญชาการของพวกเจ้า ยอนโฮแก ขอประกาศต่อหน้าพวกท่าน จากนี้เป็นต้นไป พวกเราจะไม่ต่อสู้เพื่อกษัตริย์ผู้ซึ่งไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างคนของประเทศกับศัตรู จากนี้เป็นต้นไปใครก็ตามที่ติดต่อกับกองทัพของกษัตริย์ หรือไปเชื่อฟังข่าวลือและทำให้เกิดความแตกแยกจะถูกลงโทษทันทีท่านแม่ทัพทั้งหลายได้ยินข้าพูดหรือไม่ ทุกคนรับคำ ขอรับ ท่าทางยอนโฮแก แค้นจัด ( แหม เอาแต่ดีใส่ตัว เหิมเกริม ไม่เชื่อฟังพระบรมราชโองการแล้วมาร้องแรกแหกกระเชอ ทีหลัง ร้ายจริง แบบนี้ไม่ใช่พระรองแล้วเป็นตัวผู้ร้ายแล้วนะนี่ โฮแก เอ๋ย )

ในค่ายของทัมด๊ก
เพราะว่ามีหลายเผ่าพันธุ์รวมตัวกันอยู่ที่เดียว มันอาจทำให้เกิดความสับสนตรึงเครียด บางคนที่โง่เขลา อาจจะรวมตัวและโจมตีที่นี่
ขุนพลโก : ไม่ต้องทรงห่วงพวกเราฝ่าบาท ทรงห่วงพระองค์ในขณะเดินทาง เถอะพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ข้าอยากจะให้ จูมูชิ อยู่ที่นี่ ดัลโก ก็เข้ามากราบทูลว่าทหารพร้อมแล้ว ทัมด๊ก ทรงตบไหล่ ดัลโก เราไปสนุกกันไหม
ขุนพลโก : พวกเราจะรอคอยการเสด็จกลับของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ
ทัมด๊กทรงม้าออกมาแล้วพบชนเผ่าของคอรัล ที่กำลังทำร้ายทหารที่ไปขนศพทหารโคคุเรียวขึ้นเกวียน
ฮีกแก : นี่คือกษัตริย์แห่งโคคุเรียว
ทัมด๊ก ทรงม้าออกมาจากกลุ่ม : คนของเจ้าเป็นเผ่าคีโดฮารีหรือ
คอรัล :พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์แรกของดินแดนทางเหนือ คีโดฮารี
ทัมด๊ก : ข้าได้ยินมาว่า อัตทิลา ข่านแห่งคอรัลก็อยู่ที่นี่เช่นกัน มีทหารยกหีบเหล็กไปวางให้คนที่ดูเป็นหัวหน้าของทหารเผ่าต่างๆของคอรัล (ดูทัย) นี่คือของขวัญของข้าต่อ ท่านอัตทิลา และสาสน์ถึง อัตทิลา ส่งไปให้ให้เขาด้วย โยนกระบอกใส่สาสน์ให้ แล้วทัมด๊ก ทรงชักม้ากลับ
ฮีกแก : ชีวิตของทหารโคคุเรียวที่เสียไป ต้องตอบแทนกลับมาเป็น 100 เท่า แต่กษัตริย์ของเราทรงมีพระเมตตาและไว้ชีวิตพวกเจ้าทุกคน ฝ่าบาททรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคอรัล แม้แต่ที่ ที่แพะของพวกเจ้าไปกินหญ้า ถ้าเจ้าได้รับรายงานก็ขอให้มั่นใจว่าถูกต้องแล้ว ทหารทั้งหมดที่รับใช้ฝ่าบาทก็คือทหารม้าเหล็กที่น่าเกรงขามแห่งจูชิน ปล่อยพวกนี้ไป หัวหน้าคอรัล (ดูทัย) ดวงตาไหววูบขึ้นมากับคำว่า จูชิน



ที่บ้านตระกูลยอน
โซคีฮามาพบเสนาบดียอน
เสนาบดียอน : เทวีพยากรณ์ได้รับการอารักขาไม่ใช่จากนักพรต แต่เป็นฝ่ายอธรรมใช่หรือไม่
โซคีฮาบอกว่า แม้เราสองฝ่ายจะมีเรื่องในใจต่อกันมากมายขอให้ลืมเรื่องพวกนั้นและพูดกันตรงประเด็น ผู้อาวุโส ฮวาเซิน ได้จากไปยังยาน ข้ากำลังวางแผนจะรวบองค์กรฮวาเซินไว้เอง ท่านคงไม่รู้เป็นเช่นไร ซารยางส่งม้วนผ้าหนังสือให้ เสนาบดีกางออกอ่าน โซคีฮาพูดต่อว่าองค์กรองค์กรนี้มีมานานนับพันปี กองบัญชาการใหญ่อยู่ที่ อาบูลันซา มันเชื่อมโยงหลายอย่างและถือว่าเป็นศูนย์กลางเช่นใยแมงมุม
เสนาบดียอน :ฮวาเซินครอบครองดูแล พูกี ซอนีล จีนโบราณและคายา หรือ
โซคีฮา : เป็นความต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ท่านผู้นำ (แทจังโร) ต้องการครอบครองพลังแห่งสวรรค์ แต่ข้าต้องการอาณาจักรจูชิน เพื่อสร้างโดยประชาชน พร้อมด้วยท่านโฮแกแก
เสนาบดียอน : ท่านบอกเรื่องนี้ทำไม ถ้าท่านเป็นเทวีพยากรณ์ที่ดูหมิ่นสวรรค์ ข้า ยอนการยอ มีอำนาจในการปลดท่านออกจากตำแหน่ง แต่โซคีฮา ก็ยังพูดต่อว่า : แต่เพื่อการนี้ ก่อนอื่นข้าต้องได้สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของข้ากลับไปด้วย และยังมีอีกสิ่งหนึ่งข้าวางแผนจะมอบสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เสือขาวให้กับท่านโฮแก ท่านจะช่วยข้าหรือไม่ ข้าไม่คาดหวังได้คำตอบทันที แต่ข้าก็ไม่สามารถรอได้นาน
เสนาบดียอน: ให้ข้าถามประการหนึ่งก่อนที่ข้าจะตอบ ลูกชายของข้า โฮแกเขาเป็นอะไรต่อท่าน
โซคีฮา คิด ครู่หนึ่งก็ปลด ดุมเสื้อคลุมตัวนอกให้เสนาบดียอน มองเห็นท้องที่ใกล้คลอดแล้ว สองมือวางบนท้อง : แล้วนี่เพียงพอจะตอบคำถามหรือไม่
เสนาบดียอน ทำหน้าตาเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทำหน้าตาเจ็บปวดกับการตัดสินใจของตัวเอง
(โซคีฮา ก็ตัดสินใจ เหมือนกัน ที่จะไปขอให้ ยอนโฮแก รับเป็นพ่อของลูกในท้อง สุดยอดนางมารร้ายแห่งยุค พันกว่าปีก่อนโน้น)


ชอโร ได้พบซูจินี ที่นอนไม่ได้สติมาหลายวัน ชอโร พาหมอมาตรวจ หมอบอกว่า ข้าหาสาเหตุไม่พบดูเหมือนว่านางปิดตัวเอง ชีรพจรนางอ่อนเหลือเกิน ข้าจับไม่ได้เลย นางแทบไม่หายใจ



ชอโรพาซูจินี ไปนอนกับพื้นที่รองด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงที่หล่นลงมาจำนวนมกมายใต้ต้นเมเปิ้ล ชอโร นั่งพิงต้นแหงนมองใบไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาทีละใบ เห็นเป็นภาพ แชโอ เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว กำลังแทงปลา และกินน้ำในลำธาร ชอโร เอามือไปวางที่หน้าผาก ซูจินี ที่นอนไม่รู้ตัว (แล้วกันซี นี่พ่อมังกรน้ำเงิน แชโอ นั่นน่ะ ภรรยา เจ้านาย นะคร๊าบ)
ซูจินี เหมือนตกอยู่ในภวังค์คล้ายโซคีฮาเคยเป็น เพียงแต่ไม่ทุรนทุราย ซูจินี กลับไปสู่ภวังค์ เมื่อ 2 พันปี แชโฮธิดาของเผ่าหมี แชโอยิงธนู แชโอต่อสู้กับเผ่าเสือ แชโอท้อง ฯลฯ มีสุรเสียงของ ทัมด๊ก แทรกว่า นี่ และเสียงของซุจินีเองว่า ข้าชื่อ ซูจินี และสุดท้าย กับ เทพฮวานอุงที่ยกธนูพาดสาย ... โอ้ ...แชโอของข้า ...
ซูจินีสะดุ้ง ลืมตา มองใบไม้สีแดงบนต้นเมเปิ้ล ชอโร มองตาม แล้วก็ บอกว่า ตื่นเถอะ...เขา เขาบอกให้ข้าส่งเจ้าให้กับเขา ซูจินี นอนเฉยไม่ตอบอะไร

ค่ายของทัมด๊ก
ขุนพลโก : ข้าได้รับรายงาน คนของคอรัลกำลังข้ามาใกล้ มันดูเหมือนกองทัพพันธมิตรกับเผ่าทั้ง 4 แล้ว พวกคอรัลก็ขี่ม้าเข้ามา
ขุนพลโก : ข้าแม่ทัพ โกอูชุง แห่งกองทัพหลวงของฝ่าบาท
ข้าดูทัย จากเผ่า คีโดฮารี
ข้ามาจากเผ่า คาราคีตัย
ข้ามาจากเผ่า จิลดูส
ข้ามาจาก คูลคูสถาน
ขุนพลโก : ยินดีต้อนรับทุกคน ข้าจะฟังสิ่งที่ท่านต้องการจะพูด
ทัมด๊กเสด็จออกมาจากกระโจม มีฮีกแก ดัลโก และฮยอนโก ตามเสด็จออกมา : ข้าจะฟังพวกเขาด้วยตัวเองข้าได้ยินว่าหัวหน้าเผ่า คาราคิตัย เพิ่งจะได้หลานชายคนแรก ฝากความยินดีไปให้ท่านด้วย
คอรัล : ข้าจะส่งข้อความให้พระองค์
ทัมด๊ก : ข้าจะฟังข้อความของท่าน อัตทิลาข่าน ที่เพิ่งได้รับเลือก ของคิตัย
คอรัล 4 คน คำนับ ทัมด๊ก
ดูทัย : หัวหน้าทั้งหลาย ของ คีโดฮารี คาราคิตัย จิลดูส และคูลคูสถาน พร้อมกับท่านข่านของ คิตัย ได้ส่งสาสน์มาถวายฝ่าบาท เที่ยงตรงวันนี้ขอให้ไปพบกับพวกเรา ณ สถานที่ ที่เรากำหนดไว้ กษัตริย์แห่งโคคุเรียว จะทรงนำทหารไปได้แค่ 7 คน ม้า 7 ตัวเท่านั้น
ฮีกแก ชักดาบ: เจ้ากล้าดี เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ มีเพียงทหาร 7 คน สำหรับ ฝ่าบาทหรือ
มีเสียง จูมูชิ ดังขึ้นว่า : 1 ใน 7 เป็นหม่อมฉันด้วยใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรงดีพระทัย

ปล. 8 เมือง ยาน ที่มีชื่อ ในบทคำแปลนี้ มาจาก คำแปลเกาหลีเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Hooyeon ในความรู้สึกของคนเล่า คิดว่าน่าจะเป็น เมืองเยี่ยน ที่ชาวแฟนคลับละครจีน เคยคุ้น แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะเมืองเยี่ยนที่ว่านี้ เป็น รัฐ หนึ่งใน 7 รัฐใหญ่ สมัยโบราณ ตั้งแต่ กษัตริย์ จิ๋นซีฮ่องเต้ ของจีน ซึ่งจิ๋นซี ฮ่องเต้ ได้ รวมรวบ 7 รัฐใหญ่ มาสังกัดภายใต้ รัฐ ฉิน ของพระองค์ แต่เมื่อ ถึงสมัยพระโอรส รัฐฉิน ที่สถาปนาไว้ใหญ่โต ก็ล่มสลาย พระราชวังถูกเผา นานถึง 3 เดือน จึงไหม้หมด ทั้ง 7 รัฐ น่าจะ แยกตัวออกมาใหม่ และในช่วงเวลา ของ สามก๊ก ของจีนก็จะกล่าวถึงเมืองเยี่ยนด้วย แล้วก็งง ๆว่า ตั้งใจ เรียก ชื่อเมือง เพื่อไม่ต้องอ้างถึง ฮั่น ของ จีนหรือเปล่า และมาถึงปลายราชวงศ์ฮั่นนี้เมือง เยี่ยน ยังมีหรือเปล่า เอ แล้ว ปล.นี้ จะทำให้ ยิ่งงง หนักขึ้นหรือเปล่า ถือว่า เป็นคำถามที่ คนเล่า รอ มีผู้รู้มาตอบก็แล้วกัน ขอบคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

Copyright @ Amornbyj & SUE

Friday, May 23, 2008

ประวัติครอบครัวนักแสดง...มังกรน้ำเงิน...Philip Lee (น่าทึ่งมาก)


เนื่องจากมีสมาชิกหลายท่านได้ส่ง mail มานะคะว่าอยากทราบประวัติของ ชอโร (มังกรน้ำเงิน) พร้อมทั้งขอรูปมาด้วย...ทีมงานก็เลยนำมาลงให้วันนี้...พร้อมทั้งประวัติของ Philip Lee...ตอนแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะแปลให้เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนนี้นะคะ...แต่พออ่านประวัติครอบครัวของเขาแล้ว ทำให้ต้องย้อนกลับไปค้นประวัติของเขาใหม่อีกครั้ง...


...ตอนแรกที่อ่านประวัติของ Phillip Lee จาก Wikipedia...ก็นึกในใจว่า...จบจากมหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน ระดับมันสมองก็คงไม่ธรรมดา...และที่สำคัญมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไปที่สอบได้ก็เข้าเรียนได้เลย...แต่ต้องมีสายสัมพันธ์บางอย่างทางการเมืองเป็นพิเศษด้วยสำหรับผู้ศึกษาในบางคณะ...จะว่าไปก็คล้ายกับมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เปิดสอนระดับปริญญาตรี /ปริญญาโท ภาคพิเศษ ที่มีแต่ลูกหลานนักการเมืองเข้าไปนั่งเรียนเต็มไปหมดแบบนั้นนะคะ...


http://www.gwu.edu/~alumni/news/2005_05/anews/sal.html

...โดยเฉพาะเรื่องของ Simon Lee ซึ่งเป็นคุณพ่อของ Philip Lee ...น่าสนใจมากค่ะ...เพราะครั้งแรกที่ Philip Lee บอกกับคนในครอบครัวว่าจะไปเป็นนักแสดงในประเทศเกาหลีใต้...สมาชิกครอบครัวทั้งหมดไม่มีใครเห็นด้วยเลย...ผู้แปลก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม...พอค้นเบื้องลังประวัติครอบครัวของ Philip Lee แล้ว...ตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้...ต้องรีบโทรบอก Amornbyj กับ Starpolaris ว่านึกว่าเป็นครอบครัวแบบทั่ว ๆ ไป ที่ไหนได้ กลายเป็นครอบครัวเอเชี่ยน-อเมริกัน ที่ทรงอิทธิพลสูงมากกับรัฐบาลอเมริกา...เพราะเป็นนักธุรกิจที่มีการติดต่อซื้อขายกับรัฐบาลอเมริกัน....ทั้งยังมีโรงงานอุตสาหกรรม Systems Technology Group, Inc. (STG) ซึ่งผลิตด้านอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์การสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มนักธุรกิจชาว เอเชี่ยน-อเมริกัน ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา...มีพนักงานในโรงงาน 1350 คน เป็นชาวเอเชี่ยน -อเมริกัน และมีบริษัทในเครือข่ายอีก 250 แห่งทั่วโลก...




มาลองเปรียบเทียบความคล้ายคลึงของคู่หูคูนี้ดูนะคะ...

...ว่าบุคลิกเวลาโพสต์ท่าถ่ายรูปมองดูคล้ายกันแค่ไหน














ประวัติครอบครัวนักแสดง เรื่อง Taewang Sashingi หรือ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ นี้ ...เท่าที่เห็นรู้สึกว่าไม่ธรรมดาสักคน...ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวนักธุรกิจของประเทศเกาหลีเกือบทั้งสิ้น...โดยเฉพาะนักแสดงที่เป็นตัวเอกของเรื่องทั้งหมดนะคะ...อาจเป็นเพราะวัตถุประสงค์ในการทำละครครั้งแรกซึ่งต้องการทำละครอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้ได้รับการสถาปนาว่าเป็น "มหาราช"...เลยตั้งใจคัดเลือกนักแสดงที่มีเบื้องหลังประวัติครอบครัวค่อนข้างดีเป็นพิเศษ...(ช่วงเย็นค่อยกลับไปอ่านประวัติ Philip Lee ใหม่นะคะ...เพราะอีกสักครู่จะย้อนกลับไปแปลให้โดยละเอียดเลยค่ะ...ไหน ๆ ก็ทำแล้วก็ทำให้ดีเลยดีมั้ยค่ะ...)



Roytavan : Writer

Tuesday, May 20, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 19 )



...ตอนที่ 19...

โซคีฮา สะบัด ซูจินี กระเด็นลงไปกองกับพื้นอาราม ชอโรก็แกว่งทวนสู้กับซารยาง โซคีฮา คว้าเทียนทั้งฐานรองขว้างไปที่ ชอโร ฐานเชิงเทียนตกลงมาแตก แต่เปลวไฟ ลุกไหม้ทะลุเสื้อเกราะของชอโร ชอโร เจ็บปวดทุรุนทุรายเพราะความร้อนของเปลวไฟ ซูจินี เข้าไปจะช่วย แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตะโกนว่า : ท่านทำอะไรลงไป ดับสิ ข้าบอกให้ดับ แต่โซคีฮา ตอบว่า : ข้าจุดไฟได้ แต่ข้าดับไม่ได้



ชอโร ยิ่งทุรนทุราย ซูจินี เอามือ พยายามเอาไฟออกจากอกเสื้อ ทีแรกต้องสะบัดมือเพราะร้อน แต่เมื่อทำใหม่ มือซูจินี ก็สามารถต้านทานความร้อน และดับไฟได้ นัยน์ตาของซูจีนี บอกอาการโกรธ ก้มลงหยิบดาบสั้นที่พื้นขึ้นมา นัยน์ตาแข็งทื่อ แล้วดาบที่หยิบขึ้นมาแล้วก็มีเปลวไฟลุกโชติช่วง





ทั้งซารยางและโซคีฮา ต่างตกใจ ซูจินี กวัดแกว่งดาบเดินเข้าหาโซคีฮา ซารยางเข้าขวางทันที แล้วก็ ต้องกระเด็นลอยตกลงพื้น บาดเจ็บ คล้ายจะกระอักเลือด อยู่ที่พื้น ซูจินี ใช้ดาบที่มีเปลวเพลิง ฟาดฟันโซคีฮา โซคีฮาได้แต่หลบหลีกแล้วล้มลงพื้น โซคีฮา ตะโกนว่า หยุด อย่าทำร้ายลูกข้า แต่ซูจินีเหมือน ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เงื้อดาบขึ้นสูงจะทำร้าย โซคีฮา แต่แล้วก็มีพลังแรงออกมาจากโซคีฮา ผลัก กระแทกซูจินี กระเด็น ล้มลงไปกองกับพื้น และสลบไป




โซคีฮาและซารยางกลับไปที่พักลับเก่าของฮวาเซิน
แล้วโซคีฮาก็จำความได้ทั้งหมด ภาพในอดีตหลั่งไหลกันมา แทจังโร ดูดพลังจากจี้ฟินิกซ์ จากชายชรา เป็นวัยกลางคน และฝังสัญลักษณ์ ฮวาเซินให้เธอ แม่ที่สั่งข้อความว่า คีฮา นางเป็นน้องสาวของเจ้าและเจ้าก็เป็นพี่สาวของนาง ในฐานะพี่สาวไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าต้องปกป้องนาง เจ้าทำได้ใช่ไหม โซคีฮาวัยเด็กพยักหน้ารับคำแม่ แม่อุ้มน้องส่งให้เธออุ้ม ถอดสายสร้อยห้อยจี้ฟินิกซ์คล้องคอเธอ แม่เอาเธอกับน้องซ่อนไว้ ประตูห้องเปิดออก แม่ถูกฟันล้มกองกับพื้น เอียงหน้าส่งสายตามองโซคีฮา ที่เธอเองก็มองลอดช่องไม้จากที่ซ่อนตัวอยู่ แล้วแม่ก็สิ้นใจ ไฟไหม้บ้าน เธอเอาน้องใส่ถังถั่วแล้วปิดผาถัง เธอสำลักควันสลบไป ประกายของจี้ฟินิกซ์ แดงวาบ
โซคีฮา ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ เรียก ซารยางซ้ำๆ...นางเป็นน้องสาวข้าใช่ไหม ซารยางตอบเธอไม่ได้ ได้แต่หลบสายตาโซคีฮา


ที่ปราสาทโกกแน
พวกทหารเดินที่ลานพระราชวัง เข้าไปในห้อง ทัมด๊ก ขุนพลโก และฮีกแก เข้ามาในห้องนี้เช่นกัน ทัมด๊ก ถามเหล่าแม่ทัพ : ท่านไปหาครอบครัวแล้วหรือยัง
ทหาร : พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท
ทัมด๊ก ทรงถามนายทหารคนหนึ่งว่า : ภรรยาของท่านกำลังตั้งครรภ์หรือ คำตอบที่ทรงได้รับคือ เมื่อหม่อมฉันกลับมานางก็คลอดแล้วเป็นบุตรสาวพะยะค่ะ
ทัมด๊ก แล้วลูกท่านแม่ทัพ อูซุง 2 ขวบแล้วใช่ไหม คำตอบ พะย่ะค่ะ ของหม่อมฉันเป็นชาย
ทัมด๊ก แล้วทำไม สองครอบครัวนี้ไม่ดองกันเสียล่ะ คำทูลตอบคือ ลูกสาวของเขาคงหน้าตาเหมือนเขา มันโหดร้าย พะย่ะค่ะฝ่าบาท นายทหารที่ได้ลูกสาว ชักโมโหนิดๆ ฮีกแก รีบไกล่เกลี่ย ว่าไม่ว่าลูกสาวลูกชายท่านก็ไม่ควรวิจารณ์คนอื่น แล้วฝ่าบาทจะเสด็จไปคอรัลเมื่อใด พะย่ะค่ะ ทัมด๊กทรงตอบว่า เราจะรีบไปทันทีที่ทำได้ ฮีกแก : ฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่า เราต้องรีบรวบรวมกองทหารให้มากขึ้นอีกและต้องฝึกฝนพวกเขา
นายทหารคนหนึ่งทูลว่า :เราต้องรีบไปที่มั่นของยอนโฮแก เราจะไม่ถูกสกัดกั้นโดยกองกำลังคอรัล พะย่ะค่ะ
ฮีกแกทูลว่า : หม่อมฉันเห็นด้วยเพราะโฮแกฆ่าคนไปมากมาย คอรัลคงจะรอเวลาแก้แค้นอยู่พะย่ะค่ะ กองทัพจะประกอบด้วยทหารม้าเหล็ก
แต่ทัมด๊กไม่มีพระประสงค์ เรียกกำลังเพิ่ม : ข้าวางแผนเอาพลแบกหามไปแค่ไม่กี่ร้อยคน ข้าต้องการคนที่จะส่งสินค้าบางอย่าง ท่านแม่ทัพทั้งหลายท่านกลับไปบอกคนของเราว่า เราจะไม่ไปรบที่คอรัล เราจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก่อนจนกว่าจะถึงเวลาจำเป็นเท่านั้น ใครที่เริ่มลงมือต่อสู้ก่อน โดยไม่มีเหตุอันควรจะได้รับการลงโทษทันที พวกท่านเตือนพวกเขาซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง
ฮีกแก : ฝ่าบาทเราจะไปคอรัลเพื่อขนของให้ ยอนโฮแก หรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ไม่ใช่ เราจะไป คอรัล เพื่อเอาของไปให้กับคนที่จะมาเป็นพี่น้องกับเรา เราไม่มีเวลาหากำลังเพิ่มและฝึกฝนให้พวกเขา พวกเรามีทหารที่เคลื่อนที่ออกไปแล้ว 4 หมื่นนาย ถ้าเราหาคนเพิ่มอีก ผู้หญิงกับคนแก่ ก็ต้องไปทำไร่หาสัตว์เอง เมื่อเรารวบรวมสินค้าจากชนชั้นสูงในประเทศและเหล่าพ่อค้า สินค้าในตลาดจะถูกจำกัดลง ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นด้วย ฉะนั้นประชาชนของเราก็จะเดือดร้อน เราไม่มีเวลา เราต้องออกไปทันทีและกลับมาพร้อมกับสินค้าที่เราต้องการ
นี่เหมือนการพนัน
องครักษ์ อ่านพระบรมราชโองการนี้ในที่ประชุมขุนนาง

ฝ่าบาทกำลังรวบเสบียงเพื่อพระราชภารกิจ ขอให้ท่านให้ความร่วมมืออย่างเต็มความสามารถ
โชจูโด : ขออภัยที่ต้องถาม เรื่องการชำระเงินสำหรับเสบียงของเรา
องครักษ์ตอบว่า : ประเทศจะไม่จ่ายเงินใดๆ ให้กับพวกท่าน แต่ ฝ่าบาทจะทรงให้สิทธิทางการค้าเกลือ ขึ้นกับจำนวนความอุดหนุนที่พวกท่านให้ในคราวนี้ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคอรัล หลังจากข้ามภูเขาไป มีดินแดนแห่งเกลือที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งกว้างใหญ่พอๆกับทะเล เรากำลังจะไปเอาเกลือมาจากที่นั่นและแจกจ่ายให้ทั่วให้กับประเทศอื่นๆ
พวกขุนนาง หันหน้ามาปรึกษาหารือกัน
โชจูโดรีบไปรายงานเสนาบดียอน ที่กำลังนั่งเขียนข้อความถึง ยอนโฮแก ไม่ใส่ใจคำพูดของโชจูโด : ข้อเสนอของฝ่าบาทช่างยั่วยวนใจเสียเหลือเกินกลุ่มพ่อค้าและตระกูลขุนนาง ต่างพากันตื่นเต้น เสนาบดียอนชะงักมือที่กำลังเขียนตัวอักษร
โชจูโด : ท่านเสนาบดีใหญ่ ท่านจะทำอย่างไร อย่างน้อย เราควรแกล้งทำเป็นให้เสบียง บ้างหรือไม่ เราควรได้ผลประโยชน์ของฝ่าบาท แต่เสนาบดียอน กลับสั่งว่า : รีบเตรียมม้าเร็วและคนส่งสาร
โชจูโด : ส่งสารไปให้ท่านโฮแก หรือ
เสนาบดียอน ลุกขึ้นเดินออกมาข้างนอก: ก่อนที่ภรรยาข้า แม่ของลูกชายข้าจะเสียชีวิต บอกให้ระวังคนที่ฉลาดเหมือนงูพิษ (เสนาบดีเดินเซต้องเกาะเสาที่อยู่ใกล้ โชจูโด ปราดเข้าประคองเรียก ท่านเสนาบดีใหญ่) เสนาบดียอนพูดต่อว่า : ข้าไม่เคยรู้ความหมายของเรื่องนี้ ภรรยาข้ากำลังจะตายแต่ข้าไม่เคยสนใจฟังคำของนาง สำหรับเขาโคคุเรียว เป็นแค่ชิ้นส่วนเล็กๆของปริศนา มันเล็กเกินกว่าความทะเยอทะยานของเขา โชจูโด :ท่านกำลังพุดถึงฝ่าบาทหรือ แต่ทรงได้สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำเงิน ทรงมุ่งหน้าสู่ดินแดนที่มากกว่านี้
เสนาบดียอน :มันไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับดินแดนที่เขาต้องการ เขาจะทำทุกสิ่งที่ต้องการเพื่อให้ได้ดินแดนนั้น เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ทำลายลูกชายของข้า เขากำลังทิ้งทหาร 4 หมื่นคนของโคคุเรียวให้เป็นเหยื่อ ข้าไม่รู้จักเขาดีพอ ข้าประเมินเขาต่ำไป ข้าต้องส่งข่าวเรื่องนี้ไปให้โฮแก เราต้องไม่ตกหลุมพรางของเขา ไม่ได้ ...ไม่ได้..



ในห้องประชุมทหาร
พวกทหารพากันอ่อนเพลีย บางคนนั่งหลับ ขุนพลโก เข้าไปทูลทัมด๊ก : ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันช่วยเหลือฝ่าบาทไหมพะย่ะค่ะ เราประชุมต่อเนื่องกันมา หากพระองค์ไม่พัก คนอื่นๆ ก็ทำไม่ได้ พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรงลุกขึ้นจากพระเก้าอี้ ฮีกแก ที่ทอดตัวเหยียดยาวกับเก้าอี้ หงายหลังผลึ่งลงไปส่งเสียงโวยวายตามนิสัย โอ๊ยเจ็บ กุมศีรษะบ่นว่า ... ข้า เลือด.ออก
ทัมด๊ก ตรัสว่า : วันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้าจะพบกับพวกท่านพรุ่งนี้เช้า
ทรงถาม ฮีกแก ว่า เลือดออกหรือ ฮีกแก ทูลว่า หม่อมฉันไม่ได้เลือดออก
ทัมด๊ก : แต่ท่านเป็น ...ทรงพระสรวลขำฮีกแก เมื่อเสด็จออกมา ก็ เห็น ฮยอนยองกำลังปลุก ฮยอนโก กระซิบกระซาบข้อความข้างหู แล้ว ทั้งฮยอนโก และฮยอนยองก็รีบร้อนออกจากห้องนั้นไป

ซูจินี นอนอยู่บนเตียง รู้สึกตัวลุกขึ้นนั่ง ลองลูบแขนที่บาดเจ็บ แต่ไม่มีร่องรอยแผลอะไร จึงรีบลุกขึ้น

ชอโรนอนเจ็บ หมอเอาพวกสมุนไพร วางไว้ตามรอยแผลที่โดนไฟลวก พลางอธิบายว่า มันอาจจะลำบาก ไฟไหม้ผ่านเสื้อเกราะลงไปที่หน้าอก ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นไฟอะไรมันเผาไหม้เขาไปทั่ว

ฮยอนโก ซักถามซูจินี เมื่อซูจินีเล่าเหตุการณ์ในอารามหลวงให้ฟัง
ซูจินี : ข้าจำสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ข้าต้องการทำ ข้าโกรธ สกัดไฟ และไล่ตีคน ข้าจู่โจมเพื่อฆ่า แล้วก็เงยหน้าถามฮยอนโก มันเป็นเช่นนี้ใช่ไหม
ฮยอนโก เบือนหน้าที่กำลังตั้งใจฟังคำบอกเล่า ไปทางอื่น
ซูจินี : เมื่อผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ควบคุมจิตใจไม่ได้ มันเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ฮยอนโก เหลียวกลับมา ซูจินีพูดต่อว่า เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าข้าเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ นี่มันบ้าจริง ฮยอนโก ได้แต่พูดว่า เช่นนี้
ซูจินีพูดต่อว่า ข้าขอคืนได้ไหม ข้าพูดได้ไหมว่าไม่อยากได้มัน
ฮยอนโก : ซูจินี เรามาลองกันอีกครั้งลองเหมือนคราวก่อน เจ้าลองควบคุมตัวไม่ได้ต่อหน้าข้า และโกรธ ทำให้ข้าเห็นอีก
ซูจินี : ท่านบอกว่าในตำนานเล่าว่า ผู้หญิงคนนั้นลืมตัวอย่างไรและพยายามฆ่าท่าน ฮวานอุง ข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ข้าจะโกรธลืมตัวอีก ข้าไม่รู้ว่า ทำไมข้าจะเผาโลกอีกครั้ง และทำไมข้าจะฆ่ากษัตริย์ ใช่ไหม
ฮยอนโก : ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นลองอีกครั้ง ข้าถึงจะบอกเจ้าได้ ว่าข้าคิดอย่างไร
ซูจินี : ข้าขอเป็นครั้งสุดท้าย ให้ข้าพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย ฮยอนโก ถามว่า ใคร ซูจินีตอบว่า คนที่เรารู้ว่าเป็นใคร ฮยอนโกยืนถอนใจ ซูจินี พูดซ้ำ อีกครั้งเดียว ฮยอนโกนั่งลงข้างๆ
ซูจินี : ครั้งเดียวก็น่าจะดีแล้ว
ซูจินี เอามือจับมือฮยอนโก : ข้ายอมให้ท่านเป็นคนฆ่าข้าไม่ได้ ถ้าท่านเป็นคนฆ่าข้า ท่านต้องร้องไห้ไปตลอดชีวิต ท่านเลี้ยงดูข้ามาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ตอนข้าเป็นทารก ทุกอย่างที่ข้ารู้ ข้าเรียนมาจากท่าน ข้าไม่สามารถตอบแทนบุญคุณด้วยความเศร้าได้หรอก ท่านหัวหน้า ข้าคิดว่า...ข้าคงไม่สามารถตอบแทนบุญคุณของท่านได้ ..ปล่อยข้าได้ไหม แล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินจากไป ตลอดเวลา ฮยอนโกที่ได้แต่นั่งมองหน้าซูจินี พูดกับข้างหลังของซูจินีว่า..เด็ก..เด็กคนนั้น

โซคีฮา ไปหาแทจังโร ที่หลบซ่อนตัวในถ้ำ
ทหารฮวาเซินมาขวางว่า ท่านคีฮา ไม่ใช่ตอนนี้ บางที่หลังอาทิตย์ตกดิน โซคีฮา สบัดพลังไฟใส่ไปหลายคน แทจังโร ร้องทักว่าเจ้ามาแล้ว
โซคีฮา : ในคืนแห่งดวงดาวจูชิน บ้านหลังนั้นที่แพคเจที่มีแสงแห่งฟินิกซ์ ท่านฆ่าครอบครัวนั้น และเผาบ้านของเขา ท่านลบความจำของเด็กหญิงอายุ 5 ขวบ ที่พบในกองเถ้าถ่านยังอยู่ในบ้านและใช้เธอเยี่ยงทาสจนถึงบัดนี้
แทจังโร : เจ้าได้ความจำกลับมาแล้ว ข้าได้ลบมันจากเจ้าอย่างระมัดระวัง
โซคีฮา : ท่านฆ่า พ่อแม่ของข้าหรือ และตอนนี้ ท่านทำให้ข้าเกือบต้องฆ่าน้องสาวของตัวเอง แทจังโร แปลกใจ ตาลุก เจ้าพูดว่า น้องสาวหรือ
โซคีฮา : ใช่ น้องสาวของข้า น้องสาวที่ท่านแม่ฝากฝังกับข้าก่อนที่ท่านจะฆ่านาง ท่านรู้ทุกอย่างแล้วท่านไม่รู้เรื่องนี้หรือ เช่นนั้นท่านคงจะไม่รู้ว่าวันนี้ท่านต้องตายด้วยมือของข้า แล้วโซคีฮา ก็ใช้ดาบจะแทงแทจังโร แทจังโร ยกมือจับดาบ และ บอกว่า : ข้าขอเจ้าอีกสักครั้งเพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้าตกใจ ดาบหักเป็นสองท่อน และโซคีฮา กระเด็นออกมา มือถือด้ามดาบ แทจังโร ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืน
โซคีฮา ถามว่า : ท่านเป็นอะไร
แทจังโรตอบว่า : ข้าคือผู้นำแห่งเผ่าไฟ ที่ซึ่งอำนาจแห่งไฟถูกขโมยไปจากพวกเรา โยนดาบหักด้านปลายในมือทิ้ง เดินเข้าหาโชคีฮา ที่ได้แต่ค่อยๆถอยหลัง พูดต่อว่า : ข้าเป็นชายที่น่าสงสารที่ได้ร่างกายกลับมาด้วยอำนาจแห่งลูกแก้วสีแดง โซคีฮา ยกดาบหักขึ้น : ท่านยังเป็นคนฆ่าพ่อ แม่ของข้า และใช้ข้าเยี่ยงทาส แทจังโร ดึงผ้าที่คลุมศีรษะออก พูดต่อ : เจ้าได้ความจำเมื่อ 20 ปีก่อนกลับคืนมา ทั้งที่ข้าลบความจำเจ้าออกไปอย่างระมัดระวัง แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ได้ความจำเมื่อ 2 พันปีก่อนกลับมาด้วยเล่า
โซคีฮา : ใครจะไปสนใจเรื่องความทรงจำนั่น ก่อนอื่นข้าขอแก้แค้นแทนพ่อแม่ ของข้า จากนั้นข้าค่อยคิดเรื่องอื่น แล้วก็เอาดาบที่หักครึ่ง แทงแทจังโรอีก คราวนี้ ดาบปักที่หน้าอก แทจังโร โซคีฮา กระเด็นล้มลงนั่งที่พื้น
แต่ แทจังโร ไม่เป็นอะไร : ข้าบอกเจ้าแล้ว เมื่อ 2 พัน ปีก่อนโน้น ข้าขโมยพลังแห่งไฟ เจ้าไม่สามารถใช้ไฟฆ่าคนที่อยู่ด้วยไฟได้หรอก เจ้ารู้ไหม ข้ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนโดยไม่สัมผัสกับความตายสักนิด เอามือดึงดาบออก ไม่มีเลือดไหลแต่อย่างใด เป็นสายควันดำ ๆ ลอยอยู่รอบแผล แล้วก็พูดต่อ วันเวลามันช่างยาวนานและไม่มีที่สิ้นสุด จนครั้งหนึ่งข้าเคยแทงหัวใจตัวเอง .. สิ่งที่ข้าได้ทำไปก็แค่...ขโมยอำนาจแห่งไฟเพียงเล็กน้อย แต่นี่เป็นการลงโทษข้า..คีฮา....คาจิน....จำสิ่งนี้ไว้ ครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นนักพรตหญิงแห่งไฟ แล้ว แทจังโร ก็ยกสองมือขึ้น พลังสายสีดำที่มือ ทำให้โซคีฮา เจ็บปวด ทุรนทุราย เหมือนทุกครั้ง (ทำไม ลูกในท้องไม่ช่วยแม่ นะแปลกจริง)

ทัมด๊ก ลุกจากแท่นบรรทม พระราชดำเนินออกมาที่ท้องพระโรง แต่ราตรีนี้มีเพียง ทัมด๊ก พระองค์เดียว

ซูจินี นั่งอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสสามคน และบรรดาศิษย์ที่ยืนเบื้องหลังผู้เฒ่า
ฮยอนจังถามซูจินีว่า : เจ้าใช้พลังแห่งไฟจริงหรือ อีกคนก็พูดว่า ถึงแม้เราไม่แน่ใจ แต่เราไม่สามารถรอจนกว่าจะแน่ใจได้ ตามตำนาน เมื่อฟินิกซ์เกิดขึ้น เราต้องเอาไว้แต่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์และฆ่าผู้พิทักษ์เพื่อความสงบสุขของโลก เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่..ใคร..จะช่วยเด็กคนนี้กับการเดินทางครั้งสุดท้ายของนาง คนพูดหันไปมองคนโน้นคนนี้
ซูจินีบอกว่า : ข้าจะทำเอง ข้ามักจะเป็นคนทำงานสกปรกในหมู่บ้านเสมอๆ ลุกขึ้นยืน : แต่ข้ารู้สึกเป็นห่วงจริงๆ ว่าพวกท่านจะทำอย่างไรถ้าไม่มีข้า ทุกคนในที่นั้นหน้าเศร้า ซูจินีพูดต่อ : ข้าขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมได้โปรดช่วยชีวิตผู้บัญชาการป้อมปราการควานมีที่ได้รับบาดเจ็บในขณะพยายามช่วยชีวิตของข้า ข้ารู้สึกผิดที่จะต้องทิ้งเขาไว้ข้างหลังแบบนี้
ผู้เฒ่าโคมิล : ฟินิกซ์เป็นมารดาแห่งโลกมนุษย์ เขาพูดกันว่านางไม่สามารถทนเห็น ใครต้องเจ็บปวดหรือหิวโหย ตกลงเราจะทำทุกอย่างภายใต้อำนาจของเรา
ซูจินี หันไปทาง ฮยอนยอง เรียกเพื่ออำลา : ท่านลุง ฮยอนยอง ก้มหน้าร้องไห้


ในพระราชวัง
ขณะที่องครักษ์ 2 คนกำลังสวมเสื้อเกราะให้ ทัมด๊ก ซูจินี ก็เข้ามา ทูลว่า หม่อมฉันขอทำได้ไหม ซูจินี ใส่ชุดสวยงาม ที่ ทัมด๊ก ทำท่าแปลกพระทัย เพราะไม่เคยทอดพระเนตรเห็นมาก่อน พระสุรเสียง คล้าย จะอุทาน อะไรนี่ เจ้าใส่อะไร ซูจินี อะไรหรือและหันหลังกลับ ทรงถามว่า นี่เจ้าจะไปไหน ซูจินี หันมา เดินมาหา ทัมด๊ก ทรงพยักพักตร์ให้องครักษ์แล้วทรงหันพระปฤษฎางค์ให้ ซูจินี (ใช้คำว่าพระขนองก็ได้) ตรัสว่า : ครั้งนี้ทำให้ดี อย่าให้เบี้ยวอย่างคราวที่แล้ว ตรัสไปแย้มพระโอษฐ์ไป : เจ้าไปไหนมาข้าเป็นห่วงที่ไม่เห็นเจ้า มีอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้านโคมิลหรือเมื่อคืนนี้อาจารย์ทั้งหลายต่างพากันรีบร้อนกลับไป




ซูจินี ผูกด้านหลังเสื้อเกราะเสร็จ ก็กอดบั้นพระองค์
สัญชาตญาณทำให้ ทัมด๊ก คว้ามือ ซูจินีไว้ : อะไรกัน ทรงนิ่ง และพยายามจะเอี้ยวพระองค์ไปทาง ซูจินี : มันประหลาด เมื่อเจ้าเงียบไป เจ้ามีปัญหาอีกหรือ ทรงพยายามหันมาจนมือซูจินีหลุดจากบั้นพระองค์ แต่ซูจินี ก็ โอบใหม่ ทูลว่า สักครู่ ขอสักครู่ แล้วก็ร้องไห้ : หม่อมฉันต้องการคิด แล้วเอาใบหน้าแนบลงไป (คงอยากจดจำท่านี้ไว้ในความทรงจำ)



ทัมด๊ก เอาพระหัตถ์ออก ปล่อยให้ ซูจินี กอด เบือนพระพักตร์ไปทางซูจินี ตรัสถามว่า เจ้ากำลัง..ร้องไห้หรือ ขยับองค์ แต่ ซูจินี กอดพระองค์แน่น : เด็กโง่...เจ้าจะจับกษัตริย์จากด้านหลังไม่ได้
ซูจินี ปล่อยพระองค์ ก้าวถอยออกไปยืนก้มหน้าร้องไห้



ทัมด๊ก : ไหนข้าขอดูหน้าเจ้าหน่อย ซูจินี เงยหน้าขึ้นทูลว่า : หม่อมฉันคงเมาค้างอยู่ พวกเขาบอกว่า เหล้านี้ถ้าดื่มแล้วทำให้ร้องไห้ มันก็จริง แล้วยกมือลูบผมแก้เก้อ ทัมด๊ก ทอดพระเนตรทรงสงสัย ซูจินี หม่อมฉันมาเพื่อคืนสิ่งนี้ให้กับฝ่าบาท ทัมด๊ก ก้มลงทอดพระเนตรขวดน้ำหอม




ซูจินี : ฝ่าบาททรงให้หม่อมฉันยืม แต่ทรงไม่เคยทวงคืน มันก็เลยยังอยู่กับหม่อมฉัน ตอนต่อสู้หม่อมฉันระวังไม่ให้มันแตก มันยังอยู่ในสภาพดีใช่ไหม ทัมด๊ก ทอดพระเนตรซูจินี นิ่ง และไม่รับขวดน้ำหอม ซูจินี เลยต้องวางไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆพระองค์ ทูลต่อว่า หม่อมฉัน หม่อมฉันต้องการเสมอๆที่จะให้มีคนพูดกับหม่อมฉันว่า หม่อมฉันเป็นคนตัวเล็กที่น่ารัก หม่อมฉันถึงได้แต่งตัวแบบนี้ หม่อมฉันคิดว่าคงจะน่ารักถ้าใส่มัน แล้วก็หัวเราะแกล้งทำให้รื่นเริง เพราะหม่อมฉันต้องการให้ทรงจดจำเช่นนี้ เฮ้อ... น่าอายเสียจริง หม่อมฉันทูลลาก่อน ยกมือลูบผมแก้เก้ออีก ก้มคำนับ



ทัมด๊ก ทรงจับแขนซูจินีไว้ : จำอะไร พูดให้ชัดเจนสิ
ซูจินี : คนขี้เมา จะพูดให้ชัดเจนได้อย่างไร
ทัมด๊ก : เจ้าน่ารักเสมอ ถึงจะไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ เจ้าก็น่ารักเสมอ ดีใจไหม
ซูจินี : ฝ่าบาทอย่าทรงคืนคำนะ
ทัมด๊ก: ข้าคงพูดอะไรอย่างนี้ไม่ได้อีก
ซูจินี : หม่อมฉันจะไปตามทางของหม่อมฉันแล้ว ก้มศีรษะถวายคำนับ ทัมด๊ก ยังจับแขนซูจินีอยู่ : ปล่อยหม่อมฉัน แล้วก็ทูลซ้ำ ปล่อยหม่อมฉัน



ทัมด๊ก ปล่อยพระหัตถ์ ตรัสว่า : ไปนอนให้สร่างเมา พรุ่งนี้เราต้องฝึกซ้อม ทุกคนจะรอเจ้าอยู่
ซูจินี : ตกลงเพคะ ถวายคำนับอีก หันหลังเดินไป 3-4 ก้าว แล้วก็หันมา ทูลว่า ฝ่าบาท ..หลัง ของฝ่าบาทดีจริงๆ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบใช่ไหม ซูจินี ร้องไห้ แล้วก็รีบเดินออกมา ทัมด๊ก ประทับยืนที่ตรงนั้นนิ่ง..นาน
เมื่อออกมาซูจินีก็พบฮยอนโก ที่ระเบียง ซูจินี ก้มคำนับอาจารย์ ฮยอนโก ก็ร้องไห้...เจ้า...เจ้าดูตลกดี..แล้ว ซูจินี ก็เดินจาก ฮยอนโก ไป

ที่ค่ายทหารค่ายใหญ่ของ ยอนโฮแก ที่นาเกลือคอรัล
ทหารจับกลุ่มกันวิพาทย์วิจารณ์พระบรมราชโองการของ ทัมด๊ก ที่สั่งให้ยอนโฮแก นำกองทหาร 4 หมื่นคน คืนกลับปราสาทโกกแน ว่า ตอนนี้พวกขุนนางในปราสาทกลับมาสนับสนุน กษัตริย์ ทั้งที่ก่อนเคลื่อนพลออกจากปราสาท พวกขุนนางต่างพากันพูดว่า ยอนโฮแก จะเป็นกษัตริย์จูชิน และเข้าข้างยอนโฮแก มีคนหนึ่งบอกว่าแต่ตอนนี้เสนาบดียอนจบแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านโฮแกกลับไป ถ้าหากไม่กลับ ท่านโฮแกจะได้รับโทษในข้อหากบฏ เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือ ทหารพากันตกใจ กบฏหรือ และพากันมาถามมันดักของเผ่าซีอู (ที่ได้รับมอบหมายมาปล่อยข่าวลือ ) ว่า เจ้ามาจากปราสาทโกกแนใช่หรือไม่ ถ้าพวกเราเป็นกบฏจะเกิดอะไรขึ้น
มันดัก ตอบว่า เจ้ากำลังถามข้าถึงกฎหมายของประเทศของพวกเจ้าหรือ คนทรยศที่หักหลังประเทศชาติของตัวเอง จะถูกเผาทั้งเป็น ถูกตัดหัวและครอบครัวต้องตกเป็นทาส ถ้าเจ้าทรยศต่อกษัตริย์ก็เท่ากับทรยศต่อชาติ เจ้าไม่รู้เรื่องนั้นหรือ
แล้วมันดัก ก็เดินไปหาจูมูชิ ที่ หงุดหงิด งุ่นง่าน ที่มาถึง คอรัล แล้วไม่พบ บาซอนและดัลบี : ท่านหัวหน้า ข้าคิดว่าเราทำทุกอย่างที่ทำได้หมดแล้ว เราปล่อยข่าวลือ และทำให้ทหารเกรงกลัว ข้าคิดว่าเราสมควรกลับได้แล้ว
จูมูชิ ถามว่า เจ้าพบไหม มันดักบอกว่า ไม่มีใครรู้ แม้แต่แม่ทัพเองก็ไม่รู้ว่า ยอนโฮแก นำกองกำลังพิเศษไปที่ไหน แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร จูมูชิ ยิ่งโมโห ฟาดรั้วไม้ไผ่พัง มันดักได้แต่เรียกท่านหัวหน้า

ยอนโฮแก บุกไปหมู่บ้านช่างตีเหล็กที่คอรัล ไล่จับผู้คน และในจำนวนนั้นมี บุลโดล พี่ชายของบาซอน พี่น้องทั้งคู่ จำกันได้ แต่บาซอน แกล้ง บอกว่า เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาอาจตายไปแล้ว หรือไปจากที่นี่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ยอนโฮแก สงสัยท่าทางพิรุธของบาซอน แล้วอิลซู ก็อุ้มเด็กคนหนึ่งออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง เด็กที่ถูกอุ้มชี้มือไปที่ บุลโดล อิลซู จึงถามว่า ผู้ชายคนนั้นคือ บุลโดลใช่ไหม เด็กพยักหน้าตอบคำถาม ทำให้ บุลโดล ถูกจับแขนทั้งสองข้าง หิ้วปีก ขึ้น บาซอน มองพี่ชายแบบหมดปัญญาช่วย
ยอนโฮแก พูดขึ้นว่า : ข้ามาเพื่อสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เสือขาว พวกนั้นบอกว่าเจ้ามี พวกเราเลยเดินทางมาไกลและต้องเสียสละมากมายเพื่อมาที่นี่ เจ้าจะคืนให้ข้าได้ไหม
บุลโดล : ท่านเป็นผู้พิทักษ์หรือ มีแต่ผู้พิทักษ์เท่านั้นที่เอาไปได้ นั่นคือสิ่งที่ตำนานบอกไว้
ยอนโฮแก หน้าตึงตาขึง (เพราะรู้สึกว่า บุลโดลประเมินค่าตัวเขาต่ำเกินไปมั้ง)
บุลโดล พูดย้ำ มีแต่ผู้พิทักษ์เท่านั้นที่ครอบครองได้
อิลซูชักดาบ บาซอนเข้าขวางถาม บุลโดลว่า พี่..ข้าเองบาซอน
พี่ชายตอบว่า ข้ารู้ ข้าจำเจ้าได้ ตั้งแต่แรกเห็น เจ้าสบายดีหรือ เจ้าแต่งงานหรือไม่มีลูกไหม
บาซอนร้องไห้ : มันอยู่ที่ไหน เอาไปให้พวกเขาไปเถอะ
บุลโดล มองยอนโฮแก : เจ้าพาพวกเขามาที่นี่หรือ
บาซอน : คนพวกนี้จะฆ่าพี่นะ พวกนั้นจะฆ่าพี่จริง ๆ
บุลโดล : เจ้าพาพวกเขามาเพราะเขาเป็นผู้พิทักษ์หรือ หรือเขาคือกษัตริย์จูชิน (มอง ยอนโฮแก) บุลโดล หัวเราะ อิลซู เอาดาบแทงที่แขนเลือดกระฉูด บาซอนร้องบอกว่า ให้เขาไปเถอะ อิลซู แทงอีกแผล
บุลโดล : เมื่อผู้พิทักษ์ที่แท้จริงมา...เขาบอกว่าข้าจะรู้จัก จนถึงตอนนี้ ข้าไม่มีความรู้สึก พ่อบอกข้าเช่นนี้ แล้วก็ถูกแทงแผลที่ 3 บาซอนทนไม่ไหว ร้องว่า ข้าจะหามันเอง ให้เวลาข้าอีกหน่อย ถ้าให้เวลาข้า ข้าจะหามัน ข้าจะหาเอง หยุดเถอะ แล้วบาซอนก็วิ่งเข้าไปตัวบ้านที่ บุลโดล ถูกจับมา ดัลบี ถลาเข้าไปหา บุลโดล เอามืออุดแผล โปรดอดทนอีกสักนิด โปรดอดทน
ยอนโฮแก เสียงเครียดหน้าเครียด มอง บุลโดล เขม็ง : ข้าไม่พร้อมสำหรับมันหรือ ในสายตาของเจ้าข้าไม่ใช่จริงหรือ เจ้าไม่มีความรู้สึกใด ๆหรือ ไม่มีเลยหรือ
บุลโดล กัดฟันเพราะความเจ็บปวด : ท่านมาจากกลุ่มเดียวที่ฆ่าพ่อของเราหรือ พวกนั้นเหมือนท่าน พวกนั้นพยายามบังคับด้วยกำลัง พ่อของข้าได้สละชีวิตเพื่อปกป้องมันจนวาระสุดท้าย...และลูกชายของพ่อ คือข้า....แล้ว บุลโดล ก็กัดลิ้นตัวเอง ตาย
บาซอน วิ่งกลับมาพร้อมย่ามที่ใส่สัญลักษณ์ ทิ้งย่ามลงกับพื้น เมื่อเห็นบุลโดลอยู่ในอ้อมแขนของ ยอนโฮแก วิ่งมาเขย่าพี่ชาย จอกฮวาน เปิดย่าม หยิบสัญลักษณ์เสือขาวออกมาส่งให้ ยอนโฮแก ยอนโฮแก สีหน้าไม่ได้ดีใจแต่เคร่งเครียดครุ่นคิด

ที่หมู่บ้านโคมิล ผู้เฒ่าเอาสัญลักษณ์มังกรน้ำเงินมาวางบนหน้าอก ชอโร สัญลักษณ์ ส่องแสงสว่าง ผู้เฒ่าทั้ง 2 คน คำนับสัญลักษณ์




ในกองทหารของทัมด๊ก
ทัมด๊กทรงต่อสู้ประลอง กำลัง กับทหาร ที่เดียว 2 คน ทัมด๊ก ทรงพระสำราญมาก ฮยอนโก มายืนมามองดู แต่สีหน้าเศร้าสร้อย ทัมด๊ก เลยปลีกพระองค์ออกมา ให้พวกแม่ทัพนายทหารสนุกกันต่อ ( ยงจุนคล่องแคล่วมาก และประวัติ ของเทควันโด ก็ เกิด ตั้งแต่ สมัยอาณาจักร โคคุเรียว)
ทัมด๊ก ได้รับการถวายรายงานเรื่องการรักษา ชอโร การรักษาด้วยยาไม่มีผลดีขึ้น เราคิดว่า สัญลักษณ์อาจรักษาผู้พิทักษ์ที่ได้รับเลือกของมัน พวกเราโชคดีที่มันได้ผล พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : เขาได้รับการรักษาให้หายได้เร็วแค่ไหน พวกเราจะเดินทางพรุ่งนี้แล้ว และข้าหวังว่า ผู้บัญชาการป้อมปราการควานมีจะไปกับเราได้
ฮยอนโก พะย่ะค่ะ และเสบียงที่เรารวบรวมได้ ก็มีมากกว่าที่เราคาดไว้มากกว่าครึ่ง ทุกคนโลภอยากได้ เกลือ ก็เป็นสิ่งดีพะย่ะค่ะ


ทัมด๊ก : ทำไมข้าไม่เห็นเด็กคนนั้น ข้าไม่เห็น ซูจินี มาสักพักแล้ว นางหลบหน้าข้าหรือ
ฮยอนโก แต่แรกที่ยังไม่ทรงเอ่ยชื่อ ซูจินี ก็แกล้งทำไม่รู้ว่า เด็กนั่น คือใคร : โอ ซูจินี ก็...ไม่นานพะย่ะค่ะ หม่อมฉันส่งนางไปไกล ไปทำธุระ มันเป็นงานที่สำคัญของหมู่บ้านโคมิล โปรดทรงเข้าพระทัยด้วยว่าหม่อมฉันไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดกับพระองค์ได้ นางไปไกล... ไกล...สักหน่อยสำหรับที่ ที่ นางไป คงจะอีกนาน นาน สักหน่อย กว่าฝ่าบาทจะได้เห็นนางอีกครั้ง
ทัมด๊ก : ท่านจะบอกอะไรกับข้า ท่านกำลังปกปิดอะไรจากข้าหรือ
ฮยอนโก : ซูจินีไปแล้ว...กลับไปยังโลกของนาง มันเป็นการตัดสินใจของนาง ด้วยรอยยิ้ม โปรดเข้าพระทัยด้วยฝ่าบาท
ทัมด๊ก ทรงพระราชดำเนินจากไป





ที่หมู่บ้านโคมิล
ชอโร ฟื้นขึ้นมา
ทัมด๊ก : ซูจินีอยู่ที่ใด เรื่องเหลวไหลอะไรกันที่ท่านกำลังพูด
ฮยอนจัง : นางไม่ได้อยู่ที่นี่ฝ่าบาท มันเป็นคำสั่งสุดท้ายของหัวหน้าคนก่อน และเป็นภารกิจ ของชาวโคมิล พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : พวกเจ้าพูดได้อย่างไรว่าต้องฆ่านาง เพราะนางอาจจะเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์
ฮยอนโก : ไม่ใช่แค่ฟินิกซ์ แต่เป็นฟินิกซ์ดำพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : แล้วผู้หญิงคนนั้น ...ผู้หญิงคนที่บอกว่านางเป็นผู้พิทักษ์ ทำไมพวกเจ้าไม่ฆ่านางเสีย
ฮยอนโก : เราไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่า นางเป็นฟินิกซ์ดำ
ฮยอนจัง : ประการแรก นางต้องมีพลังแห่งไฟ ประการที่สองนางไม่สามารถควบคุมไฟได้และประการที่สาม สัญลักษณ์ของฟินิกซ์จะปรากฏบนร่างกายของนาง
ทัมด๊ก : ดังนั้น เพราะซูจินีโกรธจนลืมตัว และใช้พลังไฟ นางจึงต้องถูกฆ่า โดยพวกท่าน คนที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์ของนาง
ฮยอนโก : นางได้แสดงสัญลักษณ์ฟินิกซ์ ตอนที่นางยังเด็ก หม่อมฉันเห็นด้วยตาตัวเองพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : นางอยู่ที่ใด
ฮยอนจังส่ายหน้า : พวกเราไม่รู้พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก กริ้วจัด สุรเสียงดัง : ทำไมไม่รู้ ท่านอยากให้นางตาย แต่ท่านไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดหรือ
ฮยอนจัง : นางไปด้วยตัวนางเอง เราไม่ได้ถามนางว่า นางจะไปที่ใด พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก หมุนพระองค์กลับ ขุนพลโก (ผู้รู้พระทัย) : ฝ่าบาท พรุ่งนี้ จะต้องเสด็จคอรัลแล้ว
ทัมด๊ก ไม่สนพระทัย


ขุนพลโก : ฝ่าบาทตรัสเองว่า เราต้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน คนของเราไปถึงค่ายทหารของยอนโฮแกที่คอรัลแล้ว และกำลังทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายอยู่พะย่ะค่ะ ทรงสั่งด้วยพระองค์เอง ทรงบอกพวกเขาเป็นพิเศษว่า สิ่งนี้ต้องกระทำอย่างเร่งด่วนพะย่ะคะ
ฮยอนโก : ฝ่าบาทจะหยุดเพียงเพราะเด็กผู้หญิงคนเดียวไม่ได้ ทรงเป็นกษัตริย์นะพะย่ะค่ะ
มีเสียงประตูเปิด ชอโร ที่ยืนอยู่ที่บานประตู ทูลว่า หม่อมฉันจะไปเอง



ทัมด๊ก เสด็จพระราชดำเนินไปหาชอโร : ไปหาที่บ่อน กับโรงเหล้าก่อน ข้ามั่นใจว่านางต้องไปอยู่สถานที่พวกนั้น นางจะกลับไปโลกเก่าของนางอีกไม่ได้แม้แต่วันเดียว ..ทรงหยุด พระราชดำเนิน ... นางอาจจะเมาอยู่ จนถึงในขณะนี้
ชอโร : หม่อมฉันจะหานางให้พบ ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใด พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อย ป้อมปราการควานมีของเจ้าตกเป็นของข้าแล้ว ข้าจะคิดได้ไหมว่าเจ้าเป็นคนของข้าเช่นกัน
ชอโร ยิ้ม ทูลว่า ทำไมกษัตริย์จูชินถึงทรงถามสิ่งนี้พะย่ะค่ะ



ทัมด๊ก ประทานตราประจำพระองค์ ให้ ชอโร : ตราประทับนี้เป็นตัวแทนของข้า ถ้าเจ้าแสดงที่ใดภายในอาณาจักร โคคุเรียว เจ้าจะได้รับการช่วยเหลือ หานางให้พบและพานางกลับมา
ชอโร ก้มหน้า เหมือนทูลลา ทัมด๊ก
ยอนโฮแกกลับถึงค่ายทหารใหญ่ ที่นาเกลือคอรัล
แม่ทัพ : ท่านกลับมาอย่างปลอดภัยหรือ พวกเรามีเรื่องมากมายที่จะรายงานต่อท่าน
ในปราสาทโกกแน
ขุนพลโก เป็นผู้ผูกเสื้อเกราะให้ ทัมด๊ก ด้วยตัวเอง



Copyright @ Amornbyj & SUE