Saturday, May 10, 2008

เรื่องย่อ ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ (ตอนที่ 15)


...ตอนที่ 15...


ยอนโฮแก ขี่ม้านำหน้ากองทหาร สี่หมื่นคน ขึ้นไปทางเหนือ อารามหลวงที่ปราสาทโกกแน
นักพรตอาวุโส ได้ถาม โซคีฮา ว่า ( เมื่อมีสารมาจากผู้บัญชาการ ยอนโฮแก แจ้งมาว่า ขณะนี้กองทัพได้ออกจากชายแดนแพคเจและมุ่งหน้าไปทางเหนือ) แต่เดิมนั้นถ้าบ้านเมืองมีเหตุการณ์ใหญ่ๆอารามจะสวดมนต์ขอพรจากสวรรค์ และจัดพิธีอวยชัยให้กับทหารที่ไปสงครามอยู่ในสนามรบ แต่จะไม่เคยสั่งการใดๆไปยังกองทัพ นี่เป็นความต้องการของสวรรค์จริงหรือ สวรรค์ได้ให้นิมิตกับท่านจริงหรือในการเคลื่อนกองทัพ โซคีฮา ทำสีหน้าเข้ม จนผู้อาวุโสต้องหลบสายตา : คนที่เจ้ากำลังพูดด้วย คือผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ก่อนที่จะมาเป็นเทวีพยากรณ์ มีเหตุผลที่ข้าต้องอธิบายกับเจ้าซึ่งเป็นแค่นักพรตธรรมดารึ ? และโซคีฮายังสั่งการให้ไปเรียนเสนาบดียอนว่าข้าอยากพบ (นักพรตผู้อาวุโสชะงักถามแบบไม่แน่ใจในคำสั่งนี้ )


เสนาบดียอนมาพบ และพูดว่าด้วยเสียงเย็นชาว่า : ข้ารีบมาดูว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเทวีพยากรณ์ถึงต้องการปรึกษาข้า ข้ากำลังวุ่นวายกับการเรื่องกำลังพลและการขนย้ายสิ่งของ ( เพื่อส่งไปให้ยอนโฮแก)
โซคีฮา : ฝ่าบาทกำลังเสด็จกลับหรือ
เสนาบดียอน : ฮวาเซินน่าจะรู้ดีกว่าข้า
โซคีฮา ทำหน้าตึงเสียงเข้ม : แต่ข้ากำลังถามท่านอยู่ ฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาใช่หรือไม่
เสนาบดียอนนิ่งไปอึดใจ (รวบรวมอารมณ์อยู่มั้ง) : ทรงมีทางเลือกอย่างอื่นหรือ กำลังเสริมของแพคเจตะวันตกกำลังมุ่งไปหาพระองค์ แถมมีทหารของควานมีอีก 3 พันคน ตั้งรับการรุก อยู่ในป้อม
โซคีฮา : เสนาบดียอนท่านต้องจัดการกับครอบครัวของขุนนางที่ยังจงรักภักดีกษัตริย์องค์ก่อน และวางคนของท่านในสภา
เสนาบดียอน หัวเราะ : ตอนนี้ท่านได้ดูแลอารามหลวงแล้ว ท่านยังต้องการดูแลบ้านเมืองอีกด้วยหรือ
โซคีฮา : เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมา ข้าต้องการแน่ใจว่าฝ่าบาทจะไม่สามารถย่างพระบาทเข้ามาในปราสาทโกกแน จนกว่าข้าจะสถาปนาพระองค์เป็นกษัตริย์ด้วยอำนาจในฐานะนักพรตสูงสุดและเทวีพยากรณ์ กษัตริย์องค์ปัจจุบันจะต้องไม่เข้ามาในปราสาทโกกแน
เสนาบดียอนบอกว่าถึงจะรวบรวมสภาไว้ได้ แต่พวกเขาคงไม่อนุมัติ โซคีฮา อ้างถึงกองทหารของ ทัมด๊ก ว่า เป็นกองทัพที่มีประสบการณ์ ผ่านการรบได้รับชัยชนะมา เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธและเกราะที่ดีที่สุด ถ้ากองทัพนี้เข้ามาได้ เสนาบดียอนจะได้อยู่อย่างยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้หรือ แทจังโรเข้ามา (กลายเป็นอารามนี้ใครจะไปจะมาก็ได้เสียแล้ว) บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังบุกเข้าไปในป้อมปราการควานมี สัญลักษณ์มังกรน้ำเงินคงอยู่ที่นั่น ทรงทำเรื่องโง่ๆที่บุกเข้าไป ต่อให้มีทหารมากกว่านี้อีก 10 เท่าก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ผู้บัญชาการ อมนุษย์ คนนั้น ทรงไร้เหตุผลและเต็มไปด้วยความโลภที่จะได้สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ โซคีฮา ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ฟัง แทจังโรพูดต่อ ถึงแม้ทรงเอาชนะป้อมปราการแพคเจได้ 10 แห่ง แต่ป้อมปราการควานมีแตกต่างจากที่อื่น ใครที่กล้าเข้าไปโจมตีไม่เคยมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา


ที่ป้อมปราการควานมี
ขุนพลกากิน ขึ้นไปบัญชาการรบบนกำแพงประตูป้อม ทหารทั้งสองฝาย ต่อสู้กันด้วยธนู ทหารโดคุเรียวใช้ลูกธนูเม๊คกุง ประตูป้อมถูกยิงด้วยหัวลูกธนูไฟ ประตูป้อม ลุกไหม้
ผู้บัญชาการชอโรที่อยู่ด้านใน ลุกขึ้นจากที่นั่งในมือกำทวน แล้ว ก็ ขี่ม้าออกมานอกประตูป้อมที่ไหม้ไฟและพังทลายลง เพียงแค่แกว่งทวน ทหารของโคคุเรียว ที่อยู่ในรัศมีก็ล้มระเนระนาด บาดเจ็บ และตาย ม้าก็แตกตื่น มีเพียงจูมูชิ คนเดียว ที่ลุยออกมานอกรัศมี



อานุภาพของทวน ขี่ม้ามุ่งตรงเข้าไปต่อสู้กับ ชอโร ซูจินี เหลียวมองทัมด๊ก (ที่เสด็จตามมาถึง ) รอการตัดสินพระทัยสั่งการ ท่าทาง ซูจินี เป็นห่วง จูมูชิ แล้ว จูมูชิ ก็ตกจากหลังม้า บาดเจ็บกระอักเลือด ชอโร ชักม้ามาใกล้ ยกทวนทำท่าจะทำร้ายแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ( ด้วยสัญชาตญาณที่เทพทั้งสี่จะไม่ฆ่ากันเอง)



ซูจินี ขี่ม้านำหน้า ทัมด๊ก และคนอื่น ๆ มายังที่สองคนต่อสู้กัน แล้ว ชอโรก็แกว่งทวนอีกครั้ง ซูจินี กระเด็นตกจากหลังม้า สลบไป คนอื่นๆ เช่น ขุนพลโก ฮยอนโก บังคับม้าให้ออกวิ่งไม่ได้ ทหารตกจากหลังม้าลงมาหลายคน



มีแต่ ทัมด๊ก พระองค์เดียว ที่ทรงม้า มุ่งไปทาง ชอโร ชอโร รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจต้องยกมือกุมหัวใจ แล้ว ชอโร ก็ขี่ม้ามาก้มลงมาฉุดร่างของ ซูจินี ขึ้นไปบนหลังม้าพาหนีเข้าไปในป้อมด้วย



ในค่ายของโคคุเรียว ดัลบี เข้ามาดูแลใส่ยาให้ จูมูชิ บาซอนรีบดึง มันดัก ถอยออกไปหลีกทางให้ดัลบี จูมูชิที่รู้สึกตัวแล้ว ยังปากเก่งว่า : ข้าควรจะฆ่าเขา เจ้าปิศาจตนนั้น ข้าควรจะฆ่าเขา เขาไม่ใช่มนุษย์ ดัลบี ทายาให้ ร้องไห้ไป บ่นไป ทุบตีไป : ท่านเต็มไปด้วยบาดแผล และรอยถลอก ดูตัวเองสิ บางทีก็ใส่ยาให้แรงๆ จูมูชิ เจ็บ นอนสะดุ้งร้องโอดโอยหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทางทุกข์ร้อน ห่วงใยและโมโหของดัลบีขนาดนี้ ก็เอียงหน้าไปอีกทางแอบยิ้มสุขใจ ดีใจ

ฮีกแก และลูกชาย มายืนเก้ๆกังๆ หน้ากระโจมของ ทัมด๊ก บิดมือตัวเองไปมา จนขุนพลโกที่เดินมาที่กระโจมจากอีกด้าน สอง พ่อลูกชะงัก ขุนพลโกเปลี่ยนใจเดินมาที่ ฮีกแกและลูกชาย ถามว่าท่านมาทำอะไร ฮีกแกหันหลังหลังให้เหลียวหน้ามาถามว่าอะไร ขุนพลโก : ท่านฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ท่านเป็นต้นเหตุให้สูญเสียทหารที่มีค่าท่านควรไปฆ่าตัวตายเสีย ยังจะมายืนตรงนี้ทำไม สองพ่อลูกหันมาเต็มตัว ฮีกแก บอกว่าตนสำนึกผิดจะมาขอรับผิดกับการกระทำ แต่ฝ่าบาทยังไม่เรียกให้เข้าเฝ้า ขุนพลโกสั่งทหารให้จับตัวผู้ทำผิด ทหารไม่กล้า ขุนพลโกตวาดสั่งซ้ำ ว่าพวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ ฮีกแก ยกสองมือห้ามทหาร ไอ้บ้า... อยากตายรึไง ลูกชายตกใจปราดเข้าขวางฮีกแก ห้าม แล้วหันมาทางขุนพลโก ข้าขอโทษ ท่านพ่อทำอะไร คุกเข่า ! หลังจากคุกเข่าหน้าขุนพลโก ก็หันมาเรียก พ่อตัวเองตัวเอง ฮีกแก : ไอ้เด็กโง่ ถ้าข้าจะคุกเข่า ข้าก็จะทำต่อหน้าฝ่าบาท ข้าจะต้องคุกเข่าหน้ากระโจมหรือ เจ้า นี่.... นี่...
(ลูกชายของฮีกแก คนนี้ ชื่อ ดัลโก)



ในกระโจม ฮยอนโกกราบทูล ทัมด๊ก ที่ ประทับยืนกอดพระอุระให้รีบถอยทัพออกไปจากบริเวณนี้ทันที ผู้อาวุโส ฮยอนจัง ท้วงว่า ท่านหัวหน้าแล้ว ซูจินี ของเราล่ะ ฮยอนโก ตอบว่า พวกเราศิษย์โคมิล เป็นผู้รับใช้กษัตริย์จูชิน เราไม่สามารถหยุดหน้าที่ของเราเพื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วหันมากราบทูลว่า กองกำลังเสริมของแพคเจจะมาถึงที่นี่ภายในวันมะรืนนี้ เมื่อรวมตัวกับทหารของควานมี พวกนั้นจะเหนือกว่าเรา
ทัมด๊ก ทรงมีรับสั่งว่า : ไปเตรียมตัว เราจะเคลื่อนย้ายก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ส่งสาสน์ไปยังกองทหารต่างๆที่อยู่รอบๆ เราต้องถอยโดยไม่ให้ทหารแพคเจรู้ ฮยอนจัง ถวายคำนับถอยออกไป
ฮยอนโก กราบทูล ทัมด๊ก : ฝ่าบาทเราจะทำในสิ่งที่ทรงคิดอยู่ไม่ได้ ทรงอย่าคิดแม้แต่จะช่วย ซูจินี พะย่ะค่ะ ซูจินี ที่น่าสงสาร



ในค่ายทหารของยอนโฮแก ที่ที่ราบทางเหนือของ ฮาบุค
ยอนโฮแก อิลซูและจอกฮวาน ขี่ม้าผ่านมา ที่ มีพวก นายทหาร ปรึกษาความซุบซิบ กัน อิลซู มองออกว่า พวกนั้นวางแผนการบางอย่าง ยอนโฮแกนั่งดื่มเหล้า ไม่สนใจใคร จอกฮวาน อิลซู เถียงกันเรื่องจะจัดการกับพวกนายทหารเป็นตัวอย่าง จอกฮวานไม่เห็นด้วย : ถ้าเราจะจัดการกับพวกแม่ทัพเราควรจะมีเหตุผลที่ดี อิลซู แย้งว่า : การลงโทษทหารที่ฝ่าฝืนคำสั่งเป็นสิ่งที่ทำได้พวกนั้นคิดที่จะยุยงให้มีการก่อการแข็งข้อ ยอน โฮแก ทุบโต๊ะ ลุกขึ้น แต่โซเซต้องเข้าประคอง แล้วถามว่า นางยังมาไม่ถึงอีกหรือ ทำไมท่านถึงไม่อยู่ที่นี่ ใครบอกว่าท่านจะมา บรรดาแม่ทัพ เริ่มมีการซุบซิบนัดพบพูดคุย ไม่พอใจยอนโฮแก ที่ ไม่เป็นอันทำอะไร หลังออกมาจากชายแดน เอาแต่ดื่ม ทั้งวันทั้งคืน และพากันพูดถึงผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ที่กลายมา เทวีพยากรณ์
: ไม่เห็นจะเป็นไร ไม่ว่าจะเป็นเทวีพยากรณ์หรือจะเป็นผู้ดูแลอารามหลวง แต่ว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่อารามหลวงมายุ่งเกี่ยวกับนโยบายการรบการเคลื่อนพลไม่ว่านางจะเป็นผู้พิทักษ์ฟินิกซ์ ประเด็นคือนางมีอิทธิพลเหนือผู้บัญชาการทหาร ต่างหาก เขาสั่งการทหาร 4 หมื่นคน แต่ตอนนี้จะทำอะไร ก็ขึ้นกับคำสั่งของนาง แม้เขาจะเป็นทายาทตระกูลยอนของโคคุเรียว แต่เขายังเด็กไป พวกเราต้องรออยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ
แล้วทุกคนก็ตกใจ ที่มีแสงเพลิง นำทาง โซคีฮา เข้ามา ถามหาให้พาไปกระโจมของ ยอนโฮแก
มาชมความเป็นนางมารร้ายของ โซคีฮา ตัวจริง เสียงจริง
โซคีฮา มาช่วยเช็ดหน้าให้ยอนโฮแกที่เมาเหล้า ยอนโฮแกคิดว่าตัวเองฝันไป เพ้อว่าถ้าไม่ใช่ความฝันท่านคงไม่ได้มาอยู่ข้างข้า โซคีฮา บอกว่า ถ้านี่คือความฝัน เช่นนั้น ท่านจะฟังสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่ ยอนโฮแก ที่จับมือโซคีฮาอยู่ เอามือมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ
โซคีฮา : เมื่อใดที่ข้าคิดถึงท่าน ข้ารู้สึกเสียใจเสมอ ข้ารู้ว่าท่านอยู่กับข้าเสมอ ท่านจะอยู่เบื้องหลังข้าตลอดไปได้ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าข้าจะยังขอร้องท่านตลอดไป ข้าจะขอให้ท่านนำสัญลักษณ์เสือขาวมาให้ข้า และข้าจะขอให้ท่านนำโคคุเรียวมาให้ข้าอีกด้วย ข้าต้องการท่าน ข้าต้องการจิตวิญญาณของท่าน เมื่อข้าได้ ข้าจะใช้มัน และเมื่อใช้เสร็จแล้วข้าจะละทิ้งมัน ท่านจงค้นหาสัญลักษณ์เสือขาว และเมื่อ ทัมด๊ก มาที่นี่ ฆ่า...เขา เพื่อข้า ข้าจะจัดการเอง เพื่อให้เขามาที่นี่ ไม่ใช่ที่ปราสาทโกกแน ไปเอาสัญลักษณ์เสือขาวมาและ ฆ่า...เขา
( โซคีฮาในชาตินี้ ร้ายกาจกว่า คาจิน แบบนำหน้าไปไกลไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นเลย )
ช่างน่าสมเพทเวทนา ยอนโฮแก ที่ หลงรัก ลุ่มหลง อีกทั้ง โง่เง่า งี่เง่าสุดๆ หรือจะสมน้ำหน้าดี ที่มาเป็นตัวโกง อาจหาญมาเป็นคู่แข่งของ ทัมด๊ก
ยอนโฮแก : ข้าอยู่กับท่านเสมอ เพราะข้าไม่สามารถไปไกลจากท่านได้ ถึงข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่เขลา ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านไม่ต้องขอร้องอะไรอีกเลย แค่ท่านบอกสิ่งที่ท่านต้องการ ทุกอย่างจะเป็นของท่าน แล้วต่อไป ท่านจะฆ่าข้า เช่นเดียวกับเขาไหม (โซคีฮา ตอบตรง ๆ ว่า บางที...) หากเป็นเช่นนั้น ข้าอยากขอร้องท่าน เมื่อถึงเวลานั้น อย่าให้คนอื่นทำ ท่านทำด้วยตัวเอง


ที่ค่ายโคคุเรียว
ทหารกำลังเก็บรวบรวมสัมภาระ ฮีกแก เอาแต่บ่นว่า เสียเปล่า..... เสียเปล่า.... เรา ทำงานหนักจนได้ชัยชนะ แล้วต้องคืนป้อมปราการทั้งหมด ตับไตไส้พุงของข้ามันรวนเรไปหมดเพราะความโกรธแล้วนี่ เพราะเจ้าตัวร้ายนั่น เขาน่าจะมา เมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งให้มา ข้าหมายถึง โฮแก น่ะ ท่านแม่ทัพ ไม่อย่างนั้น ป้อมปราการควานมี ตอนนี้ต้องเป็นเราแน่นอน เราเกือบจะได้อยู่แล้ว เราเตรียมการไว้พร้อมแล้ว แต่เขาปฎิเสธ เจ้าตัวร้าย ข้าสงสัยว่า ฝ่าบาททรงทำอะไรอยู่ ข้าให้ คนของข้าตามไปคอยอารักขาฝ่าบาท เจ้าเด็กบ้า นั่นจะไปไหน ? ก็ลูกชายตัวดี วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงาน: ฝ่าบาทไม่อยู่ แต่ทิ้งสิ่งนี้ให้ท่าน ท่านควรรีบอ่าน แล้วยื่นม้วนหนังสือให้ขุนพลโก ขุนพลโก อ่านจบเงยหน้าตกใจ เหวี่ยงหนังสือไปทางฮีกแก ออกวิ่ง ไม่สนใจเสียงเรียก ฮีกแก ก้มเก็บม้วนหนังสือ คลี่ออกอ่าน แล้วเหวี่ยงม้วนหนังสือให้ลูกชาย วิ่งอ้าวตามขุนพลโกไป ลูกชายของฮีกแก คลี่อ่านจบแล้วไม่รู้จะเหวี่ยงให้ใครต่อ ก็ได้แต่วิ่งตามพ่อและขุนพลโกไปอีกคน
ฮยอนโก และจูมูชิ จะแอบไปช่วยซูจินี โดยขึ้นเกวียนไป
ฮยอนโก : เจ้าเป็นแบบนี้แล้วจะไปทำอะไรได้บ้างล่ะ ( บาดแผลเต็มตัวอย่างนี้)
จูมูชิ : แล้วอาจารย์ (เรียกตามทัมด๊ก) ทำอะไรได้บ้างล่ะ
ฮยอนโก : ข้าป็นผู้พิทักษ์เต่าดำนะข้าเชื่อว่าสวรรค์จะต้องช่วยข้าเมื่อข้าต้องการ
จูมูชิ : ท่านเชื่ออย่างนั้นหรือ
ฮยอนโก หัวเราะ : ไม่หรอก
จูมูชิ : อาจารย์ผู้ชาญฉลาด แผนการของท่านเป็นอย่างไร ท่านจะช่วย ซูจินี ได้อย่างไร ท่านจะเข้าป้อมควานมีได้อย่างไร
ฮยอนโก : ข้าต้องทรยศพวกเรา ข้าจะบอกพวกเขาว่าข้าเป็นหัวหน้ากองทัพโคคุเรียวและข้าทรยศต่อโคคุเรียว และมาหาท่านโปรดรับข้าไว้ด้วย
จูมูชิ : จริงหรือ
ฮยอนโก : ไม่หรอก ขอบใจที่เจ้าคิดจะไปช่วย ซูจินี ทั้งที่เจ้ายังเจ็บอยู่อย่างนี้...
จูมูชิ : ท่านจะบ้าหรือ ข้าจะช่วยเปล่า ๆ ได้อย่างไร ข้าเป็นทหารรับจ้าง ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ แล้ว สองคน ก็ปรึกษาวางแผนแบบเถียงกันไป ค้านกันมา............................................
เจ้าดีมาก... เจ้าเป็นคนดี
ในป้อมปราการควานมี ซูจินี ที่ยังสลบอยู่หลับตาพิงต้นไม้ ชอโร เอื้อมมือจะไปสัมผัสแก้ม แต่แล้วกลับเห็นภาพเปลวไฟที่ลุกท่วม และฟินิกซ์ดำในห้วงความคิด ชอโร ถอยออกมา เอามือกุมหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะโลดออกมานอกอก
เมื่อซูจินี ฟื้นขึ้นมาก็พยายามหาทางออก มีเสียงแหบ ๆถามว่า เจ้าเป็นใคร แต่ซูจินี กลับมองไม่เห็นเจ้าของเสียง เธอ พูดว่า : ออกมา เจ้าเป็นหนูหรืออย่างไร อย่าซ่อนตัว ออกมา เสียงชอโรตอบว่า ข้ารู้จักเจ้า


แต่พอซูจินี ได้เจอตัวชอโรจริง ก็ต้องตกใจ
ชอโร : ข้าไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นข้าไม่เคยป่วย เพราะข้าไม่ใช่มนุษย์ ร้องแล้วหนีไป เหมือนทุกครั้ง ...ทุกคน.... ที่เห็นข้า
ซูจินี ค่อยๆเอื้อมมือแตะมือที่น่าเกลียด (พอๆ กับหน้าตา) ชอโรส่งสายตามองซูจินี (เห็นลูกตาสีฟ้ากลิ้งไปกลิ้งมา)



ซูจินีถามว่า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม พอ ชอโร เงยหน้าขึ้นมาเต็ม ๆ ซูจินี ก็ ผงะ ชอโรถาม ซูจินี ว่า เจ้า...และเขา... เขาเป็นใคร... เขาเป็นอะไรกับเจ้า ซูจินี งงว่า เขา...ที่ชอโรถามนั้นหมายถึงผู้ใด
ชอโร พูดต่อว่า เขาเป็นใคร ทำไมเขาทำให้หัวใจของข้าเจ็บ แล้วก็มีลมกรรโชกแรง


ทัมด๊ก ทรงม้า พระองค์เดียว ไปที่ประตูป้อมควานมีแจ้งว่าเป็นผู้นำสาสน์มาจากกษัตริย์โคคุเรียว และแสดงด้ามพระแสงดาบของกษัตริย์ จูมง ว่า นี่เป็นพระลัญจกร กษัตริย์ให้ข้ามาถาม ผู้บัญชาการป้อมควานมี ว่าต้องการเอาป้อมปราการทั้งสิบของแพคเจ รวมทั้งป้อมซอคคยอนซอง กลับคืนหรือไม่
ขุนพล กากิน สงสัยว่า ทำไมกษัตริย์โคคุเรียวถึงจะสละป้อมปราการ ที่ทรงยึดได้มา คืนให้
ทัมด๊ก บอกว่า กษัตริย์สั่งให้พูดกับผู้บัญชาการเพียงคนเดียวเท่านั้น กากินจึงพา ทัมด๊ก เข้าไปในป้อมปราการ ระหว่างที่เดินไปนั้น กากิน พูดว่า : มาที่นี่คนเดียว..กษัตริย์ของเจ้ากำลังให้เจ้าสละชีวิตตนเอง ทัมด๊กบอกว่า : กษัตริย์ของข้าต้องการช่วยชีวิตคนอื่น กากินหยุดเดิน และแนะนำตัวเองว่า
ข้า...กากิน.. หัวหน้าแม่ทัพของป้อมควานมี เจ้าชื่ออะไร มาจากครอบครัวใด
ทัมด๊ก : ถ้าข้าตอบข้าต้องพูดปด ฉะนั้นโปรดอย่าถามข้า
กากินค่อยๆ นึกได้ ว่าผู้อยู่ตรงเบื้องหน้าตนเองคือใคร ถามว่า : ท่านได้ชมการแข่งขัน ที่ปราสาทโกกแนหรือไม่ มันเป็นภาพที่น่าชมมาก มันดีมาก.. แล้วกากินก็เดินไปที่ประตู รายงานว่า
: คนนำสาสน์มาแล้ว เขาแจ้งว่าพวกนั้นจะยอมทิ้งป้อมที่ยึดได้จากแพคเจทั้งหมดท่านจะพบเขาไหม ประตูห้องเปิดออก มีสายลมตามมาด้วย พร้อมเสียงแหบๆ ว่า.. เข้ามา
ทัมด๊ก ทรงพระดำเนินออกจากห้องไปทางด้านที่ตั้งเก้าอี้นั่งของ ชอโร ทรงบอกว่า : ข้าจะทิ้งป้อมทั้งสิบ ของแพคเจ ถ้าหากท่านคืนผู้หญิงที่ท่านได้นำตัวมา
ชอโร : นางเป็นผู้หญิงของท่านหรือ
ทัมด๊ก ไม่ตอบ และทรงพระดำเนินออกไปด้านนอก จนพบดงไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ไหวแรงผิดปกติ และด้ามพระแสงดาบของกษัตริย์จูมง ที่ได้คืนมา ก็ส่องแสงสว่างขึ้น ทรงปลดออกจากบั้นพระองค์ มาถือไว้ในพระหัตถ์ ใบไม้ กิ่งไม้ ไหวแรงขึ้น ทรงหลับพระเนตรรวบรวมสมาธิ กิ่งไม้ใบไม้หยุดสั่นไหว ด้ามพระแสงดาบ ส่องแสงสว่างเจิดจ้ายิ่งขึ้น ที่เบื้องพระปฤษฎางค์ ของพระองค์ ชอโร พุ่งทวนเข้าใส่ ทัมด๊ก แต่มีแรงผลัก ชอโร ออกมา


ทัมด๊ก ทรงหันมา ชอโร ทรงตัวได้ ตั้งท่าถือทวนกระชับมั่นในมืออีกครั้ง แล้วก็แวบเห็นพระพักตร์ของเทพฮวานอุงแทนพระพักตร์ของทัมด๊ก จิตใต้สำนึกมองเห็นภาพการต่อสู้ของมังกรน้ำเงินและฟินิกซ์ ชอโร ไม่หยุดคิด กระโดดตัวลอยพุ่งตัวและทวนใส่ ทัมด๊ก เต็มแรง คราวนี้ แรงกระแทกกลับมาแรงกว่าเก่า ชอโร กระเด็นลอยจากพื้นปะทะต้นไม้และตกลงมานั่งหลังพิงต้นไม้ มือที่กำด้ามทวนสั่นระริก อีกมือ กุมหัวใจตัวเอง แล้วทำท่าทาง พร้อมคำพูดว่า : ช่วยข้า...ด้วย ...


ทัมด๊ก ทรงยกด้ามพระแสงดาบขึ้นกลายเป็นธนูวิเศษ แสงสว่างจากคันธนู เป็นประกายสีขาวเจิดจ้า ทัมด๊ก ทรง รำลึกถึงภาพ ที่ โซคีฮา ใช้พระแสงดาบ นี้ แทงพระอุระของพระองค์ในอารามหลวงในวันทดสอบดาบ Kauri … พิพากษาจากสวรรค์ ..พระองค์เองสะดุ้ง และทรุดองค์ลงลงบนพื้น พระแสงดาบส่องรัศมีประกายเจิดจ้า แล้วก็ละลายเหลือแต่ด้ามพระแสงดาบหล่นลงมา ทัมด๊ก ทรงง้างสายธนู ชอโร ทำท่าเจ็บปวดที่หัวใจเหลือเกินส่งเสียงคราง ทัมด๊ก ทรงปล่อยลูกธนู แล่นลิ่วไปที่หัวใจของ ชอโร ชอโร เซไปมา แล้วประกายสว่างจ้าสีขาวก็ พวยพุ่งครอบคลุม เหนือป้อมปราการควานมี



ส่วนฮยอนโก และจูมูชิ ที่ เห็น ทัมด๊ก ทรงม้าที่หน้าป้อมปราการ และเสด็จเข้ามาในป้อม ทั้ง สอง คน ลอบปีนช่องกำแพงปราการเข้ามา และฆ่าทหารเวรยาม ไปหลายคน จนมาถึงหน้าห้องของ ชอโร ซึ่งกากิน ยืนดักคอยอยู่ เพราะคาดการณ์ไว้ว่า ทัมด๊ก คงไม่ได้มาพระองค์เดียว กากินได้ถาม ฮยอนโกว่า กษัตริย์ของท่านคือกษัตริย์จูชินใช่หรือไม่ ฮยอนโก จึงเล่า ว่าตนเองเป็นหัวหน้าหมู่บ้านโคมิล ก่อนที่ ฮยอนโก จะจำกษัตริย์จูชินได้ สัญลักษณ์เต่าดำ จำพระองค์ได้ก่อน กากินจึงบอกว่าตนเองก็รอคอยกษัตริย์จูชิน มีแต่กษัตริย์จูชิน ที่สามารถช่วยผู้พิทักษ์ของข้า ปลดปล่อยเขาจากคำสาป กษัตริย์ของท่านเข้าไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ถ้าทรงเป็นกษัตริย์จูชินที่แท้จริง ก็คงจะทรงปลดปล่อยคำสาปจากสวรรค์ให้เขาได้ ฮยอนโก ถามว่า แล้วสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด แล้วก็มีเสียงประหลาด ดังออกมาจากในห้องของ ชอโร เป็นเสียงหวีดหวิว ทั้งสามคน ตามมาพบแสงสว่างที่ส่องจ้า รวมทั้งพบ ซูจินี ด้วย ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังที่เกิดแสงสว่างนี้


ทัมด๊ก ทรงลดคันธนูลง ชอโร ทรุดกายลงที่พื้น มือหลุดจากทวน สองมือห้อยลงหลังพิงต้นไม้ ทัมด๊ก เสด็จไปใกล้ เอื้อมพระหัตถ์ ถอดหน้ากากของ ชอโร ออก ทอดพระเนตรเห็นใบหน้า มีเส้นโป่งพอง เป็นริ้วรอยสีดำๆเขียว ๆ บนใบหน้า ซูจินี วิ่งมาถึง มอง ทัมด๊ก มอง ชอโร แล้วเอามือไปจับบ่าของ ชอโร กราบทูลว่า เขายังมีชีวิตอยู่



มีประกายสว่างจ้าที่บริเวณหัวใจของ ชอโร เป็นสัญลักษณ์มังกรน้ำเงิน โผล่ออกมาจากตำแหน่งหัวใจของ ชอโร ทัมด๊ก ทรงดึงสัญลักษณ์นี้ออกมา ถือไว้ในพระหัตถ์ แล้วประทับยืนขึ้น ซูจินี ลุกตามพระองค์ กากิน ฮยอนโก และจูมูชิ วิ่งมาถึง ต่างมองสัญลักษณ์ ในพระหัตถ์ของ ทัมด๊ก ที่ทรงก้มทอดพระเนตร ชอโร


กากิน : มันคือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำเงิน กากินมอง ทัมด๊ก มอง ชอโร แล้วก็ทรุดตัวลง กราบทูล ทัมด๊ก ถึง เหตุการณ์ที่ ชอโร อายุเพียง 10 ขวบ ในคืนที่ดวงดาวจูชินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สัญลักษณ์ส่องแสง ปราสาทถูกบุกโจมตี บิดาของ ชอโรได้แทงสัญลักษณ์นี้ไปที่หัวใจของ ชอโร เพื่อปกป้องสัญลักษณ์นี้ไว้
โอ้ ผู้พิทักษ์ตะวันออก ข้ามอบให้ท่าน หัวใจของลูกข้า แล้วตัวเองก็ถูกผู้บุกรุก ฟันตาย
กากิน พูดต่อว่า ข้าขอรับใช้กษัตริย์จูชิน
ทัมด๊ก ทอดพระเนตรสัญลักษณ์ในพระหัตถ์ ที่ใบหน้าของ ชอโร ความน่าเกลียดที่ฉาบไว้ค่อย ๆหลุดลอกออกมา



ที่ปราสาทโกกแน ยังคงมีการแสดง ร้องชื่นชมโฮแก แต่คราวนี้ ฮยอนยอง และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้น คอยขัดจังหวะ พูดถึงความเก่งกล้าของ ทัมด๊ก กษัตริย์ของเรา ที่ยึดป้อมปราการ ของแพคเจได้ 10 ป้อม ทรงใช้ทหารไม่ถึงหมื่น ทรงมีทหารไม่ถึงพันด้วยซ้ำไป ทรงยิ่งใหญ่มาก ประชาชน ปรบมือ แต่นักแสดงบนเวทียังพยายามแสดงความชื่นชม ยอนโฮแก ต่อ แต่ไม่มีผู้ชมเสียแล้ว ประชาชนพากันแยกย้ายกันออกจากจากบริเวณที่มีการแสดงจนไม่เหลือใครเลยนอกจากพวกนักแสดงเอง

ที่บ้านเสนาบดียอนวุ่นวายกับการจัดสิ่งของ อาวุธ ทหาร ไปเพิ่มให้ยอนโฮแก เสนาบดียอนปรึกษากับแทจังโร ว่า : เราไม่มีอะไรจะแสดงให้สภาเสนาบดีเห็นผลงานของยอนโฮแก แทจังโรตอบว่า ตอนนี้ เทวีพยากรณ์ (โซคีฮา) ไปยังกองทัพ คงจะมีข่าวดีในไม่ช้านี้
เสนาบดียอนมีท่าทางไม่พอใจ เมื่อได้ยินคำว่าเทวีพยากรณ์ บอกแทจังโร ว่า ยอนโฮแก ได้ความกล้าหาญ มาจากแม่คือท่านหญิงยอน เมื่อ ยอนโฮแกเริ่มหัดเดิน นางสอนเขาถึงวิธีการเดินอย่างกษัตริย์ วิธีการพูด การวิ่ง โฮแก ได้รับการสอนเช่นนี้ ทำทุกอย่างตามแม่สอน : ท่านรู้ไหมข้าพยายามพูดอะไร
แทจังโร : ท่านผู้บัญชาการคาดหวังว่าเทวีพยากรณ์จะเหมือนท่านแม่ของเขา นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการพูดหรือ เสนาบดียอน : สำหรับแม่ของเขา โฮแก คือท้องฟ้า แล้วเขาเป็นอะไรต่อฟินิกซ์ ที่ท่านรับใช้อยู่
แทจังโร ยิ้มไม่ตอบคำถามนี้
ฮยอนยอง ได้พบลูกน้องช่างตีเหล็ก ของบาซอน ที่ถูก ฮวานเชินจับตัวไป ผู้ชายคนนี้บอกว่า มีเรื่องต้องบอกให้บาซอนรู้ และกระซิบให้ ฮยอนยอง ฟัง


ที่ป้อมปราการควานมี กากิน ยกถาดยาไปหาซอโร ที่หน้าตาและเนื้อตัว ลอกคราบความน่าเกลียด ออกไปเยอะแล้ว ทัมด๊ก ซูจินี ขี่ม้า ฮยอนโก และจูมูชิ นั่งเกวียน ออกมานอกป้อมควานมี



ฮยอนโก : แล้วผู้นำแบบไหนกันเล่า ที่ส่งกองทัพไปที่อื่น ขณะที่ตัวเองเข้าไปในอาณาเขตของศัตรู ด้วยตัวเอง หม่อมฉันพูดถูกไหมพะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : ท่านพูดพอหรือยัง ข้าอุดหูตัวเองแล้ว ( ฮยอนโก คงพูดมากมาตลอดทาง )
ฮยอนโก : แล้วเราจะกลับปราสาทโกกแน ได้อย่างไร พะย่ะค่ะ
ทัมด๊ก : งั้นพวกเราอยู่ที่ป้อมควานมี แล้วพวกเรา สี่คน ปกครองที่นั่นดีไหม ( สังเกตไหมว่าคนเล่าจะพยายามสื่อว่า ทัมด๊ก พระองค์ นี้ ทรงเป็นกันเองกับข้าราชบริพาร และทรงมีอารมณ์ ขัน เสมอ เป็นกษัตริย์ที่อารมณ์ดี)
ฮยอนโก : จากโอ๊คซุน ถึงปราสาทโกกแน ทั้งหมดเป็นอาณาเขตของแพคเจ พระองค์จะทรงต่อสู้จนกระทั่งถึงที่โน่นหรือ พวกเราจะไปกันเองได้อย่างไร พะย่ะค่ะ
ซูจินี : ข้าไม่คิดว่าจะเป็นพวกเรา
ขุนพลโก ฮีกแกและบุตรชาย ขี่ม้ามารอรับเสด็จ ทัมด๊ก
ฮยอนโก : พวกเขามากันแล้ว
ขุนพลโก : ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว



ทัมด๊ก : พวกท่านไม่ได้รับคำสั่งข้าหรือ.... ทำไมไม่กลับไปปราสาทโกกแน ทำไมพวกท่านยังอยู่ที่นี่
ฮีกแก : หม่อมฉันบอกเขาว่า เราควรจะไป แต่พวกเขาไม่ฟัง หม่อมฉันจะทำอย่างไรได้ พวกนั้นเป็นคนของฝ่าบาท
ขุนพลโก : ทรงสัญญากับหม่อมฉันว่า ฝ่าบาทจะไม่ไปก่อนหม่อมฉัน หม่อมฉันเชื่อคำพูดของพระองค์ และมารอพระองค์อยู่ตรงนี้พะย่ะค่ะ
ฮีกแก : เชื่ออะไร สิ่งที่ท่านทำก็แค่เดินหน้าถอยหลัง เอาแต่พูดว่า ถ้าฝ่าบาทไม่ออกมาท่านจะเข้าไปข้างในเอง ข้าถามท่านว่า ท่านแน่ใจหรือว่าทรงเข้าไปที่นั่นเพียงลำพัง แล้วท่านก็พูดว่า........ ทัมด๊ก ทรง ขำฮีกแก ลูกชายก็สะกิดพ่อ บุ้ยปากไปทางทัมด๊ก เหมือนจะบอกให้พ่อเงียบ ได้แล้ว ฮีกแก หัวเราะร่า....

Copyright @ Amornbyj & SUE