Wednesday, May 7, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 13)


...ตอนที่13...

ทัมด๊ก ฮีกแก ฮยอนโก ขุนพลโก องครักษ์ ยืนรอบโต๊ะ อัศวิน แคว้นจุนโนมีภาพเรือมาถวายให้ ทัมด๊ก ทอดพระเนตร
ฮีกแก ทูลว่า มันเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดของจุนโนจุได้ 50คน เรามีประมาณ 30 ลำ แต่เรือของแพคเจใหญ่กว่ามากจุคนเป็นร้อย ทัมด๊กทรงเปิดภาพพลิกไปอีก แล้วก็สะดุด กับภาพหนึ่งทรงโน้มองค์ลงใกล้ๆ ฮีกแกบ่น ทำไมมาอยู่ตรงนี้อย่าทรงสนพระทัยเลย มันเป็นเรือสำหรับล่องแม่น้ำ ไม่เหมาะสำหรับการรบ มันเป็นแค่เรือสินค้า ขนของได้มากแต่เคลื่อนตัวช้า อันที่จริงมันไม่ได้เคลื่อนที่จริง ๆ มันแค่ลอยไปตามกระแสน้ำ

ทัมด๊ก เงยพระพักตร์ขึ้น ประทับนั่งลง ท่าทางจริงจัง ดำรัสว่า : นั่นละคือสิ่งที่ข้าต้องการ ท่านมีเรือแบบนี้สักเท่าใด
ฮีกแก: มันไม่ใช่เรือจริง ๆ เราจะไปสู้กับแพคเจด้วยเรือแบบนี้ได้อย่างไร
ทัมด๊ก : คนและม้าลงไปในเรือลำนี้ ได้เท่าไร เราต้องเคลื่อนย้ายคน 3 พันคน และม้าอีก 4 พันตัว เป็นไปได้ไหม
ฮีกแก ทำท่าครุ่นคิด ฮยอนโก กราบทูลว่า : ฝ่าบาท ต้องทรงเคลื่อนย้ายคน 4 พันคนและม้า 5พัน3 ร้อยตัวพะย่ะค่ะ

ทัมด๊ก ที่ตั้งพระทัยฟังคำตอบของฮีกแก หันมาทางฮยอนโก
ฮยอนโกกราบทูลต่อว่า : หัวหน้าจูมูชิ ได้ระดมพล และได้จำนวนมากกว่าที่คาดคิด พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก แย้มสรวลพอพระทัยกับข่าวนี้ เลิกใส่พระทัยว่า ฮีกแก จะทูลตอบว่าอย่างไร (คิดนานเหลือเกิน เอาเป็นว่า ฮีกแก หาเรือมาให้พอก็แล้วกัน)
จูมูชิ ไประดมพลหลายเผ่าที่มารวมกันอยู่ ที่แถบชายทะเลซ่อนตัวตาม ดงป่า เทือกเขา หลังจากผู้นำเผ่า รายงานตัวกับท่านหัวหน้า ครบแล้ว จูมูชิ ก็บอกว่าข้าหัวหน้าเผ่าแห่งซีอู ขอกล่าวต่อพี่น้องของเผ่าซีอู ขอบใจที่พวกเจ้าไม่สูญหาย (ล้มหายตายจากไปเสียก่อน) ขณะนี้ เราเรียกพวกเจ้ามา ที่พวกเจ้ามาตามที่ข้าเรียกนี้อาจจะหมายถึงชีวิตของเรา เจ้าจะตามข้าหรือไม่ มีคนยกเขาสัตว์ขึ้นเป่า แล้วทุกคนก็โห่ร้องเป็นคำตอบให้ จูมูชิ



ที่โรงตีเหล็ก ทัมด๊ก เสด็จไปหาบาซอนซึ่งหอบชุดเสื้อเกราะมาวางหน้าพระพักตร์ แล้วทูลว่า : ทรงทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ซี ล้วนทำมาจากโลหะที่ดีที่สุด และจากช่างฝีมือดีที่สุด มีแต่ลูกธนูเหล่านี้ ที่จะแทงทะลุเข้าไปในเสื้อเกราะได้ แล้วบาซอนก็ถวายลูกธนูให้ทอดพระเนตรอีกด้วย ทัมด๊ก ทรงหยิบขึ้นมาทอดพระเนตร ด้วยความพอพระทัย บาซอน กราบทูลต่อ และก็มีแต่โล่อันนี้เท่านั้นที่จะสามารถป้องกันลูกธนูพวกนี้ แล้วก็ถวายโล่ให้ทอดพระเนตรอีก
ทัมด๊ก ตรัสถามบาซอนว่า : เจ้าทำไปได้สักเท่าไร เราจะออกเดินทางในไม่ช้านี้แล้ว
บาซอน ทวนรับสั่ง : ทรงตรัสว่า ในไม่ช้า ในไม่ช้าอย่างไร เรื่องเวลาของ ฝ่าบาทและของหม่อมฉันอาจไม่เหมือนกัน
ทรงหันไปทางฮยอนโก ฮยอนโก ยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วตอบว่า วันพรุ่งนี้ และหลังจากวันนั้น และวันต่อไป(สำบัดสำนวนจริง ๆ คุณลุงเต่าดำ)
ทัมด๊ก ดำรัสตอบซ้ำให้บาซอนเข้าใจได้ถูกต้อง : เขาพูดว่า อีก 3 วัน
บาซอน ที่แต่แรกมองไปที่ฮยอนโก เพราะกำลังคิดตาม ว่า แล้วมันเมื่อไรกันเล่า หันมาทางทัมด๊ก เกิดอาการงอนป่องทัมด๊กขึ้นมา : หม่อมฉันรู้ว่าจะต้องขออะไรที่น่าขำเช่นนี้ หม่อมฉันจะบ้าตาย แล้วก็ฉวยทุกอย่างที่นำมาให้ทอดพระเนตรกลับไป (ขำเสียจนมาฉวยลูกธนูไปจากพระหัตถ์ แถมสั่งว่า ส่งของพวกนั้นมาให้หม่อมฉันด้วยท่าทางบาซอนงอนมากเลย คงนึกในใจตัวเองว่า... รู้ว่ารัก...ใช่ไหมฝ่าบาท) ทัมด๊ก ทรงยกหัตถ์ท้าวบั้นพระองค์ และทรงพระสรวล
แล้วจูมูชิ ก็พาพรรคพวก เผ่าซีอูมาเข้าเฝ้า จูมูชิ ชักจะเริ่ม รู้พิธีรีตรองขึ้นมาบ้างแล้ว มีการแนะนำเพื่อนพ้องของตนว่า : นี่ คือกษัตริย์ แห่งโคคุเรียว พวกเราชาว ซีอูไม่มีมารยาทกันหรืออย่างไร
คนของเผ่า คนหนึ่ง ถามทัมด๊กว่า : หัวหน้าบอกพวกเราว่า กษัตริย์แห่งโดคุเรียวสัญญาจะคืนดินแดนให้เรา พลางเดินเข้ามาใกล้ ทัมด๊ก และจูมูชิ พูดต่อว่า : พวกเราเผ่าซีอูจะสู้กับทหารแพคเจเป็น หมื่น จนตาย หากความตั้งใจของท่านคือทำให้พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของโคคุเรียว บอกเรามาเดี๋ยวนี้ ( ถามด้วยท่าทางเอาเรื่องและคาดคั้นคำตอบ)
จูมูชิ ยกมือทำท่าปราม ทำเสียงลอดไรฟัน : เจ้า
ทัมด๊กพยักพักตร์ไปที่ด้านข้าง จูมิชิเหลียวหันตาม ขยับเดินหันหลังให้คนเผ่าซีอู
ทัมด๊กกระซิบว่า : เจ้าไม่ใช่หัวหน้าจริง ๆ ใช่ไหม
จูมูชิ เหลือบตามองทัมด๊ก เป็นคำถาม ซูจินี หัวไว ยกมือปิดปากหัวเราะคิก
ทัมด๊ก ตรัสต่อ : พวกนั้นไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าบอกพวกเขา
คนเผ่าซีอูที่ถาม มองทัมด๊ก และจูมูชิ อย่างสนใจ ว่า 2 คนนั้นกระซิบอะไรกัน
จูมิชิ สวนกลับ : พระองค์ทรงเป็นเหมือนกัน
ทัมด๊ก ทำสุรเสียง หือ..
จูมูชิ : พวกตระกูลขุนนาง ก็ไม่เชื่อฝ่าบาท
ทัมด๊ก และจูมูชิ สบตากัน ต่างยิ้มและหัวเราะให้แก่กัน และพร้อมกันด้วย
จูมูชิ : ทรงเริ่มก่อน
ทัมด๊ก ทรงทอดพระเนตร คนที่ตั้งคำถามและคนเผ่าซีอู คนอื่นๆ ตรัสถามว่า : พวกนั้นแต่งตัวอย่างนั้นเสมอรึ
จูมูชิ : ทรงโปรดไหม หม่อมฉันจะได้บอกพวกนั้นทำให้ฝ่าบาทสักตัว
ทัมด๊ก ไม่ดำรัสตอบเรื่องเสื้อผ้า แต่ยังข้องพระทัยเรื่องเดิม : ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะฟังเจ้าหรือไม่



ซูจินีเข้ามาแทรกกลาง มีเหล้ากับเนื้อย่าง...ทัมด๊กสั่งแม่ทัพโกว่า ทุกคนดูท่าจะหิว ทรงพยักพักตร์ให้คนเผ่าซีอูเจ้าของคำถาม ทรงพระดำเนินออกไป
จูมูชิ ชี้หน้า คนเผ่า ซีอู คนนี้ว่า ...เจ้านี่....( เจ้าทำให้ข้าขายหน้าทำนองนั้น)


ที่หมู่บ้านโคมิล
ฮยอนโก อธิบายแผนที่เส้นทางไปสู่ แพคเจ ทันสมัยมาก แผนที่ติดผนังห้องไม่ได้กางบนโต๊ะแล้ว เหล่าอัศวินจะพูด ต้องไปยืนที่หน้าแผนที่ ฮยอนโก อธิบายเล่าถึงความสำคัญและยิ่งใหญ่ของป้อมปราการ ควานมี การจะไปป้อมปราการควานมี ไปได้ 2 ทาง คือ
1.ทางบก จะต้องผ่านป้อมปราการอื่น 30 ป้อมปราการ ต้องใช้ทหารสำหรับโจมตีเพื่อเอาชนะ 30 ป้อมปราการนี้ 5 หมื่นคน เวลาที่ใช้ 3 เดือน
2.ทางน้ำ ซึ่งแพคเจมีกองทัพเรื่อที่ดีที่สุดในโลก ( เกินจริงแล้ว ลุงเต่าดำ อ้อ แต่นั่นมัน พันกว่าปีมาแล้ว) เราจึงไม่ไปทางทะเล เราจะไปตามลำแม่น้ำและหยุดที่ป้อมปราการซัคคยูน จากที่นี่ไปป้อมปราการควานมี จะผ่านป้อมปราการอื่น 10 ป้อมปราการ
ทัมด๊ก : เราต้องเอาชนะป้อมปราการเหล่านี้ให้เร็วที่สุด พวกเราคงเตรียมตัวกันพร้อมแล้วใช่ไหม
ขุนพลโก : กองทหารราชองครักษ์ พร้อมแล้วพะย่ะค่ะ
จูมูชิ : พวกเราซีอูพร้อมตั้งแต่เป็นทารก
ป้อมปราการควานมี นี้ ฮยอนโก ได้เล่าไว้ก่อนว่า เป็นป้อมที่มีความสำคัญทางทะเลของแพคเจ
เป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือที่ใหญ่มาก ชาวยัน และชีแห่งจีน รวมถึงกษัตริย์โคคุเรียวองค์ก่อน ๆ ล้วนต้องการเอาชนะป้อมปราการนี้ ที่ผ่านมาป้อมปราการควานมี เป็นฝันอันไม่เป็นจริง มีภูมิประเทศ ที่ยากแก่การเข้าไปโจมตี มีการตั้งรับที่เหนียวแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนี้ผู้บัญชาการป้อม ที่รับตำแน่งสืบต่อมาจากบิดาเมื่ออายุเพียง 10 ขวบ ว่ากันว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นปีศาจเมื่อเข้าสู่สนามรบ เป็นเทพแห่งความตาย เมื่อผู้บัญชาการคนนี้ออกสู่สนามรบเอง พวกทหารของเขา ต้องถอยไปให้ไกล และยืนมองผู้บัญชาการของเขา หากเข้าไปใกล้พวกเขาจะต้องตายไปด้วยกับศัตรู
ทัมด๊ก ตัดสินพระทัยทันที่ ที่ต้องเอาชนะป้อมปราการควานมี และการเอาชนะป้อมปราการนี้ ยอนโฮแกต้องมาช่วยด้วย ก่อนไป ทัมด๊กเสด็จไปทูลลาต่อพระศพของพระบิดาที่อารามหลวง มันจะไม่มีการส่งพวกเราไปอย่างเอิกเกริก หม่อมฉันวางแผนจะออกไปโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ การจะหลอกศัตรูได้ เราต้องหลอกพวกเดียวกันก่อน


ทัมด๊ก บอกเสนาบดียอนว่าจะไปล่าสัตว์ เสนาบดียอนคัดค้านว่า ไม่เหมาะสมในเวลานี้ แต่ ทัมด๊ก ตรัสว่า จะไปจับ กวางสีขาว มาบูชายันต์ เพื่อให้กองทัพได้รับชัยชนะ และฝากเสนาบดีดูแลบ้านเมือง

ทัมด๊ก ขุนพลโก พาทหารราชองครักษ์ ซูจินี เผ่าซีอู ไปลงเรือที่แคว้นจุนโน ที่ริมแม่น่ำโยซูในระหว่างจัดเตรียมสัมภาระ ทรงพบดัลบี ที่กำลังช่วยทหารแบกกระสอบสัมภาระ

ทัมด๊ก ทรงทักว่า : เจ้าเป็นหัวหน้าเสบียงคนใหม่ใช่ไหม ข้าต้องพึ่งเจ้า ชัยชนะของพวกเรา ขึ้นกับบ่าของเจ้า (ที่ใช้แบกของ) ดูแลพวกเราด้วย แล้วทรงชักม้าผ่านไป ซูจินี ยกมือ ทำท่า เยี่ยมไปเลยดัลบี
ดัลบี เป็นปลื้ม ไปอีกคน แล้วก็เซ หกล้มก้นกระแทก จูมูชิ ที่ตามเสด็จ ทัมด๊ก เห็นแล้ว ตกใจเล็กน้อย( คงอยากเข้าไปช่วยพยุง และคงรำพึงในใจในขณะนั้นว่า โธ่เอ๋ย ดัลบี ของข้า..). แต่แล้ว ก็ตัดใจ กระตุ้นม้าตามเสด็จ ต่อ ที่ริมแม่น้ำ ฮยอนโก และชาวโคมิล หลายคน มารออยู่ก่อนหน้าแล้ว และบาซอน ก็มาเพื่อจัดการเรื่องเสื้อเกราะให้ทหาร

องครักษ์ (ชาวโคมิล) นำพระบรมราชโองการมาแจ้งกับเสนาบดียอน คือมีม้วนราชโองการ ก็จริง แต่ข้อความผ่านทางวาจาขององครักษ์ ว่าเสด็จไปเป็นกองทัพเสริม ให้กับกองทัพของ ยอนโฮแกเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแรก จะมีพระดำรัสมาถึงอีก ขอให้ เสนาบดียอน ดูแลสภาและกิจการบ้านเมืองแทนพระองค์ เนื่องจากไม่อยากให้ข้าศึกล่วงรู้ จึงทรงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด เสนาบดียอน ที่เชื่อว่า ทัมด๊ก ออกไปล่าสัตว์ แต่แรก ก็งง แล้วกลายเป็น ฉุนเฉียว
สงครามเป็นเรื่องของประเทศชาติ ฝ่าบาทเสด็จโดยไม่ปรึกษาสภาได้อย่างไร กำลังทหารที่นำไปด้วยเป็นอย่างไร ทุบโต๊ะปัง แต่ราชองครักษ์ ก็ย้ำคำว่า เป็นความลับ
องครักษ์ : ท่านได้ยินทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ และต้องพูดซ้ำ 2 ครั้ง แล้วก็ยกพระบรมราชโองการขึ้น เสนาบดียอน ต้องก้าวมารับพระราชโองการนี้อย่างเป็นพิธีการ ..ข้า ยอนการยอ ขอรับสนองพระบรมราชโองการ เสนาบดียอนไปหา แทจังโร ทันที ด้วยความโกรธ ที่ไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้จาก แทจังโร : ข้าเป็นที่ปรึกษาของสภา แต่ไม่รู้เรื่องแผนการของกษัตริย์
ซารยางกางเอกสารแล้วรายงานว่า : คนที่ไปกับฝ่าบาท คือทหารราชองครักษ์ของขุนพลโก และคนของเผ่าซีอู ซีอู เป็นประชาชนมัลกัลซึ่งถูกแบ่งดินแดนโดยแพคเจหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็น เผ่าที่มีความกล้าหาญ และพวกเขาถูกมัลกัลเผ่าอื่นทรยศ
แทจังโร บอกว่า : เส้นทางของทัมด๊กแปลก เมื่อบอกว่าจะไปเป็นกองทัพเสริม แต่เส้นทางจริงกลับ มุ่งหน้าไปจุนโน ไม่ใช่แพคเจ คงมิได้ตั้งใจไปต่อสู้กับแพคเจ น่าจะเป็นการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจุนโนเสียมากกว่า มีคนไม่กี่พันคนตามเสด็จ ครึ่งหนึ่งเป็นโจร เสียมากกว่าทหาร ทรงไม่มีกำลังทหารที่จะไปรบกับใครได้ ข้าจึงไม่ได้รายงานท่าน มันไม่มีความหมายแต่อย่างใด ถ้าท่านยังกังวล ก็ให้ส่งคน ไปตามแคว้นต่างๆ อย่าปล่อยให้พวกเขาหลอกลวงใช้เล่ห์เหลี่ยมกับท่านได้ แทจังโรทำท่าทางว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนัก จิบน้ำชา แบบไม่สนใจกับความกังวลของเสนาบดียอน
เสนาบดียอน : กษัตริย์ .... ทัมด๊ก ..ข้าเฝ้าดูเขามานาน เราไม่ควรประเมินเขาต่ำเกินไป ถ้าเขากำลังซ่อนบางอย่างอยู่ เราจะไม่รู้เลย.... ( ต้องอย่างนี้ถูกแล้ว ถึง ควรค่ากับการเป็นเสนาบดี)
ที่แพคเจ ป้อมปราการ ซอคคยอนซอง ส่งกองกำลังเสริม ออกนอกประตูเมือง บนท้องฟ้าก็มีนกสื่อสาร กางปีกร่อน พร้อมกับส่งเสียงร้องก้อง
มีศิษย์ โคมิล ซ่อนตัว ตามไหล่เขา คอยสังเกตการณ์สถานการณ์ต่างๆ



กองทัพ ของยอนโฮแก ขี่ม้าฝุ่นตลบ
ในเรือสินค้า...
ขุนพลโกรายงานว่า ทหาร 4 หมื่น ของยอนโฮแก เดินทางล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แพคเจกำลังส่งทหารเสริม เคลื่อนไปยังชายแดน ผู้อาวุโสโคมิล ( ฮยอนจัง) ลุกขึ้นไปที่แผนที่ ป้อมปราการรอบๆ แม่น้ำ โยซู ก็ส่งกำลังไปเสริมเช่นกัน ไม่มีใครคิดว่า จะมีใครมาโจมตีด้านนี้
ฮีกแก ลุกไปที่แผนที่ด้วย : ตอนนี้ เรากำลังผ่านดินแดนนี้พะย่ะค่ะ เราจะถึงอาณาเขตแพคเจก่อนอาทิตย์ตกดินวันพรุ่งนี้ ก่อนเข้าไป เราจะตั้งค่ายหยุดพักกันที่ใด
ทัมด๊ก : เราต้องเดินทางต่อไป
ฮีกแก : แต่นั่นเป็นอาณาเขต แพคเจ นะพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านบอกว่าเรือของเราเป็นเรือสินค้า ที่ใช้ในการรบไม่ได้ ทรงลุกขึ้นเสด็จไปยังแผนที่… : จะมีใครส่งสัญญาณ เตือนภัย สำหรับเรือสินค้ากันเล่า? ทรงชี้ลงที่แผนที่ เราต้องเดินทางต่อไป แล้วพรุ่งนี้บ่าย นิ้วพระหัตถ์ลากตามแผนที่ลงมา เราจะจอดที่คุ้งน้ำตรงนี้
ฮีกแก : ฝ่าบาท นั่นเป็นด้านหน้าของป้อมปราการแพคเจ ซอคคยอนซอง นะพะย่ะค่ะ ป้อมปราการนี้ เป็นป้อมปราการด้านตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดของควานมี
ทัมด๊ก : เพราะเหตุนั้น เราจึงต้องเอาชนะมันก่อน เราจะไม่โจมตี ป้อมปราการเล็ก เพื่อให้ป้อมปราการใหญ่ มีเวลาได้เตรียมตัวในการตั้งรับป้องกันตัวเอง ป้อมปราการ ซอคคยอนซอง จะถูกโจมตีโดย ทหารราชองครักษ์ และ คนของเผ่าซีอู
ฮีกแก : แล้วฝ่าบาททรงต้องการให้คนของจุนโน นั่งอยู่เฉยๆ ในเรือหรือพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านแกล้งทำเป็นโจมตี ป้อมปราการควานมี
ฮีกแก งง กับกษัตริย์พระองค์นี้อีกแล้ว : แกล้งทำ ไม่ใช่ต่อสู้ แต่แกล้งทำเป็นต่อสู้
ทัมด๊ก : เราต้องมั่นใจว่า ควานมีจะไม่ส่งกำลังเสริมจนกว่าเราจะชนะ
ฮีกแก สีหน้าดูมีความหวังขึ้นรำไร : หลังจากนั้นเราจะต่อสู้จริงใช่ไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรฮีกแก อย่าง สั่งแกมบังคับ : อย่าทำ เราต้องไม่เปิดเผย ว่าเราเล็กแค่ไหน เราแค่ต้องการให้กองกำลังเสริมของแพคเจรีบเดินทางกลับ
จูมูชิ : ทรงต้องการให้พวกเราทหาร 4 พันคน ต่อสู้กับป้อมปราการของแพคเจ ป้อมปราการควานมี และยังพวกกองกำลังเสริมอีก
ทัมด๊ก : ไม่ ..ท่านต้องไม่ต่อสู้ เมื่อกองกำลังเสริมกลับมา พวกเราจะวิ่งหนี ประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ทหารและม้าชั้นยอด รวมทั้งเกราะเหล็กที่เบาที่สุด ทำให้การวิ่งหนีจะไม่มีปัญหา
ฮีกแก : ทรงต้องการให้เราเป็นเหยื่อล่อ ดึงความสนใจจากกองกำลังเสริม แล้ววิ่งหนีหางจุกก้น และให้ชัยชนะเป็นของโฮแก เช่นนั้นหรือ เจ้าคนชั่วที่ปลงพระชนม์กษัตริย์องค์ก่อน และฆ่าลูกชายของหม่อมฉัน

(ไฟโทสะลุกพรึบที่หัวของฮีกแก แต่ผมของฮีกแกไม่ทันไหม้หรอกก็ถักเป็นเปียไว้เสียแน่นอย่างนั้น ถ้าเป็นทรงผมแบบจูมูชิ รับรองเกรียน ..กะดำกะด่าง.....ไม่เหลือแล้ว วันก่อนเป็นแค่ควันพุ่งเอง ฮีกแก โมโหโกรธา แผดเสียงลั่นลำเรือ)

ทัมด๊ก : ท่านต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านจะต่อสู้กับแพคเจ หรือ โฮแก
ฮีกแก ทำท่าเหนื่อยใจเสียเหลือเกินแล้ว (เหนื่อย เพราะแผดเสียงออกไปสุดเสียงด้วย) กราบทูลว่า
: ฝ่าบาท มนุษย์เราจะเห็นโลกได้ใหญ่เท่าที่เขาเป็น (คือคนที่จิตใจคับแคบ โลกของเขาก็จะแคบตามไปด้วย) ทรงคิดหรือว่าเขาจะเข้าใจในแผนการพระองค์ ทรงคิดหรือว่าเขาจะก้มหัวและขอบพระทัยฝ่าบาทหรือ
ทัมด๊ก หันไปทางฮยอนโก : เขาไม่ทำหรือ

ทรงให้ฮยอนโกส่งศิษย์โคมิล ไปส่งสาสน์ให้ยอนโฮแก รับทราบในแผนการนี้ของพระองค์ และทัมด๊ก ทรงมองโลกในแง่ดีว่า ยอนโฮแก จะร่วมปฏิบัติการตามแผนการนี้ ขนาด ฮยอนโก เองก็ไม่มั่นใจว่า ยอนโฮแก จะเข้าใจ ทัมด๊ก และยอนโฮแก ก็ไม่ได้เชื่อคำส่งสาสน์ด้วยวาจาของศิษย์โคมิล ยอนโฮแกแสดงกิริยาลบหลู่ ม้วนผ้าบรรจุพระบรมราชโองการ ที่แจ้งสั้น ๆ ว่าคนที่นำสิ่งนี้มาคือคนส่งสาสน์ของข้า แล้ว ผู้บอกถ้อยคำของสาสน์ยังถูกจับขังไว้ นอกจากไม่เชื่อว่า ทัมด๊ก จะโจมตี ป้อมปราการ ซอคคยองซอง และป้อมปราการควานมี เพราะเชื่อรายงานจากปราสาทโกกแนว่า ทัมด๊ก ทำทีไปล่าสัตว์ และไปเจริญไมตรีกับแคว้นจุนโน ยอนโฮแกยังไม่สนใจ คำสั่งการให้โจมตี แพคเจ ตามแผนการของทัมด๊กอีกด้วย

ข้าจะดูกษัตริย์ที่ชาญฉลาดพระองค์นี้ว่าเป็นอย่างไร
โซคีฮากำลังเตรียมตัว ไปให้ขวัญและกำลังใจกับกองทัพของยอนโฮแก
แทจังโร เข้ามาสั่งความกับโซคีฮา ให้แสดงพลังที่มีเพิ่มมากขึ้น ให้พวกทหารเห็นประจักษ์ และอีกหน่อย ถ้ายังเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ต้องใช้กำลังทหาร 4 หมื่นนี้แล้ว ด้วยพลังไฟของโซคีฮา ...เจ้าก็จะ....
โซคีฮา บอกแทจังโรว่า ทัมด๊กคือกษัตริย์จูชิน ยอนโฮแก นั้นไม่ใช่
แทจังโร : ข้าจะทบทวนให้เจ้าฟังอีกครั้ง สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่กษัตริย์จูชินที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการ แค่ใครสักคนที่มีสายเลือดกษัตริย์จูชิน เราต้องการแค่เลือดและสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะนำอำนาจมาสู่ฮวาเซิน
จริงๆ แล้ว กษัตริย์จูชินคือตัวปัญหาที่แทจังโรต้องกำจัดทิ้ง โซคีฮาถามว่า ถ้าหากมีคนอื่นที่มีสายเลือดจูชินเล่า
แทจังโรตอบว่า
จำนวนนั้นไม่สำคัญ เราต้องกำจัดทั้งหมดยกเว้น คนที่ช่วยหาสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ และก็ต้องกำจัดเช่นกันในภายหลัง เพื่อครอบครองอำนาจแห่งสวรรค์ เราจะไม่ปล่อยให้เมล็ดพันธ์แห่งสวรรค์หลงเหลืออยู่ โซคีฮา หมดหวังกับชีวิตของลูกในท้องเสียแล้ว
แทจังโร : ผู้ชายจะเปลี่ยนไปตามสายลม เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็จะจากไป.. ข้าขอให้เจ้าคิดถึงแต่ฮวาเซินของเรา ที่ได้เฝ้ารอคอยมานับพันปี ... คีฮา... ( ชอยมินซู คนสวมบทบาท ทำเสียง ดีมากๆ...เหมือนปลอบใจในที เหมือนยุแหย่ให้คั่งแค้นไปพร้อมๆกัน เยี่ยมจริงๆ ขอบอก ..บอกครั้งที่เท่าไร นับไม่ถูกแล้ว)

ในระหว่างเดินทางไปสบทบกับกองทหารของยอนโฮแก พร้อมกับกองทหารม้าเหล็กของจอกฮวาน โซคีฮา ที่นั่งหน้าระทมทุกข์ อยู่ในเกี้ยวมาตลอดเวลาได้หนีออกไปฆ่าตัวตาย จะกระโดดหน้าผา เหมือนเมื่อ 2 พันปีที่แล้ว ซารยางตามมาห้ามปราม โซคีฮา เดินไปสู่หน้าผา เห็นแต่ภาพของทัมด๊ก ทรงพระดำเนิน ผ่านหน้าเธอวันทดสอบดาบ kauri เธอจะคว้าหัตถ์ แต่ไม่กล้า ภาพที่ทัมด๊ก มองเธอวันฝนตก และทัมด๊กถูกรุมทำร้าย ซารยางพยายามเรียกเธอให้กลับลงมา
โซคีฮา เดินไปพูดระบายความน้อยใจไป
เขา..เขาไม่แม้แต่จะถามข้า เขาไม่เคยถามข้าว่าจริงหรือไม่ เขาไม่เคยมีความจริงใจกับข้า แล้วเขาให้ข้าอยู่ใกล้ชิดเขาทำไม สำหรับเขาข้าเป็นใคร

แล้วโซคีฮาก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหิน พิลาปรำพัน (คร่ำครวญ ร้องไห้ พร่ำพรรณนาตามอารมณ์ )

ข้าไม่รู้ว่า...ข้าทำผิดอะไร..ข้า ผู้พิทักษ์หัวใจฟินิกซ์ ข้าไม่เคยต้องการเป็นแม่ของแผ่นดิน ข้าแค่ทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ข้าทำ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการ มีแค่สิ่งเดียว เขา.....ผู้ซึ่งคือสิ่งที่ข้าเคยต้องการ แล้วนั่นคือความผิดร้ายแรงหรือ ฮวาเซินกับเขา พวกเจ้าเหมือนกันหมด ใช้ข้าเพราะเจ้าต้องการข้า แล้วทิ้งข้าในภายหลัง เหมือนที่เขาทำ เจ้าก็เช่นกัน ถึงแม้จะทอดทิ้งข้า เจ้าจะไม่พูดอะไรก่อนหรือ บอกว่าใช้ข้าคุ้มแล้ว บอกว่าเจ้าไม่ต้องการข้า
โซคีฮายิ่งพูด ก็ยิ่งคับแค้นใจ เธอผลุดลุกขึ้น ซารยางให้เธอคิดถึงลูก ว่า จะพาเขาตายไปด้วยหรือ โซคีฮา ตอบว่า ถึงอย่างไร เด็กคนนี้ก็ต้องตาย เขาจะน่าชังเช่นเดียวกับข้า แล้วก็ตายในที่สุด ข้าไม่ยอม ซารยางบอกว่าให้โซคีฮา ใช้เขา... ใช้โลกนี้... ใช้ฮวาเซิน ...ถ้าไม่ชอบก็ทิ้งไป นั่นเป็นวิธีที่จะปกป้องเด็กไว้ได้
โซคีฮา : เด็กเขาต้องการหรือ เขาต้องการออกมาสู่โลกที่น่าเศร้าเช่นนี้หรือ ข้าเกลียดโลกนี้ เด็กคนนี้คืออะไร
โซคีฮา ก้าวลงไปสู่ความว่างเปล่าของหน้าผา แต่เด็กคนนี้ ยังไม่อยากตาย หรือไม่ก็ สวรรค์ ไม่ยอมให้เขาตาย เด็กคนนี้คือสายเลือดจากสวรรค์ จึงมีรัศมีสีทอง หุ้มห่อล้อมโซคีฮา และดึงร่างโซคีฮา กลับมายืนและทรุดลงที่ริมหน้าผาใหม่ ซารยางที่เข้ามาจะช่วยดึงเธอกลับ โดนรัศมีสีทองกระแทก กระเด็นหงายหลังกับพื้นหิน จอกฮวาน ตามมาถึงพอดี ซารยางลุกได้ ในท่าคุกเข่า ทั้งซารยางและจอกฮวานตกตลึง ซารยางอุทานว่า เลือดจากสวรรค์... เด็กจากสวรรค์ และทำท่าคำนับ
( ยงจุนมี special message เกี่ยวกับ ความรัก ของทัมด๊กและโซคีฮา ว่าต้องแยกจากกัน และกลายเป็นอยู่ตรงข้ามกันเพราะ ความเข้าใจผิด ความไม่เข้าใจกัน)



ในเรือสินค้า ทัมด๊ก บรรทมอยู่บนพระที่ ขยับองค์ อึดอัด เอาหัตถ์ กุมพระอุระตรงดวงหทัย ทรงกระสับกระส่ายซูจินี ถลาเข้ามา จับองค์ทัมด๊กเขย่า ... ดูนี่ ...ลืมพระเนตรสิ... เกิดอะไรขึ้น ทัมด๊ก ผวาขึ้นสุดองค์ เกาะซูจูนีแน่น ซูจินี ก็เฝ้าแต่ทูลว่า เกิดอะไรขึ้น ลืมพระเนตรสิ ตื่นบรรทม แล้วเขย่าองค์อีก ลืมพระเนตร สิ ทัมด๊ก มีพระสุรเสียงเหนื่อยหอบเหมือนคนจะขาดหทัยเกาะบ่าซูจินีแน่น ซูจินี ก็พร่ำพูด... หม่อมฉันกำลังเรียกพระองค์ แล้วก็กอด ทัมด๊ก แน่น ตื่น สิ ตื่น


จูมูชิ มาแอบเดินดู ดัลบี ว่าหลับอยู่ตรงไหน ตลกแบบน่ารัก ที่ดาดฟ้าเรือ ดัลบี มีคำพูดให้จูมูชิ : ขอให้ท่านป้องกันตนเองตอนไปสงคราม เมื่อกลับมาข้าจะล้างเสื้อเกราะให้ท่าน ขอให้มีเพียงเลือดของศัตรู ไม่มีใครทำอะไรท่านได้อยู่แล้ว ข้าพูดผิดไหม ท่านได้ยินไหมอย่าบาดเจ็บนะ



ทัมด๊ก เสด็จขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ทอดพระเนตรท้องทะเลที่เวิ้งว้างและว้าเหว่ ซูจินีเข้ามาถวายผ้าซับพระพักตร์ถามว่าทรงหายดีแล้วหรือ ทรงพระสุบินอะไร หรือทรงพระสุบินถึงนาง
ทัมด๊ก : มันแปลก.. ข้าจำหน้านางไม่ได้หรือแม้แต่เสียง ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในความฝัน แต่ข้าจำไม่ได้ แล้วทรงเงียบไปนาน พระพักตร์เศร้าหมอง ซูจินี มิรู้จะปลอบอย่างไรดี ก็เลยทำท่าว่าง่วงนอน ทูลลาไปนอน พรุ่งนี้คงจะเผลอหลับตอนออกรบแน่ ๆ
ทัมด๊กทรงเรียก ซูจินี ซูจินีหันมาถามว่าอะไรเรียกเธอทำไม



ในห้องของทัมด๊ก ทรงยื่นชุดเกราะ ให้ซูจินี ช่วยสวมให้ แล้ว ก็มีความกุ๊กกิ๊กน่ารักขณะสวมเสื้อเกราะ ตอนแรกที่ทรงถามว่า ซูจินีว่ารู้วิธีใส่เสื้อเกราะไหม ซูจินีจะไปตามคนอื่นมาให้ ทรงบอกว่า เจ้าทำเถอะ มีการสบตากันขณะสวมชุดให้ทัมด๊ก ซูจินี ต้องหลบสายพระเนตร จึงอ้อมไปที่พระปฤษฎางค์ (หลัง) ผูกชุดเกราะ แล้วหยิบหัวเข็ดขัด มาติดให้ที่บั้นพระองค์ (เอว) ด้านหน้า



ทัมด๊ก ก้มลงทอดพระเนตรซูจินี ซูจินี ก็เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ ทัมด๊กเช่นกัน เขินอีกตามเคย เลยต้องแก้เก้อ อ้อมไปที่พระปฤษฎางค์ ใหม่ราวกับว่า เมื่อครู่นี้ ยังผูกข้างหลังของชุดเกราะไม่เรียบร้อยดี
ทัมด๊กไม่มีพระประสงค์ให้ซูจินี ออกไปปฏิบัติภารกิจ กับศิษย์โคมิล ทรงหวั่นพระทัยว่า ซูจินี จะไปทำปัญหาอะไร : เราไม่รู้ว่า เจ้าจะเอาปัญหาอะไรมาใส่ตัวอีก ทำไมเจ้าไม่อยู่ข้างตัวของข้าล่ะ



ซูจินี : หม่อมฉันเป็นกาวหรือ (ถวายงานที่ทำอยู่แรงขึ้นนิดหนึ่ง)
ทัมด๊ก : คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือ..กษัตริย์ เจ้า ....จะพูดคำว่าใช่ ให้เพราะๆสักครั้งได้ไหม
ซูจินี : เงียบไปชั่วอึดใจ ทูลรับคำ ว่า เพคะ



ทัมด๊ก แย้มพระโอษฐ์ ทรงกระแอมและหันไปหยิบขวดน้ำหอม ที่พระบิดาเคยประทานไว้ให้ ทรงยื่นให้ มีรับสั่งว่า : มันเป็นของเสด็จแม่ของข้า เพราะฉะนั้นอย่าทำหาย และนำมันกลับคืนมา อย่าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่จำเป็น อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เอามันกลับมาอย่างปลอดภัย เจ้าได้ยินข้าพูดไหม
ซูจินี ทำท่าจะถวายคืน ทัมด๊ก ใช้สองหัตถ์จับมือซูจินีให้กำขวดไว้ และทรงกุมมือซูจินีไว้ ซูจินี ซาบซึ้งในถ้อยรับสั่ง ที่ทรงห่วงใยเธอ ยิ้มถวายและรับคำว่า เพคะ



ทัมด๊ก ทรงมีรับสั่งกับเหล่าทหารที่พร้อมปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
พวกเจ้าจำไว้ 3 ประการ
ข้อแรก : เราจะไม่สู้ศัตรูด้วยดาบและทวน อาวุธในสนามรบคือความกลัว เราจะเป็นกองทัพที่หวาดกลัวที่สุดในโลก กองทัพที่หวาดกลัวแห่งจูชิน ( เพราะทรงมีทหารจำนวนน้อยมาก)
ข้อสอง : ชัยชนะของสงครามขึ้นอยู่กับความรวดเร็ว ภายใน 7 วัน เราต้องยึดป้อมปราการให้ได้
3 ป้อมปราการ ภายใน 20 วัน ต้องได้ 10 ป้อมปราการ ( เป้าหมายชัดเจนมาก)
ข้อสุดท้าย ( สำคัญ และกินใจมากเลย) : ห้ามมิให้ใครตาย ข้าไม่ต้องการให้ใครมาตายเพื่อข้า
มีชีวิตอยู่เคียงข้างข้า นี่คือคำสั่งของกษัตริย์ของเจ้า ( ทรงซื้อใจทหารให้ยิ่งซาบซึ้ง จงรักภักดีและจะยิ่งยอมกายถวายชีวิตเพื่อพระองค์ แต่นี่ไม่ใช่ กุศโลบาย แต่เป็นน้ำพระทัยแท้จริงของพระองค์)



ฮยอนโก ซูจินี และศิษย์โคมิล ลงเรือเล็ก ไปขึ้นฝั่งของแพคเจ คุณลุงเต่าดำเงอะงะตามเคย ซูจินี บ่นหัวหน้าตัวเอง อย่างเอือมระอา เหมือนตอนวัยเด็ก ว่า “ ท่านนี่ว่องไวยังกับลา “ ทั้งหมดปลอมเป็นนักบวช เข้าประตูป้อมปราการ ด้วยการติดสินบนผู้ คุมประตูด่าน ( การคอรัปชั่น มีมานานทุกเชื้อชาติเลย ยังกับเป็นสิ่งที่ติดตัวในกมลสันดานของมนุษย์ที่เกิดมา ทุกยุคทุกสมัยเชียว)

ที่หอสังเกตการณ์ ชายทะเลของป้อมปราการ ซอคคยอนซอง ยามรักษาการณ์มัวแต่ป้องหน้าดูและสงสัย ว่า หมู่เรืออะไรมุ่งตรงมาจนเรือเกยชายหาด และทอดกระดานให้ม้าศึก กรูกันออกจากลำเรือ ก็สายเกินแก้ ผู้บัญชาการป้อม รีบสั่งการให้ม้าเร็วรีบไปส่งข่าว ที่ป้อมปราการโอ๊คซุน ส่งกำลังเสริมมาด่วน
ทั้งสองฝ่ายยิงธนูใส่กันที่นอกนอกประตูป้อม และบนเชิงเทินของป้อม ธนู และโล่ ของบาซอน แสดงประสิทธิภาพ อย่างที่บาซอนเคยกราบทูลทัมด๊ก
ศิษย์โคมิลที่อยู่ด้านในของป้อม ใช้ความสามารถ และเปิดประตูใหญ่ ให้ กองทหารของโคคุเรียว เข้ามาข้างในได้ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนยุทธ์ ของทัมด๊ก
คนเผ่าซีอู จะทะลายประตูใหญ่ให้เร็วที่สุด ประสานกับศิษย์โคมิล
ทหารราชองครักษ์ จะสกัดกั้นศัตรู เพื่อให้มั่นใจว่า พวกนั้นไม่ล่าช้า
จำไว้ ห้ามต่อสู้ ในส่วนในของป้อมปราการ สิ่งที่เราต้องการ คือติดป้ายของเราให้ได้ สิ่งแรกที่เราต้องทำ คือการสร้างความหวาดกลัวขึ้นในใจของศัตรู คนของซีอู ต้องไปถึงป้อมปราการโอ๊คซุน ก่อนที่ ม้าเร็วส่งสาสน์ของ ซอคคยอนซองไปถึง

Copyright @ Amornbyj & SUE