Tuesday, May 20, 2008

ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 18)


...ตอนที่ 18...

ปาร์คเจซัง ราชทูต ชิลลา กราบทูลว่า ชิลลา มักถูกรุกรานโดยชาวต่างชาติ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่แม้จะมีความลำบากในการคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ศัตรูจะขึ้นทางฝั่งใด แต่เราก็สามารถจัดการป้องกันตัวและตัดกำลังได้ง่ายดาย ปัญหาอยู่ที่ จะมีจัดตั้งกองบัญชาการใหญ่ที่ คายา ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็คงถูกรุกรานไม่หยุดหย่อน


ถ้าเราไม่สามารถสกัดกั้นการรุกรานเราจะต้องลำบากมากพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : การที่พวกนั้นจะจัดตั้งกองบัญชาการใหญ่ในคายา มันขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของแพคเจ
ทูต : ถูกต้องพระเจ้าค่ะ ที่แพคเจทำเช่นนั้นเพราะ ชิลลา เป็นพันธมิตรกับโคคุเรียว
ทัมด๊ก : ข้าก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แพคเจตะวันออกไม่ส่งกำลังเสริมตอนที่เราโจมตีป้อมปราการควานมี... (ในระหว่างปรึกษาเรื่องการทูตที่ยาวนานนั้น ข้าราชบริพารของ ทัมด๊ก ก็วุ่นวาย )



ฮยอนจัง : กษัตริย์ของเราเข้าบรรทมครั้งสุดท้ายเมื่อไร ทรงม้าและต่อสู้กับฮวาเซิน แม้แต่เวลาเสวยยังไม่เต็มที่ เพราะมัวแต่ทรงถกเถียงกับเหล่าทูตานุทูต เราควรทำอะไรบางอย่างแล้ว
ส่วนฮยอนโกก็มัวแต่วุ่นวายหากล่องที่เหมาะสม เก็บใส่ สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ กัมดง นำองครักษ์ถือกล่องมาให้คัดเลือก กำลังเลือก กันอยู่ ฮีกแก ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฮยอนโก เอาสองมือ ถูกัน ยกมือมากุมขมับ กำลังจะเดินออกไป ฮยอนโก เรียกไว้ถามว่า ท่านคิดว่าอย่างไรอันไหนดีกว่ากัน ฮีกแก หยุดชะงักก้มมอง แล้วก็เอามือตบโต๊ะ ทำท่าคิดออก เดินออกจากห้องไป แล้วฮีกแก ก็คิดออกไปหา ซูจินี ถามว่า เจ้าเป็นลูกกำพร้าที่จำหน้าพ่อแม่ไม่ได้ เจ้าคิดอย่างไรกับข้าถ้าข้าจะเป็นพ่อของเจ้า


ฮีกแก : ข้าเป็นผู้นำแคว้นจุนโน ข้ามีลูกชาย 2 คน คนหนึ่งตายที่ปราสาทดัลจา อีกคนก็คอยติดตามข้าตลอดเวลา แต่ข้าไม่มีลูกสาว แล้วเจ้าคิดอย่างไรถ้าหากจะมีพ่อเช่นข้า ต่อมา ซูจินี ก็ยินยอมเพราะ ที่แคว้นจุนโนมีโรงเหล้าอยู่ทั่วทั้งแคว้น มีถังไม้เก็บเหล้าเป็นพันๆ มีเหล้าอายุตั้งแต่ 3-100ปี



ฮีกแกสั่งจัดงานฉลองการรับธิดาบุญธรรม และรีบไปกราบทูล ทัมด๊ก ว่า : หม่อมฉันสัญญาจะมอบคนในตระกูล ให้เป็นราชินีของพระองค์ ตามที่กษัตริย์พระองค์ก่อน ได้ตรัสกับหม่อมฉันว่า “ข้ากำลังขอร้องให้ท่านมอบราชินีให้กับข้า ( เพื่อทัมด๊ก ในวันราชาภิเษก) ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ที่ทรงเอาชนะได้ทั้งทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก ต้องเสด็จออกจากปราสาทโกกแนบ่อยครั้ง บรรดาเสนาบดีที่โลภมากทั้งหลายจะสร้างปัญหา เวลาที่พระองค์ไม่อยู่



ฝ่าบาทต้องมีราชินี ที่จะยืนหยัดต่อสู้กับพวกที่ต่อต้านพระองค์ ไม่ว่ามีใครพูดอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องมีใครสักคนที่เข้มแข็งพอที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอๆ ทรงทอดพระเนตรบุตรสาวของหม่อมฉันก่อน หม่อมฉันยังไม่พบเห็นใครที่จะดื้อดึงมากกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ด้านความจงรักภักดี ต่อฝ่าบาทนางก็จะเป็นเช่นเดียวกับหม่อมฉัน นางยังสามารถเอาชนะผู้ชายหลายๆคนได้พร้อมกัน



ทัมด๊ก ทรงแย้งว่า บุตรสาวของท่านแต่งงานแล้ว ( แต่ตอนที่ฮีกแกขอรับซูจินีเป็นธิดาบุญธรรม ฮีกแกบอกกับซูจินีว่า ตนไม่มีบุตรสาว)
ฮีกแกทูลว่า : หม่อมฉัน จะมีบุตรสาวคนใหม่อีกคนในคืนนี้
จูมุชิ รู้สึกหงุดหงิด เมื่อมาร่วมงานเลี้ยงฉลองตะโกนขึ้นว่า : เมื่อไรจะเริ่มเสียที เชิญคนมาจะทำอะไร ก็ทำสักอย่างสิ
ฮยอนยอง : เราต้องรอฝ่าบาทเสด็จก่อน นี่เป็นงานรื่นเริง ผู้นำแคว้นจุนโนรับลูกสาวบุญธรรม แต่ลูกสาวนั้นก็เป็นน้องสาวของฝ่าบาทด้วย ส่วน ฮยอนโก และฮยอนจังก็ร้อนใจ ฉุด ฮีกแก ไปหาที่ที่จะเล่าประวัติความเป็นมาของซูจินีให้ฮีกแกได้รับรู้



โซคีฮา ในอารามหลวงก็ยืนเอามือลูบท้องตัวเองอย่างครุ่นคิด ซารยางบอกเธอว่า หัวหน้าย้ายไปอยู่ที่อื่น ท่านกำลังรออยู่ ส่วนทัมด๊ก กำลังจะดับ ชวาลา (ตะเกียง)ในห้องทรงพระอักษร ทรงหวนระลึกถึงโซคีฮา ที่เคยทรงแกล้งให้ จุดไฟตรงโน้น ตรงนั้น ตรงนี้ “ มหัศจรรย์จริงๆ เจ้าหมายความว่า เจ้าเกิดมาพร้อมกับความสามารถนี้ “ และ.. หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรได้อีก ทรงประหารหม่อมฉันตอนนี้ เพื่อหยุดหม่อมฉัน.... และ ข้ายังมีความหวังหลงเหลืออยู่ ข้าถึงได้มาที่นี่เพื่อพบเจ้า แต่ตอนนี้มันจบแล้ว ข้าหมดเรื่องกับเจ้าแล้ว ..
ส่วนโซคีฮา ก็ตามเคย คือนั่งร้องไห้ อยู่ ในอารามหลวง
ซูจินี มารู้จาก ดัลโก และถามให้แน่ใจว่า : เหตุผลที่แม่ทัพ ฮีกแก ต้องการให้ข้าเป็นลูกสาวบุญธรรมเพื่ออะไรนะ
ดัลโก : ราชินี พระมเหสีของกษัตริย์ แม่ของคนทั้งแผ่นดิน เราคงจะให้เด็กกำพร้ามาเป็นราชินีไม่ได้เพราะฉะนั้น ท่านพ่อก็เลยอยากรับเจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมก่อน และจากนั้นก็ให้เจ้า................แต่ ดัลโก ถูก ซูจินี ทุบท้ายทอยจนหัวคะมำ คราวหน้าถ้าจะล้อเล่น เลือกที่มันดีกว่านี้หน่อย กษัตริย์ เป็นเพื่อนเล่นของเจ้าหรือ สนุกนักหรือไรข้าไม่เชื่อที่เจ้าพูดเล่นหรอก
ฮยอนยอง บอก ดัลโกว่า นางไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเจ้ารู้ไหม นางมีแต่คนของโคมิล
ดัลโกยังติดใจ ถามว่า ท่านพ่อ.. ท่านแม่ทัพพูดอะไรหรือเปล่า ท่านพูดแค่ว่า “ มาเป็นบุตรสาวของข้า” แล้วเจ้าก็ตอบว่า “ ได้ “ ข้าละไม่อยากเชื่อเลย
ฮยอนยอง เสริมว่า : มันเป็นพระประสงค์ของกษัตริย์พระองค์ก่อน ทรงขอให้จุนโนมอบราชินีให้และ... แต่ ซูจินีเดินอ้าวออกไปแล้ว ดัลโกได้แต่บ่นว่านางช่างดื้อจริง แต่ฮยอนยอง ถามว่า เจ้าไม่เคยมีความรักใช่ไหม เจ้าถึงได้พูดว่าเป็นเรื่องงี่เง่า เจ้าไม่เคยรู้เรื่องแปลกและลึกลับระหว่างชายหญิงที่เรียกว่ารัก ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ( เหลือเชื่อกับฮยอนยองอีกแล้ว อุแม่เจ้า คนโคมิล)



ฮีกแก ฟังประวัติของ ซูจินี ที่ ฮยอนโกและกัมดง ช่วยกันเล่าจบ ก็แย้งว่า : แล้วผู้หญิงคนนั้นเล่า ผู้หญิงคนที่เป็นเทวีพยากรณ์อยู่ในตอนนี้ นางบอกว่านางเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ฮยอนโก ตอบว่า นางอาจเป็น อย่างใดอย่างหนึ่งคือ ตัวจริงหรือตัวปลอม ถ้านางเป็นตัวจริง ซูจินีของเรา ก็เป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นตัวปลอม ซูจินีของเรา ก็คือ.....ข้าหวังว่าซูจินีจะไม่ใช่ตัวจริง องครักษ์ กัมดง เสริมว่า : พลังของไฟเคยเป็นของโลกมนุษย์ แต่เมื่อคนเริ่มรู้จักใช้พลังเพื่อทำร้ายและเข่นฆ่าผู้อื่น ท่านฮวานอุงก็เลยนำมันมาเก็บไว้และให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง และเรียกว่าพลังแห่งฟินิกซ์ ต่อจากนั้น...
ฮยอนโก : ใกล้กับช่วงสิ้นสุดสมัยของท่านฮวานอุง ฟินิกซ์ ก็ระเบิดขึ้น และเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นทะเลไฟ ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง
ซูจินี ยืนฟังอยู่นาน ก็เข้ามา บ่นพึมพำ ท่านบอกว่า ผู้หญิงฮวาเซินเป็นฟินิกซ์
ฮยอนโก ฉุด ซูจินี ไปอีกห้องหนึ่ง
ฮยอนโก : นั่นคือสิ่งที่เราหวังไว้ ข้าหวังว่าจะไม่ใช่เจ้า เมื่อนางปรากฏตัวขึ้น ข้าถึงเต้นด้วยความยินดี แต่เจ้าจำได้ไหม ตอนเจ้ายังเด็ก เจ้าควบคุมไฟได้
ซูจินี : เพราะเหตุนั้นท่านถึงไม่เคยให้ข้าเล่นกับไฟแล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าข้าเป็นฟินิกซ์
ฮยอนโก : ถ้าเจ้าเริ่มแสดงตนเมื่อไร พวกเราต้องฆ่าเจ้าก่อนที่จะสายเกินไป เราถึงได้จับตามองเจ้าตลอดเวลา เพราะว่ามันยังมีโอกาส โอกาสหนึ่งในล้าน ข้าคงไม่ยอมให้เจ้าเป็นมเหสีของกษัตริย์ ผู้หญิงคนนั้นหลังจากเป็นภรรยาของท่านฮวานอุง เมื่อให้กำเนิดบุตร นางทำให้โลกกลายเป็นไฟ พลังที่ระเบิดจากความโกรธของนาง มันแรงมากไม่มีใครที่จะหยุดนางได้ เพื่อหยุดการทำลายล้าง ท่านฮวานอุง จำต้องประหารนางอันเป็นที่รักของพระองค์
ซูจินี : ข้าจะเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ได้อย่างไร ข้าคงเป็นผู้พิทักษ์เหล้ามากกว่า......ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เคยเป็นผู้รับความรักจากกษัตริย์ และนั่นคงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แล้วซูจินีก็เดินจากไป ( โธ่เอ๋ย ซุจินี )



ซูจินี เอาเหล้า ไปนั่งดื่มในท้องพระโรง กำลังเอนกายเอาหลังพิงขั้นบันไดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา จึงไปแอบหลบ ผู้เข้ามาคือ ทัมด๊ก ทรงได้กลิ่นเหล้า ทรงเรียกให้ ซูจินี ออกมา จะมีใครกล้ามากินเหล้าในพระราชวังหลวง ซูจินี ยอมออกมา ทูลว่า : หม่อมฉันขออภัย หม่อมฉันจะไม่ทำอีก
ทัมด๊ก : ข้าได้ยินว่าเจ้าปฏิเสธที่จะเป็นบุตรบุญธรรม ในบรรดาแคว้นทั้งห้าของโคคุเรียว จุนโนเป็นแคว้นที่มีคลังเหล้าใหญ่ที่สุด
ซูจินี : ใหญ่แค่ไหนก็ไม่สำคัญ นอกจากนี้หม่อมฉันก็โตพอแล้ว และตอนนี้หม่อมฉันก็สนใจในคุณภาพของเหล้าเช่นกัน
ทัมด๊ก :เจ้าไม่ชอบข้อเสนอหรือ ปฏิเสธที่จะเข้าไปในโรงเหล้าที่ใหญ่โต ทรงเอาพระหัตถ์ตบที่นั่งข้าง ๆ พระองค์ เรียก ซูจินี มานั่งข้าง ๆ แล้วก็ผลัดกันดื่มและเสวยเหล้าในขวดที่ ซูจินี ถืออยู่ : เจ้ามีนิสัยชอบดื่มแหล้าจนกว่าจะพับไป ข้าก็มีนิสัยไม่ยอมนอนตอนกลางคืน มันไม่ดีหรอกหรืออยู่ด้วยกันทุกคืน



ซูจินี ทูลถามว่า ฝ่าบาททรงบรรทมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ทัมด๊ก ทรงถามว่า เจ้าไม่ชอบหรือ
ซูจินี : หม่อมฉันถามอะไรได้ไหม
ทัมด๊ก : อย่างไรเจ้าคงถามอยู่ดี
ซูจินี : ตอนที่ท่านแม่ทัพทูลว่าจะรับหม่อมฉันเป็นบุตรบุญธรรม ฝ่าบาทไม่ทรงกริ้วรำคาญใช่ไหม



ทัมด๊ก ทรงนิ่ง แย้มพระโอษฐ์นิด ๆ ยกน้ำจัณฑ์ขึ้นเสวย ( กิน และดื่ม ใช้คำเดียวกัน) ซูจินี รอคำตอบอยู่ แล้วก็หันมามอง ทัมด๊ก ออกอาการงอนปนน้อยใจ คว้าเหล้ามาดื่ม : อย่างน้อยฝ่าบาทน่าจะตรัสไม่จริงสักครั้งและบอกหม่อมฉันว่าไม่เลย ถ้าเจ้าเป็นบุตรสาวของเขา ข้าจะ....(นึกไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไรดี)
ทัมด๊ก ทรงต่อ คำให้ว่า ...ซาบซึ้ง
ซูจินี สำลักเหล้า...เอ้อ …คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่า...
ทัมด๊ก : ให้ข้าพูดกับเจ้าตามตรงได้หรือไม่



ซูจินี : ถึงแม้หม่อมฉันจะปฏิเสธ ฝ่าบาทก็ต้องตรัสอยู่ดี (ย้อนรอยกลับไปบ้าง)
ทัมด๊ก : ข้ารู้สึกเสียใจ ซูจินี อึ้ง แบบคาดไม่ถึงกับตำตอบ ทัมด๊ก ตรัสต่อ : และอาจจะเศร้าใจอีกด้วย เพราะข้ากำลังสูญเสียเพื่อนที่ดีทีสุดไป ข้าสงสัยว่าเจ้าจะรู้ไหมว่าตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ ทรงคว้าเหล้าจากซูจินีไปเสวย



ซูจินี นิ่งอั้น (เศร้าใจกับตัวเองแน่นอน) ครู่หนึ่งก็แกล้งทำเสียงสดใสร่าเริง : ทรงทราบความหมายของชื่อหม่อมฉันไหม มันหมายถึงนกเหยี่ยวที่ถูกเลี้ยงให้เชื่อง แต่มีอิสระในการบินไปในท้องฟ้า และถ้าเราพยายามจะจับมันหรือฝืนความตั้งใจของมัน มันจะตายอย่างรวดเร็ว น่าขำใช่ไหม



ทัมด๊ก ทรงพระสรวล ยื่นขวดเหล้าให้ ซูจินี ยกขึ้นดื่ม แล้วเอามืออีกข้างเช็ดปาก ทัมด๊ก เขยิบองค์เข้ามาชิดเอาหัตถ์ซ้ายคล้องไหล่ซูจินี หัตถ์ขวา หยิบเหล้ามาเสวย ทำท่าว่ารสดีมากยื่นคืนให้ ซูจืนี



ซูจินี ก็ยกดื่มอีก แล้ว ทัมด๊ก ทรงแย่งมาอีกเขย่าว่าจวนหมดขวดแล้ว ซูจินี ยิ้ม แล้ว เอนตัวลงเอาศีรษะซบพระอังสา (ไหล่) ของทัมด๊ก ทัมด๊ก เสวยแล้วตรัสว่า มันดีจริงๆ ส่งขวดคืนซูจินี ซูจินียิ้ม...(สุขปนเศร้า...)



ในท้องพระโรง ขุนนางและเหล่าเสนาบดียังนั่งคอยเข้าเฝ้า เสนาบดียอนทนไม่ไหว ขอองครักษ์ไปเข้าเฝ้าส่วนตัว
เสนาบดียอน : คนของฝ่าบาททั้งหมดกำลังรอฝ่าบาททั้งวันและทั้งคืน พวกเขาพร้อมสำหรับความตายของเขา ทรงโปรดใช้พระเมตตาและการพิพากษา เพื่อแยกระหว่างผู้รับโทษตามกฎหมายและการเนรเทศ พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : พวกเขากำลังรอการลงโทษ หรือเนรเทศ เช่นนั้นหรือ
เสนาบดียอน : พะย่ะค่ะ และหม่อมฉันก็กระวนกระวายมากกว่าคนอื่น เพราะหม่อมฉันต้องรับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมดพะย่ะค่ะ หม่อมฉันควรถูกประหารต่อความผิดทางอาญาของหม่อมฉัน หม่อมฉันปรารถนาจะชดเชยต่อบาปของตัวเองพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : มันจะไม่เป็นการลำบากสำหรับท่านหรือทิ้งบุตรชายของท่านเพื่อยอมรับข้าในฐานะกษัตริย์
เสนาบดียอน : หม่อมฉันมีความสงสัยอยู่แล้วเมื่อสัญลักษณ์เต่าดำฟื้นขึ้นมาที่ปราสาทดัลจา หม่อมฉันสงสัยว่า จะเป็นบุตรชายของหม่อมฉันที่ดวงดาวจูชินปรากฏแน่หรือ แต่ครั้งนี้หม่อมฉันเห็นสัญลักษณ์มังกรน้ำเงิน ฟื้นขึ้นมาต่อตาของหม่อมฉันเอง ขณะที่รอคอยฝ่าบาท ในพระบรมมหาราชวัง หม่อมฉันคิดแล้วคิดอีกแล้วหม่อมฉันก็ได้ข้อสรุป แม้ว่าสวรรค์ได้เลือกฝ่าบาท 18 ปีที่ผ่านมาหม่อมฉันได้เลือกบุตรชาย โฮแก สวรรค์ได้เลือก และหม่อมฉันก็ได้เลือก ถ้าหากมันจะเป็นความหยิ่งยโสและเป็นการดูหมิ่น หม่อมฉันก็ยินดีรับผลของการกระทำพะย่ะค่ะ



ทัมด๊ก : ไปเถอะ ลุกขึ้นเสด็จพระราชดำเนินนำเสนาบดียอนไปยังท้องพระโรง ขุนพลโก ฮีกแก พากันมายังท้องพระโรงจากพระทวารอีกด้าน
ทัมด๊ก : ข้าจะถามพวกท่านสักข้อ ในฐานะคนของโคคุเรียว กษัตริย์แบบไหนที่ท่านต้องการ ท่านไม่สนใจว่าจะเป็นใคร ขอให้เป็นคนที่มีสัญลักษณ์เก่าคร่ำคร่าของตำนานก็พอหรือ สองพันปีที่ผ่านมา จูชินมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออก และตะวันตก พวกท่านต้องการดินแดนนั้น ท่านถึงได้ต้องการกษัตริย์จูชินหรือ ดินแดนนั้น ข้าจะเอามาให้พวกท่านได้อย่างไร พูดอะไรออกมา ทรงพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรเสนาบดี แต่ละคน ๆ ถ้าข้าฆ่า ชาย หญิง เด็ก และสัตว์ร้าย แล้วแผ่นดินของพวกเขา จะกลายเป็นของพวกเรา ลูกหลานของพวกเขาก็คงสาบานแก้แค้นกับเรา แล้วก็ต่อสู้กันอีก ฆ่าและฆ่ากันต่อไป นั่นคือดินแดนที่พวกท่านต้องการหรือ
ฮีกแก : หม่อมฉันเป็นคนด้อยปัญญา เพราะฉะนั้นหม่อมฉันไม่เข้าใจพระองค์ ที่ตรัสหมายถึงว่า ทรงพอพระทัยในดินแดนอันน้อยนิดของโคคุเรียวหรือ ถึงแม้คนอื่นจะบุกรุกเข้ามาเราก็ไม่ควรทำอะไรหรือ นั่นคือสิ่งที่ทรงตรัสมาหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ถ้าท่านให้เวลากับข้า ข้าจะเอาป้อมแพคเจมาให้อีกนับสิบโดยไม่ต้องทำสงคราม ถ้าพวกท่านไม่ได้ส่งทหาร 4 หมื่นคนออกไปรบโดยไม่มีเหตุผล ถ้าท่านให้เวลาข้าอีกนิด



องครักษ์กางแผนที่ออก ทรงพระราชดำเนินไปที่แผนที่ : ที่นี่แพคเจตะวันออกและตะวันตก ถ้าเราจำกัดพวกนั้นไว้ เราจะแบ่งพวกนั้นออกเป็น สองส่วน เราสามารถทำให้ชิลลาหันหลังให้แพคเจ ทรงชี้ไปที่จุด ๆหนึ่ง : ท่านผู้นำแคว้นจุนโน ผู้ที่อาศัยบนที่ราบตรงนี้ ทำไมเขาถึงข้ามไปข้ามมาบนดินแดนของเรา
ฮีกแก : เพราะพวกนั้นต้องการพืชผลของเรา
ทัมด๊ก : แล้วพวกนั้นมีอะไร
ฮีกแก : ม้าชั้นเยี่ยม และฝูงสัตว์ต่าง ๆพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านเสนาบดียอน คอรัลมีอะไรหรือ
เสนาบดียอน : ในบรรดาเผ่าทั้งแปดของคอรัล พีเรย์ มีเกลือมากมาย พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : แล้วใครต้องการเกลือ
เสนาบดียอน : เป็นเผ่าเร่ร่อน ซุกชิน (เป็นเผ่าเร่ร่อนแมนจูตะวันออกเฉียงเหนือ) พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : แล้วพวกเราให้อะไรได้บ้าง
เสนาบดียอน : เป็นเหล็ก พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : แล้วถ้าเราให้แต่ละชาติได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้วเรากลายเป็นศูนย์กลาง ที่ซึ่งพวกเราทั้งหมดกลายมาเป็นพี่เป็นน้องกัน มีความสงบสุขเป็นร้อย ๆปี พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ พวกท่านยังต้องการต่อสู้รบราเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการแก้แค้นอีกหรือ พวกท่านยังไม่เข้าใจว่าข้ารู้สึกอย่างไร
ฮีกแก เสนาบดียอน และสภาเสนาบดี เงียบงัน มิอาจจะกราบทูลความสิ่งใดต่อได้

ยอนโฮแก ยกทัพสู้กับเผ่าจีลดีลแห่งคอรัล หัวหน้าเผ่าอ้วนใหญ่สูงอายุตะโกนสั่งโจมตี ทั้ง สองฝ่ายสู้รบตลุมบอนกัน ผู้คนล้มตายทั้งสองฝ่าย หัวหน้าเผ่าถูกยอนโฮแกฆ่าตายในสนามรบ ดาบเสียบอก

ฮยอนโก ฮยอนจัง ซูจินี เดินตามหาเอาสัญลักษณ์ไปคืนให้กับผู้บัญชาการป้อมปราการควานมี ชอโร เมื่อเดินผ่านแท่นหินสี่เหลี่ยม ซูจินีก็แยกตัวขึ้นไปนั่งรอ
ฮยอนโก : ข้ารู้ว่าเขาต้องอยู่ที่นี่เพราะเขาชอบต้นไม้เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ตามหาเขาตามบริเวณใกล้ต้นไม้ในวัง แล้วหันไปหา ชอโร แนะนำตัว : ท่านผู้บัญชาการป้อมปราการควานมี ข้า ฮยอนโก หัวหน้าเผ่าโคมิลผู้ซึ่งรับใช้สัญลักษณ์เต่าดำ ข้าไม่รู้ว่าข้ากลายเป็นผู้พิทักษ์ได้อย่างไรแต่อย่างไรข้าก็เป็นผู้พิทักษ์เต่าดำ และท่านนี้คือ ฮยอนจัง : ข้าชื่อฮยอนจัง และนั่น......เหลียวหา ซูจินี แต่ไม่เจอ เพราะ ซูจินี แอบแวะนั่งที่แท่นหิน ที่เดินผ่านมา ฮยอนจัง คุกเข่าหน้า ชอโร ในมือถือหีบ ชอโร ที่ตลอดมานั่งหน้าตาเฉยเมยไม่สนใจใครเงยหน้าขึ้น เพราะคำว่า.. เด็กนั่นหายไปไปไหน



ฮยอนโก : อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์นี้เป็นของท่าน เรามาที่นี่เพื่อนำมาคืนให้ท่าน เพราะท่านคือมังกรน้ำเงินที่ได้รับเลือกเป็นผู้พิทักษ์สัญลักษณ์
ฮยอนจัง : นี่คือสัญลักษณ์ที่ฝังเข้าไปในหัวใจของท่าน เพราะท่านถูกบังคับให้เป็นผู้พิทักษ์โดยมนุษย์ธรรมดามิใช่กษัตริย์ ท่านถึงได้กลายเป็นปีศาจ แต่ตอนนี้ สัญลักษณ์ได้ฟื้นขึ้นมาจริงๆแล้ว มันถูกทำให้ฟื้นขึ้นมาโดยจุดประสงค์ที่เยือกเย็นของกษัตริย์
ชอโร ขยับตัว ฮยอนจัง ถอยหลังลุกขึ้นยืน



ชอโรก็ลุกขึ้นยืนและ หยิบทวนคู่มือ : เมื่อสิ่งนั้นฝังอยู่ในตัวข้า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือความฝัน ข้าฝันความฝันเดิม ๆ เป็นพัน ๆครั้ง โลกมนุษย์ที่เห็นได้ด้วยดวงตาของสวรรค์ ผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไป ( เป็นภาพแชโอ...เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว หลายภาพ) และ...นาง... แต่ข้าได้พบนางแล้ว...ดังนั้น....ตอนนี้ข้าไม่ต้องการมันแล้ว และเดินจากไป : ข้าจะไม่ไปไกล ข้าจะอยู่ใกล้กับกษัตริย์จูชินเสมอ ถ้าทรงต้องการข้า ข้าจะรู้เอง



ฮยอนจังเรียก ท่านผู้บัญชาการ ฮยอนโก บอกว่า ตอนนี้แค่นี้พอแล้ว เขารู้ตัวแล้วว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ที่ได้ฟื้นคืนมา ชอโร เดินไปจนพบ ซูจินี นอนหลับบนแท่นหิน เข้าไปนั่งใกล้ ๆ ซูจินี



ในพระราชวัง
จูมูชิ พาพรรคพวก 4-5 คน มาทูลลาทัมด๊ก : เราจะไปตามทางของเราแล้วฝ่าบาท
ทัมด๊ก : เจ้าคิดว่านานสักแค่ไหน
จูมูชิ : พวกเราเป็นคนของซีอู เรารู้จักวิธีการขี่ม้าก่อนที่จะเดินได้เสียอีก ไม่ว่าโฮแกจะอยู่ที่ไหนในคอรัล เราก็จะพบเขาได้ภายในไม่กี่วันพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : แต่เจ้าต้องไปหรือ
จูมูชิ ยิ้มเขินแล้วก้มหน้า : ฝ่าบาทอาจจะกังวลพระทัยที่ไม่มีหม่อมฉันอยู่ใกล้ๆ หัวเราะไปทูลไป
ทัมด๊ก : ข้าเกรงว่าเจ้าจะไปสร้างปัญหาต่างหาก จูมูชิหุบยิ้มลูกน้องพากันหัวเราะขำลูกพี่
ทัมด๊ก : คนของเจ้ารู้ว่าควรทำอะไรใช่ไหม ทรงถามจูมูชิ จูมูชิหันไปทางลูกน้อง ถามว่า รู้ไหม ลูกน้องตอบว่า รู้ จูมูชิ ทูลว่า พวกเขาบอกว่ารู้พะย่ะค่ะ



ทัมด๊ก : เอาตัวช่างตีดาบของข้าและผู้หญิงของเจ้ากลับมา
จูมูชิทำหน้าตาซื่อบื้อ : ของหม่อมฉัน ..อะไร
ทัมด๊ก : อย่าให้มีปัญหา จูมูชิ เขินหนัก เออ..จริงๆเลย ทัมด๊ก ทรงพระสรวลตรัสว่า : จนกว่าเราจะพบกันในคอรัล เร็วๆนี้ ระวังตัวกันด้วย ทรงตบไหล่จูมูชิ ดังป้าบ จูมูชิ หัวเราะ รับสนองพระบัญชา พะย่ะค่ะ แล้วหันไปทางลูกน้อง 4-5 คน พวกเจ้าได้ยินไหม ลูกน้อง รับคำ (อย่างสุภาพว่า) ขอรับ (ก็เข้ามาอยู่ในกองทหารกษัตริย์ และเข้าวังพอสมควรแล้วเลยมีพัฒนาการ ยิ่งตอนจบยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีก)

ที่ค่ายทหารของ ยอนโฮแก บนทุ่งนาเกลือคอรัล
จูมูชิ ไปกับทหารหลวงส่งพระราชโองการของทัมด๊ก แต่ไม่พบ ยอนโฮแก พวกแม่ทัพ ถามว่า : คนที่มากับเจ้าเป็นใคร ทหารโคคุเรียวตายหมดแล้วหรือ ทำไมเอาโจรป่ามาคุ้มกัน
จูมูชิ บอกทหารหลวงว่า : นี่คนส่งพระราชโองการทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป
ทหารหลวง : นี้เป็นพระราชโองการสำหรับท่านผู้บัญชาการ ยอนโฮแก แล้วยื่นม้วนพระราชโองการ
แม่ทัพ : ท่านผู้บัญชาการที่เจ้าพูดถึงไม่อยู่ที่นี่นานแล้ว ข้าต้องรับแทนเขา พระราชโองการอะไรกัน
ทหารหลวงบอกว่า ฝ่าบาท ทรงเตือนท่านผู้บัญชาการ ยอนโฮแก มาเป็นครั้งสุดท้ายทรงสั่งให้ให้ท่านผู้บัญชาการ นำทหารกลับให้หมด ถ้าหากไม่ทำ...
แม่ทัพขัดขึ้นว่า ข้าบอกแล้วว่าท่านผู้บัญชาการไม่อยู่ที่นี่
จูมูชิ บอกซ้ำว่า : ทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป
ทหารหลวงกล่าวต่อว่า .. มิฉะนั้นฝ่าบาทจะทรงถือว่ามีความผิดถึงขั้นกบฏ
แม่ทัพ : อะไรนะ แล้วคว้าคอเสื้อทหารหลวง ตะโกน เจ้า..นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน กบฏหรือ จากใคร..ทำไม
มันดักส่งสัญญาณเรียก จูมูชิ จูมูชิ เลี่ยงออกไปหาแล้วก็เหมือนจะคลั่งเมื่อ มันดัก รายงานว่า โฮแก เอาตัวท่านบาซอนและดัลบีไปด้วย จูมูชิตะโกนลั่น ไอ้สารเลว เอาพวกเขาไปทำอะไร เพื่ออะไร
มันดักบอกว่า เบาหน่อยสิ จูมูชิ : พาไป พวกนั้นไปไหน ไปไหน

ส่วนยอนโฮแก ก็พากองทหารพิเศษ บุกไปตามเผ่าต่าง ๆ ฆ่า เผา และจับ คนของเผ่ามาซักถามที่อยู่ของพี่ชายของบาซอน โดยโยนเครื่องมือทำไร่ทำนาแล้วถามหาช่างตีดาบผู้ซึ่งเป็นคนทำสิ่งของเหล่านั้น หัวหน้าหมู่บ้าน คีตาฮี ในคอรัล ที่ถูกทำลายยับเยิน ร่ำร้องว่า ทำไม ทำไม ท่านไม่ถามพวกเราก่อน ร้องไห้ไปด้วย ทำไม ทำไม ท่านต้องฆ่าคน และยังเรียก ยอนโฮแก ว่า ฆาตกร ยอนโฮแก บอกกับหัวหน้าหมู่บ้านว่า เราต้องทำเช่นนี้กับหมู่บ้านถัดไปที่เราจะไป ถ้าเรารู้ว่าเราต้องไปทางใด ก็จะไม่มีการฆ่าหมู่อีกแล้ว ในที่สุด หัวหน้าหมู่บ้านก็ตัดสินใจบอก ช่างตีดาบคนนั้นชื่อ บุลโดล

แทจังโร ไปหลบอยู่ในถ้ำ เส้นผมมีสีขาวประปราย หน้าตามีริ้วรอย บาดแผล แก่ชรา ลงเล็กน้อย ซารยางมารายงานว่า โซคีฮา จะยังอยู่ที่อารามหลวง ต่อไป โซคีฮาได้บอกกษัตริย์แล้วว่า นางคือ ฮวาเซิน
แทจังโร : กษัตริย์คงไม่ปล่อยให้นางหนีไปโดยไม่มีอันตราย เจ้าต้องไม่ให้ โซคีฮาบอกเรื่องท้องให้กษัตริย์รู้ เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อแยกเขาจากกัน เราจะปล่อยให้เขากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งไม่ได้ สัญลักษณ์ เต่าดำและมังกรน้ำเงินฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ สัญลักษณ์เสือขาวยังสงบอยู่ เราไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใด แม้ โฮแก จะได้มาแต่ โฮแก ก็ไม่สามารถทำให้สัญลักษณ์ฟื้นขึ้นมาได้ เราต้องรอจนกว่าจะหาผู้พิทักษ์พบ และผู้พิทักษ์พบกษัตริย์จูชิน
ซารยาง : ถึงแม้สัญลักษณ์ทั้งหมดจะฟื้นขึ้นมาและเราได้ครอบครองสัญลักษณ์ทั้งหมดแต่ยังต้องการเลือดของผู้สืบทอด ทัมด๊ก...มิใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายดาย
แทจังโร ยื่นกล่องสี่เหลี่ยม มีควันพวยพุ่งเมื่อเปิดฝากล่องออก สั่งว่า : เมื่อสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ฟื้นขึ้นมา เลือดของผู้สืบทอดจะเป็นกุญแจสำคัญ และ มันจะปลดเปลื้องอำนาจแห่งสวรรค์ ในวันที่ คีฮา เจ็บท้อง เจ้าต้องอยู่กับนาง ดูให้ดีว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้าเป็นหญิงนางจะเป็นนักพรตสูงสุดคนต่อไปของฮวาเซิน แต่ถ้าเป็นชาย เจ้าจะต้องเอาหัวใจออกมา ณ ที่นั่น เอาใส่ไว้ในกล่องนี้และเอากลับมาให้ข้าอย่างระมัดระวัง มิให้เลือดของผู้สืบทอดเน่าเสียหรือแห้งเหือดไป



ในพระราชวัง
ฮีกแก สงสัยที่ ทัมด๊ก ยังปล่อยให้ โซคีฮา เป็นเทวีพยากรณ์ของอารามหลวง มันเห็นชัดว่านางเป็นคนของฮวาเซิน นางเป็นฝ่ายเดียวกับศัตรู
ฮยอนโก : อารามหลวงเป็นอาณาจักรของสวรรค์ บุคคลธรรมดาไม่สามารถไปแตะต้อง แต่ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนั้นปลงพระชนม์กษัตริย์พระองค์ก่อน
ทัมดั๊กทรงถามว่าท่านมีหลักฐานหรือ
ฮยอนโกอ้ำอึ้ง
ฮีกแก : ฝ่าบาทไม่สามารถสำเร็จโทษนางได้ด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปจัดการให้ ไม่ว่า จะเป็นการสำเร็จโทษ หรือลอบสังหาร หม่อมฉันก็จะทำ
ขุนพลโก : โคคุเรียวตัดสินโดยกฎหมาย อารามหลวงตัดสินโดยสวรรค์



ฮีกแก : กฎหมาย กฎหมาย อะไร
ทัมด๊ก : ข้าบอกว่าข้าจะไม่ฆ่านาง
ฮีกแก : ทำไมพระเจ้าค่ะ
ทัมด๊ก : ถ้าข้าไม่บอกท่าน ท่านจะไม่เชื่อฟังหรือ
ฮยอนโก : หม่อมฉันเป็นคนคิดช้า แต่ก็มีสัญชาตญาณ ขอทูลถามข้อหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นควบคุมไฟได้ ตามตำนาน ผู้หญิงของโลกผู้ซึ่งสามารถควบคุมไฟได้ นางได้หัวใจของท่านฮวานอุง และเผาไหม้ในกองไฟ โลกก็กลายเป็นไฟนรก.
ทัมด๊ก : ท่านกำลังถามข้าว่า หัวใจข้ายังเป็นของนางอยู่หรือไม่
ฮยอนโก : หม่อมฉันผิดไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทรงนิ่งไปนาน ทรงจับมุมโต๊ะ พระหัตถ์เกร็งแน่น : ท่านกำลังถามข้า.....ตอนนี้...ว่า ข้ายังรักผู้หญิงที่ฆ่าพ่อของข้ากษัตริย์พระองค์ก่อน และเทวีพยากรณ์ผู้เปรียบเสมือนมารดาแห่งชนชาติ ตรัสได้เพียงแค่นี้ก็หยุดไม่ดำรัสต่อ ซูจินียืนแอบฟังหน้าห้องคอยประโยคต่อไปอยู่นานแล้วจึงเดินจากไป
ในห้องลับของปราสาทโกกแน เป็นที่เก็บสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ฟินิกซ์ และมังกรน้ำเงิน มีเวรยามรักษาการเข้มแข็ง
ที่ตลาด มีนักแสดงขึ้นมาพูดมาร้อง ชื่นชมความสามารถของกษัตริย์โคคุเรียว กษัตริย์จูชิน ประชาชน พากันร่วมแซ่ซ้อง ปรบมือ (คนละชุด กันกับที่ ชื่นชม ยอนโฮแก) ฮยอนยอง หาบขนมหวานเร่ขาย ยิ้มถูกใจแล้วก็ เห็น มีม้าเร็วไปที่บ้านตระกูลยอน



เสนาบดียอน ขอเข้าเฝ้าทัมด๊ก เนื่องจากได้ทราบข่าวพระบรมราชโองการที่เรียกให้ยอนโฮแก ยกทัพ 4 หมื่นกลับโคคุเรียว
เสนาบดียอน : พวกนั้นเป็นทหารผ่านศึก ที่ยังไม่ได้ลิ้มรสการต่อสู้ในสนามรบเลย มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะกลับมาเพียงเพราะได้รับพระบัญชา หากพวกเขาไม่เชื่อฟังจะทรงถือว่า พวกเขามีความผิดฐานก่อกบฏ หม่อมฉันคิดว่าจะได้ยินผิดไปพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ไม่หรอก ท่านได้ยินถูกต้องแล้ว ข้ากำลังหวังว่า โฮแก จะไม่ฟังคำสั่งของข้า และกลายเป็นกบฏ เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว ข้าจะไป คอรัล ข้าจะเอาคนไปเพียงเล็กน้อย ข้าวางแผนที่จะเป็นมิตรกับประชาชนที่นั่น
เสนาบดียอน : ฝ่าบาทต้องการฆ่า โฮแก หรือพะย่ะค่ะ เป็นมิตรกับประชาชนในพื้นที่ ที่โฮแก กำลังทำให้เกิดศพจำนวนมากมาย
ทัมด๊ก : ท่านไม่คิดในทางดีเลยหรือ ข้าวางแผนจะบอกพวกนั้นว่า ข้าไปที่นั่นเพื่อปรากบฏ ของโคคุเรียว ข้าจะถามเขาว่า พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกับข้าเพื่อโจมตีกบฏด้วยกันหรือไม่
เสนาบดียอนตกใจ ผุดลุกขึ้นยืน แต่ ทัมด๊ก ยังพระทัยเย็น รินเหล้า (น้ำจัณฑ์)เสวย : พวกคอรัล ที่โฮแกกำลังโจมตีอยู่จะต้องยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินเช่นนี้จากข้า ...ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ..แล้วก็เสวยน้ำจัณฑ์ ต่อ เสนาบดี มอง ทัมด๊ก นิ่ง ไม่ทูลตอบอะไร



ชอโร เอานิ้วมือปาด ปากขวดเหล้า แล้วยกนิ้วมาแตะที่ลิ้น ( ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเชียว ขอบอก ) ซูจินี ยกขวดของตัวเองดื่ม อั๊ก ๆ เลย : ท่านรู้ไหม มันมีบางอย่างที่แม้แต่กษัตริย์ ยังทรงทำไม่ได้ ข้าควรไปที่อาราม หลวงและทำมันเองหรือไม่ ถ้าข้าทำ คงจะทรงบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าข้าอีก แล้วก็เอนตัวลงพิงไหล่ชอโร บ่นพึมพำต่อ ท่านรู้ไหม ข้าเคยมีพ่อแม่ แต่ข้าจำไม่ได้ พ่อ... แม่... ยกตัวเองออกจาก ชอโร (ชอโร คงใจหายอยากให้ซูจีนี อยู่ท่านี้ นานๆ โอ๊ย สงสาร ชอโร ) ท่านรู้ไหม (อีกแล้ว...ใครจะไปรู้เล่า หนูน้อย ถามเยอะเหลือเกิน) ข้าหัดดื่มตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แต่ข้าไม่เคยเมา แล้วก็ลุกขึ้น เดินไปเดินมา ข้ารู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้สมอง ทำเลย ..แล้วค่อยคิดทีหลัง (เพราะเป็นนางเอก และเป็นคนดี เรื่องที่ซูจินี ทำ ก็เลยเป็นแต่เรื่องดี ๆ เพราะพื้นเพของจิตใต้สำนึก ซูจินี เป็นคนดี มีเมตตา เอื้ออาทรผู้อื่นก่อนตัวเองเสมอ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้)



แล้วซูจินี กับชอโร ก็ไปที่อารามหลวง ขอพบ เทวีพยากรณ์ โซคีฮา ซึ่ง โซคีฮา เอง ก็ กำลังอยากพบผู้บัญชาการป้อมปราการควานมี เจ้าของและเป็นผู้พิทักษ์ สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำเงิน โซคีฮา คิดบางสิ่งอยู่ในใจเกี่ยวกับลูกในท้อง

โซคีฮา : ท่านหัวหน้ายังไม่หายดีหรือ สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินทำร้ายเขา คนที่ไม่มีใครสามารถทำร้ายให้บาดเจ็บได้ เจ้าเคยเห็นสัญลักษณ์นี้มาก่อนไหม
ซารยางตอบว่าเคยเห็นที่ป้อมปราการจินในแพคเจในคืนแห่งดวงดาวจูชิน
โซคีฮา ถามต่อว่า ใครๆก็ใช้สัญลักษณ์นี้ได้หรือ
ซารยางตอบว่า แค่คนที่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เลือกเท่านั้นที่ใช้มันได้ ถ้าสัญลักษณ์ถูกแทงเข้าหัวใจของคนที่สัญลักษณ์ไม่ได้เลือกแล้ว มันจะมีการตอบโต้อย่างรุนแรง เหตุนั้นถึงได้มีการระเบิดใหญ่ เราคิดว่าเด็กคนนั้นถูกฆ่าไปแล้วและสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อันตรธานไป
โซคีฮา : แต่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้กลับปรากฏขึ้นที่ป้อมปราการควานมี แต่..
ซารยาง : บางทีเจ้าผู้บัญชาการปีศาจของป้อมควานมี อาจจะเป็นเด็กที่ป้อมจินเมื่อหลายปีก่อนก็ได้
โซคีฮา : ผู้ชายที่ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านตระกูลยอนเป็นผู้บัญชาการของป้อมควานมี ?
ซารยางตอบว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดกัน โซคีฮา บอกว่า เธออยากพบผู้ชายคนนั้น
ซารยางถามว่า :ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือท่าน คีฮา
โซคีฮา : ซารยาง...ฮวาเซิน ตั้งใจจะทำอะไรกับลูกข้า เจ้าจะฆ่าเขาไหม
ซารยางตอบว่า : ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด
โซคีฮา ทำเสียงดัง : เจ้ารู้ ข้าต้องปกป้องลูกข้า ตราบใดที่ท่านหัวหน้ายังอยู่
พูดกันได้แค่นี้ก็มีนักพรตหญิงเข้ามารายงานว่า : มีคนต้องการพบท่าน นางชื่อ ซูจินี นางปฏิเสธที่จะปลดอาวุธ



ซูจินี ไม่ยอมปลดอาวุธ แถมยังบอกเทวีพยากรณ์โซคีฮา ว่า : เขาดูท่าทางเซื่องๆ แต่เขาเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการควานมี ถ้าไม่มีทวนนั้น เขาจะนอนไม่หลับ ท่านจะปล่อยเขาไหม โซคีฮา ให้นักพรตหญิงคนอื่นออกไปและปิดประตูอาราม
โซคีฮา : ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีส่วนอย่างมากในการทำให้ฝ่าบาทได้รับชัยชนะในสงคราม เจ้าชื่อ ซูจินี หรือ
ซูจินี บอกว่า : ข้ามาที่นี่เพื่อถามเรื่องบางอย่างจากท่าน สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ฟินิกซ์ที่เคยอยู่ในครอบครองของท่าน มันถูกขโมยมาจากบ้านตระกูลแฮในแพคเจ เมื่อคืนที่ดวงดาวจูชินปรากฎ แสงฟินิกซ์ส่องสว่างที่บ้านนี้ ตระกูลแฮถูกฆ่าทั้งครอบครัวและบ้านถูกเผา เป็นฝีมือของพวก ฮวาเซิน และข้าเองอาจเป็นบุตรสาวของบ้านตระกูลแฮ
โซคีฮา ถามซารยางเรื่องสัญลักษณ์ฟินิกซ์ว่าเป็นของตระกูลแฮหรือและซารยางตอบว่าใช่
ซูจินี : คนที่ฆ่าพ่อแม่ของข้าคือองค์กรของท่าน และท่านยังฆ่ากษัตริย์พระองค์ก่อน ฆ่าเทวีพยากรณ์คนก่อน บัดนี้ ท่านกลายเป็นเทวีพยากรณ์ ยืนอยู่ ณ ที่นี้



โซคีฮา : เทวีพยากรณ์ ไม่อาจถูกตัดสินโดยมนุษย์
ซูจินี : ข้ารู้ แม้แต่กษัตริย์เองยังทรงตัดสินท่านไม่ได้ เราควรทำอย่างไร ข้าไม่สนใจเรื่องความผิดมหันต์ของท่าน แต่สิ่งที่ข้าต้องการคือการชดใช้ความตายของพ่อแม่ข้า
(ในระหว่างที่โซคีฮา ยืนฟังซูจินีเล่าเหตุการณ์ ที่บ้านตระกูลแฮ โซคีฮา จะทวนคำ แพคเจ ตระกูล แฮ พ่อ.. แม่..บ้าน เหมือนเป็นคำที่สะกิดใจเธอ)



เมื่อ ซูจินี กล่าวจบ ก็รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เธอก้มหยิบดาบที่เสียบไว้ข้อรองเท้า กระโจนบุกเข้าหาโซคีฮา ซารยางกระโดดขวางทันที และต่อสู้กัน ซูจินี กระเด็นลอยตกพื้น ซารยางเงื้อดาบกะลงมือเต็มที่ ชอโร กระโดดเอาทวนสกัด ชอโร และซารยาง ก็สู้กันนัวเนีย ซูจินี ลุกขึ้นได้ก็โผนทะยานเข้าฟาดฟันโซคีฮา อย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วซูจินีก็เสียที ถูกอาวุธจ่อคอ โซคีฮา เงื้อสัญลักษณ์ของเทวีพยากรณ์ในมือขวา เมื่อสบตากัน แล้วพลันโซคีฮา ก็เห็นภาพวัยเด็กของตัวเองใส่ชุดสวยงามในมือถือช่อดอกไม้ วิ่งเอามาให้น้องที่นอนในเปล สัญลักษณ์เทวีในมือขวาที่เงื้ออยู่ตกลงพื้น ซูจินี สะบัดหลุด เข้ามาสู้แบบไม่คิดชีวิตอีก แล้วก็ถูก อาวุธที่ต้นแขนขวา ล้มลงนอนกองพื้นเลือดไหลริน ในท่านอนเดียวกับที่ โซคีฮา เห็นท่านแม่ตัวเองนอนตาย ซูจินี ลุกขึ้นมาใหม่ โผเข้าหาโซคีฮาอีก โซคีฮา เลิกใช้อาวุธ ไม่ได้คิดทำร้าย ซูจินี อีกแล้ว เพียงหลบหลีกไปมา ใช้พลังไฟในตัวแค่ผลัก ซูจินี ออกไปพ้นตัวเธอเท่านั้น เมื่อใช้พลังไฟผลัก ซูจินีก็กระเด็นลงไปกองพื้นแต่ไม่ถึงบาดเจ็บ

(ความเห็นส่วนตัว หากเป็นสมัยปัจจุบันต้องบอกว่า ทัมด๊ก ทรงใช้วิกฤตเป็น โอกาส ทันสมัยเลิศหรูเลย นอกจากนี้ ยังมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า แบบท่านนายก ชาติชาย ชุณหวัณ ของไทยเราเลย (ถ้าเป็นเรื่องจริง เราก็ตามอย่างโบราณของเขามา) แถมได้มิตรไมตรีอีกต่างหาก ความเป็นไปได้ ของยุคนั้น ก็น่าเป็นไปได้ เพราะในละครที่อิงประวัติศาสตร์ของเกาหลีเกือบทุกเรื่องที่มาบ้านเรา ไม่ว่า จะยุค กษัตริย์ จูมง คิงมูของแพคเจ (ซอดองโย) บนดินแดนโบราณของเกาหลี มีชนเผ่าอิสระ เผ่าใหญ่ ๆ เผ่า เล็ก มากมายนับไม่ถ้วน การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าของ ทัมด๊ก น่าจะทรงใช้กับเผ่าเหล่านี้ ส่วนที่เป็นอาณาจักรใหญ่ ทัมด๊ก ก็ทรงใช้ทั้ง 2 วิธี คือ วิธี การเจริญ สัมพันธ์ไมตรี รวมทั้งการใช้กำลังกองทหาร แล้วแต่กรณี แล้วแต่สถานการณ์ ของคู่ต่อสู้ ละครเรื่องนี้คงต้องการสื่อว่า ทัมด๊ก ไม่ทรงโปรดการทำสงคราม เพราะ ทรงเป็นเทพฮวานอุงกลับชาติมาเกิด ฮวานอุง ทรงปรารถนานำความร่มเย็นเป็นสุข อยู่กันอย่างสันติมาสู่ชาวโลก และทรงให้อภัยกับผู้หลงผิด เสมอ ไม่ว่า คาจิน หรือโซคีฮา รวมทั้ง ยอนโฮแก ไม่ได้มีพระประสงค์ จะฆ่า ยอนโฮแก อย่างที่เสนาบดียอน เข้าใจพระองค์ผิดเลยแม้แต่น้อย ทรงบอกสิ่งที่ดำริไว้ในพระทัยกับเสนาบดียอน เพราะต้องการให้เสนาบดียอน หาทางออกที่ดีสำหรับยอนโฮแก ทรงยอมรับกับองค์เองว่า เสนาบดียอน เป็นคนดี เฉลียวฉลาด สุขุมรอบคอบ แม้จะหลงผิด แต่ทรงเดาน้ำใจและความคิด ของเสนาบดียอน ผิดไป เพราะ เสนาบดียอน ไม่เข้าใจในน้ำพระทัยของทัมด๊ก ก็เลยน่าเศร้า ทรงลืมไปว่า การจะรู้ใจกันได้นั้น ต้องมีสายสัมพันธ์ของ ความรัก ความหวังดี ความจงรักภักดี เป็นสื่อกลาง อย่างเช่น ทัมด๊ก กับขุนพลโก ทัมด๊ก กับฮยอนโก เป็นต้น ชาตินี้ ทรงเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่ท่านฮวานอุง และละคร เรื่องนี้ดีมากสำหรับการเป็นตัวอย่างของการไม่พูดปด เท่าที่มีมีเพียง 2 ครั้ง คือ ทัมด๊ก ใช้วิธี ให้ทหารและประชาชนแพคเจ พูดถึงจำนวนทหารโคคุเรียว ว่ามีจำนวนเกินจริงเพื่อให้ไม่ต้องเกิดการสู้รบทหารล้มตาย และบาซอน ปฎิเสธ บุลโดล ว่าไม่ใช่พี่ชายของตนเองเพื่อไม่ให้พี่ชายตนเองเกิดอันตราย ทั้ง 2 กรณี เป็น การมุสา ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแต่เป็นผลดีเสียมากว่า นอกนั้นแล้ว ตัวละครทุกตัวแม้แต่ตัวร้าย แทจังโร และซารยางก็ไม่พูดปด มีศักดิ์ศรีของผู้กล้า อย่างเลวร้ายที่สุด คือ การใช้สถานการณ์ให้คนอื่นคิดไปเอง ไม่ได้เอ่ยปากด้วยตัวเอง )

จากละครที่กล่าวว่า ชิลลามักจะถูกรุกรานจากชาติอื่น และจะมีการจัดตั้งกองบัญชาการใหญ่ที่ คายา และคายานี้ได้รับการสนับสนุนจากแพคเจ ( คายานี้ นับเป็นอาณาจักรที่สำคัญ อาณาจักรหนึ่งมีกษัตริย์ปกครอง ไม่ใช่ระดับแคว้น เป็นอาณาจักรในช่วงปี ค.ศ.42-532 มีกษัตริย์ 10 พระองค์
ในช่วงเวลาของทัมด๊ก (391-413) ตรงกับ คายาในสมัย กษัตริย์องค์ที่ 5-6 ( 346-407 และ 407-421) ส่วนชิลลา ทัมด๊ก จะคาบเกี่ยว กับกษัตริย์ชิลลา องค์ที่ 17-18 (356-402 และ402-417 ) ชิลลามีกษัตริย์ 54 พระองค์ (King 52 พระองค์ และ Queen ที่ปกครองประเทศ 2 พระองค์ องค์ที่ 27 และ องค์ที่50
ส่วนแพคเจ จะเป็นช่วงกษัตริย์ 3 พระองค์ คือ องค์ที่16 Jinsa (385-392) องค์ที่ 17 Asin (392-405) องค์ที่ 18 Jeonji (405-420)
ถ้าเทียบกับราชวงศ์ของจีน น่าจะเป็น ปลายราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีอายุของราชวงศ์ ถึงประมาณ ปี พ.ศ .969 หากลบด้วย 543 เป็น ค.ศ. คือ 426 ซ้อนกับราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 317-420 )

Copyright @ Amornbyj & SUE